74 เวลาไม่ค่อยท่า
74 เวลาไม่ค่อยท่า
“ศาสตราจารย์เซี่ย ขอบคุณสำหรับความห่วงใยนะครับ ผมเพิ่งจะเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียดเสร็จ หมอบอกว่า ร่างกายของผมอ่อนแอเล็กน้อย ผมจะเริ่มฝึกเพื่อคืนสภาพให้คืนกลับมาเป็นเหมือนเดิมในทันที ผมจะเข้าร่วมการสอบในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าแน่นอน และที่แรกที่ผมจะเลือกก็ยังคงเป็นมหาวิทยาลัยเชินห่าย”
หลี่เย้าพูดออกมาด้วยความมั่นใจ
รอยยิ้มของเซี่ยทิงเสียนแข็งทื่อ เขาพูดออกมาอย่างกระอักกระอ่วนว่า “นักเรียนหลี่เย้า ฉันเพิ่งจะได้คุยกับหมอที่รับผิดชอบดูแลรักษาเธอ เรายังได้คุยกันถึงเรื่องสภาพในปัจจุบันของเธอด้วย...ในความคิดของฉัน เธอไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้น สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ของเธอก็คือ การดูแลร่างกายของเธอให้ดี! เหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวก่อนที่จะถึงการสอบ ไม่ว่าเธอจะพยายามบ่มเพาะมากแค่ไหน เธอก็คงจะไม่สามารถทำคะแนนสอบออกมาได้ดี และก็มีโอกาสที่เธออาจจะทำร้ายร่างกายของตัวเองได้ มันคุ้มกันเหรอ? มันจะดีกว่านะ ถ้าเธอพักฟื้นสักปีหนึ่ง แล้วรอไปจนถึงปีหน้าแทน นี่ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับทุกคน จริงไหม?”
หลี่เย้าได้แต่ตกตะลึง เกิดกระแสไฟฟ้าแล่นปราดอยู่ในหัวของเขาและเขาก็ทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว “ศาสตราจารย์เซี่ย สถาบันของคุณจะไม่ให้คะแนนพิเศษกับผมใช่ไหมครับ?”
ใบหน้าของเซี่ยทิงเสียนขึ้นสี เขาลังเลอยู่นาน ก่อนที่เขาจะพยักหน้าและพูดออกมาว่า “นักเรียนหลี่เย้า เธอต้องเข้าใจนะ การตัดสินใจเรื่องการให้คะแนนพิเศษนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องของทรัพยากรภายในที่มหาวิทยาลัยเชินห่ายครอบครองอยู่ นักเรียนทุกคนที่ได้รับคะแนนพิเศษ จะต้องผ่านการคัดกรองอย่างเข้มงวด และมีการแข่งขันเพื่อแย่งชิงโควต้ากันรุนแรงมาก จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอในตอนนั้น ไม่มีใครคิดเลยว่าเธอจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้ภายในเวลาสั้นๆ ดังนั้น...จึงมีคนคว้าตำแหน่งของเธอไป”
หลังจากที่หยุดไปครู่หนึ่ง เซี่ยทิงเสียนก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่และพูดต่อไปว่า “และบอกตามตรงนะ ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่เธอก็เหลืออัตราการตื่นอยู่แค่ 7% เท่านั้น โอกาสในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเชินห่ายของเธอได้นั้นต่ำมาก ถึงแม้ว่าเธอจะได้คะแนนพิเศษมาสักยี่สิบหรือสามสิบคะแนน มันจะช่วยอะไรได้มากแค่ไหนกัน? ฟังฉันนะ ใช้เวลาฟื้นตัวอยู่ที่บ้านสักหนึ่งปี แล้ววัดอัตราการตื่นของเธออีกครั้งในปีหน้า ถ้าอัตราการตื่นของเธอกลับมาอยู่ที่ 70% หรือมากกว่านั้นได้ ฉันจะสู้เพื่อให้เธอได้รับคะแนนพิเศษหรือรับเข้าเป็นกรณีพิเศษ ฉันสาบานต่อหน้าเธอ นักเรียนหลี่เย้า!”
ในตอนนั้นