บาทที่ 7
บาทที่ 7
หลายวันมานี้พายุพัดโหมไม่หยุด ทุกครั้งที่พวกเขามาฝึกฝน พวกเขาต้องตากลมฝนฝึกทุกครั้ง เพราะว่ายามที่ฝึกพลังเซียน เขาต้องคลายปราณทั่วทั้งร่างเสียก่อน ดังนั้นหงเซียวจึงคิดหาวิธีฝึกด้วยการสร้างไข่มุกขึ้นใช้ในการฝึกเหมือนกับตอนที่ใช้กับชิวเยว่ ต่างกันตรงที่ใช้เพื่อฝึกพลังแทนการหลอมร่างเซียน
หงเซียวสร้างกลุ่มก้อนพลังสีฟ้าขึ้นมาเหมือนทุกครั้ง แต่แทนที่จะดึงดูดผู้คนเข้าไปเหมือนเช่นเดิม กลุ่มก้อนพลังนี้พลันขยายตัวเป็นก้อนหมอกขนาดใหญ่ ครอบคลุมสี่สาวไว้ในกลุ่มหมอกอย่างรวดเร็วก่อนจะหดตัวลงดึงเอาทุกคนเข้าไปรวมกันยังศูนย์กลาง และผนึกจนกลายเป็นไข่มุกลอยอยู่กลางอากาศ ต้านทานสายฝนรุนแรงและลมพายุที่พัดโหม
ไข่มุกในครานี้กลับมีแสงเรืองสีฟ้าสดฉายออกมาไม่ขาดระยะ มีบางครั้งที่สลัวลงและบางครั้งที่สว่างขึ้น เหมือนจังหวะลมหายใจอันยืดยาวไม่ขาดตอน เหมือนกระแสคลื่นน้ำทะเลในยามสงบ ช้า เรียบ และมั่นคง
หากสังเกตดูให้ดี ก็จะพบว่าไข่มุกนี้จะปลดปล่อยกลุ่มหมอกสีฟ้าเบาจางออกไปรอบข้างเสมอในจังหวะที่สว่างขึ้น และในทางกลับกันก็จะดึงดูดกลุ่มหมอกสีฟ้ากลับคืนในจังหวะที่สลัวลง
ช่างเป็นภาพที่แปลกตายิ่ง
เมื่อเวลาผ่านไปอีกสองวันลมฝนก็ซาและหยุดเกิดท้องฟ้าโปร่งอย่างกระทันหันภายในไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คนที่อยู่บนเรือที่จอดอยู่ก็เริ่มเคลื่อนไหว มีคนหลายคนทะยานออกจากเรือ กระโดดเพียงครั้งเดียวก็เข้าถึงฝั่ง หงเซียวรู้ได้ในทันทีว่าคนพวกนี้เป็นผู้ฝึกยุทธในเขตแก่นปราณเป็นอย่างต่ำ
พวกนั้นถือเชือกหยาบใหญ่ไว้ในมือมาด้วย ปลายอีกด้านผูกอยู่กับลำเรือ เมื่อถึงฝั่งแล้วก็ทำการผูกเชือกกับโขดหินจนตึง ไม่นานนักคนจากบนเรืออีกกลุ่มหนึ่งก็ทำการเดินมาจากเรือบนเส้นเชือกนั้น
ไม่น่าเชื่อว่าเรือลำนี้จะมีผู้มีวิชายุทธมากมายหลายคน
คนที่เดินมาบนเส้นเชือกนั้นทุกคนจะหิ้วถุงผ้าขนาดใหญ่มาด้วย เมื่อมาถึงฝั่งก็จะทำการปล่อยถุงผ้านั้นลง และในถุงผ้าเหล่านั้นก็จะมีคนคลานออกมา สร้างความแปลกใจและความไม่ชอบมาพากลให้กับหงเซียวยิ่ง
ที่เขากังวลกว่านั้นก็คือ จากมุมมองของเขา เป็นไปไม่ได้ที่พายุจะพลันหยุดอย่างกระทันหันเช่นนี้ สิ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นก็คือขณะนี้พวกเขากำลังอยู่ในตาพายุ หรือตาพายุกำลังเคลื่อนที่ผ่านเกาะ
ดูท่าคนพวกนี้กำลังจะพบกับความยุ่งยาก
อย่างไรก็ตามหงเซียวและอีกสี่สาวยังอยู่ในไข่มุก ไม่คิดออกไปในขณะนี้ จึงเพียงเฝ้ามองดูคนเหล่านั้นแก้ไขปัญหาของตนเอง
คนที่มีวรยุทธเหล่านั้นไปกลับสามสี่รอบ คนที่ไร้วรยุทธที่พวกนี้นำออกมานับพันคน คนพวกนั้นออกมาจากถุงผ้าแล้วก็รีบทำงานตัดไม้ทันที ดูท่าคนพวกนี้จะปลูกบ้านพักหรือซ่อมเรืออะไรสักอย่าง
หงเซียวไม่หวงไม้แถบนั้น เกาะทั้งเกาะนี้ล้วนได้รับการดูแลด้วยสัตว์อสูรไส้เดือนรากอสูร ดังนั้นต้นไม้จะเติบโตรวดเร็วมากนัก คนพวกนั้นจะพักอยู่บนเกาะบ้างก็ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาก็คือไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเวลาต่อจากนี้ไปต่างหาก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว คนเหล่านั้นเพิ่งตัดไม้ได้ไม่ถึงร้อยต้น กระแสลมและท้องฟ้ามืดครึ้มก็เริ่มมาเยือนอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าพวกที่มีวรยุทธเหล่านั้นพลันตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในทันที คนพวกนี้รีบไล่คนไร้วรยุทธให้เข้าไปในถุงก่อนจะพากันหิ้วคนเหล่านั้นกลับไปบนเรือ
แต่เพียงแค่รอบเดียวเท่านั้นที่พวกเขาทำได้ในเมื่อพายุรุนแรงยิ่งขึ้น คนที่ไร้วรยุทธกว่าเจ็ดร้อยคนต่างพากันวิ่งหลบเข้าไปในป่า พายุรุนแรงและสายฝนก็กระหน่ำเข้ามาอีกครั้ง
หงเซียวหลับตาแล้วถอนใจ หากว่าคนเหล่านี้ไม่ได้รับการช่วยเหลือ คิดว่าไม่เกินหนึ่งคืนคนพวกนี้ต้องหนาวตายอยู่ในป่าแห่งนี้อย่างแน่นอน
ด้วยคำสั่งของเขา ร่างจิตเทียมพากันนำไม้ที่คนพวกนั้นตัดทิ้งไว้มาตัดเจาะแล้วสร้างเป็นกระท่อมไม้ซุงขนาดใหญ่มีพื้นที่กว้างขวางกว่าสิบหลัง ในบริเวณที่มีต้นไม้โดยใช้ต้นไม้ที่ไม่ได้ตัดเป็นเสา ก่อนที่จะให้ร่างจิตเทียมชักนำคนเหล่านั้นออกมาเข้าไปยังกระท่อม
แม้ว่าคนเหล่านี้จะตกใจที่ถูกพลังลึกลับที่มองไม้เห็นพาเข้าไปในกระท่อมไม้ซุง แต่พวกเขาก็ยอมอยู่ภายในนั้นซึ่งดีกว่าที่จะหนาวตายอยู่ข้างนอก ไม่นานนักคนกว่าเจ็ดร้อยคนนั้นก็เข้าไปอยู่ในกระท่อมไม้ซุงเหล่านั้นจนหมด
กระท่อมไม้ซุงนี้ไม่ห่างกันนัก บางคนเตร็ดเตร่ไปตามกระท่อมเพื่อตามหาคนที่ตนเองรู้จัก กว่าจะลงเอยก็ต้องใช้เวลาพอสมควร
หงเซียวเอื้อเฟื้อจัดหาอาหารให้คนละหนึ่งมื้อต่อวัน หากมีการยื้อแย่งร่างจิตเทียมก็จะเข้าไปช่วยตัดสิน
เมื่อผ่านไปอีกสิบวัน สุดท้ายพายุก็ค่อยซาลงแต่ก็ยังไม่หยุดเสียทีเดียวนัก หงเซียวเองก็คลายสภาพออกมาจากไข่มุก ปล่อยบรรดาหญิงสาวไปสวมเสื้อผ้าก่อนที่ตนเองจะตามไปทีหลัง
เขาเล่าเรื่องราวของคนที่อยู่ในกระท่อมให้พวกหญิงสาวฟัง พวกเธอเกิดความสนใจต้องการเข้าไปเยี่ยม แน่นอนว่าพวกเขาและเธอต้องสวมเสื้อผ้าเพิ่มให้เกิดความเรียบร้อยก่อน
พายุและฝนซาลงแต่ไม่ได้หยุดสนิท คนบนเรือก็จึงยังไม่ออกมา แต่พวกหงเซียวนั้นด้วยอำนาจของเกราะวิญญาณที่ยังไม่ได้สลายคลายไปเพราะว่าพวกเขาเองยังไม่มีชีพจรเซียนเกิดขึ้นนั้น ฝนที่ตกมาจึงไม่ทำให้เสื้อผ้าพวกเขาเปียกได้
เขาและหญิงสาวทั้งสี่พากันไปยืนอยู่ยังหน้ากระท่อมแล้วใช้คลื่นปราณส่งออกไปทั่วทุกทิศทางว่า “ยินดีต้อนรับ”
คนในกระท่อมทุกหลังต่างได้ยินและพากันออกมาออกันหน้ากระท่อม และก็พบเห็นคนแปลกหน้า
ผู้ชายหนึ่ง ผู้หญิงสี่ ผู้ชายสวมชุดคุณชายสีขาวมือถือพัดจีบกระดาษสีขาวพร้อมกับภาพทิวทัศน์ดูสำอาง ผู้หญิงสวมชุดวัยรุ่นสีขาวปักลายสวยงาม ทุกคนผิวขาวหล่อเหลาสวยงามราวกับเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ
หลายคนชมดูจนเคลิบเคลิ้ม ก่อนจะสะดุ้งตื่นเมื่อผู้ชายหล่อเหลาคนนั้นกล่าวถามว่า “พวกท่านมาจากไหนกัน”
แต่ละคนต่างพากันมองไปที่คนคนหนึ่ง ก่อนที่ชายคนนั้นที่ดูกำยำแข็งแรงสูงใหญ่กว่าคนอื่นกล่าวว่า “พวกเราเป็นทาสที่โจรสลัดจับมา ท่านคือคนที่ช่วยสร้างบ้านนี้ให้พวกเราพักใช่หรือไม่”
หงเซียวยิ้มกล่าวตอบว่า “ใช่”
ชายร่างสูงใหญ่นั้นคุกเข่าลงประสานมือ “ท่านผู้มีพระคุณ ท่านพอจะช่วยพวกเราที่เหลือในเรือลำนั้นได้หรือไม่ พวกเราต่างประสบความทุกข์ยากอย่างสาหัสมานาน แทบจะไม่มีความหวังในชีวิตเหลืออยู่แล้ว พวกโจรสลัดนั่นใช้งานเราเหมือนไม่ใช่คน”
ทุกคนในที่นั้นเมื่อได้ยินคำพูดของชายร่างสูงใหญ่นั้น ต่างก็พากันนั่งคุกเข่าตามลงในทันที
“พี่ชาย” ก่อนที่ใครจะทันมีปฏิกิริยา เหมยเหมยและซีชี่ต่างพากันเข้าไปเกาะแขนหงเซียว พวกเธอก็เป็นหนึ่งในคนที่เคยประสบความลำบากเช่นนี้มาก่อน
“ข้าจะลองดูว่า ข้าจะช่วยพวกท่านได้อย่างไรบ้าง แต่ก่อนอื่นข้าอยากทราบข้อมูลของคนกลุ่มนั้นและสภาพในเรือทั้งหมดก่อน” หงเซียวกล่าว ในขณะเดียวกัน ร่างจิตเทียมจำนวนหนึ่งก็ตรงไปที่เรือลำนั้นเพื่อสำรวจภายในลำเรือ
“ขอบคุณท่านผู้มีพระคุณ ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ก่อนอื่นท่านเข้ามาในกระท่อมก่อนดีไหม” ชายคนนั้นกล่าว
“ตกลง” หงเซียวกล่าว เขาก้าวเข้าไปในกระท่อมที่ชายคนนั้นอยู่
จากการสำรวจภายในลำเรือ เขาพบว่าเป็นอย่างที่ชายร่างสูงใหญ่นี้พูดทุกประการ ดังนั้นเขาจึงคิดช่วยเหลือสักครั้ง
จากที่เห็นชายร่างสูงใหญ่คนนั้นดูเหมือนจะมีพลังปราณอยู่ที่เขตชีพจรปราณ ระดับกลางๆ ซึ่งไม่มีทางที่จะต่อกรกับคนในเรือเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นหัวหน้าของคนในที่แห่งนี้ เขาชื่อ เซมาล
เขาเล่าให้ฟังว่า เรือลำนั้นเป็นเรือโจรสลัด ปล้นเรือมากมาย ฉุดคร่าจับตัวคนไปเป็นทาส มักจะไปรวมตัวกันที่เกาะแห่งหนึ่งที่เป็นแหล่งซ่องสุมโจรสลัด ซึ่งตนเองก็ไม่รู้เส้นทาง
ส่วนตัวเขานั้นถูกจับมาเป็นทาสเพราะว่าไม่ยอมเป็นโจรสลัด จึงต้องทำงานร่วมกับคนอื่นในฐานะทาสในเรือโจรสลัดลำนี้ และเรือโจรสลัดลำนี้ขณะที่ผ่านมาถึงบริเวณหนึ่งก็เผชิญกับศัตรูของสัตว์อสูรประจำเรือ มันจึงหนีเตลิดมายังทางนี้ก่อนที่จะพบเข้ากับพายุ มิหนำซ้ำสัตว์อสูรในท้องทะเลแห่งนี้กลับร้ายกาจยิ่งกว่าศัตรูของมัน จนทำให้เรือต้องตัดสินใจปล่อยมันไปก่อนที่จะถูกลากลงน้ำลึกไปพร้อมกับสัตว์อสูรประจำเรือ
หลังจากนั้นก็จะเป็นเรื่องที่หงเซียวรู้อยู่แล้ว
สำหรับข้อมูลของเรือนั้น เขาเล่าให้ฟังว่า คนในเรือนั้นมีอยู่กว่าหนึ่งพันห้าร้อยชีวิต เป็นโจรสลัดประมาณสามร้อยคน ทุกคนล้วนมีวิชาปราณไม่ต่ำกว่าระดับสามเขตชีพจรปราณ มีคนอยู่ในเขตแก่นปราณประมาณห้าสิบคน และอยู่ในเขตร่างปราณเจ็ดคน ในนี้มีอยู่คนหนึ่งที่เป็นร่างปราณระดับสูง กัปตันเรือ
หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มวางแผนที่จะเอาชนะศัตรูกล้าแข็งเหล่านี้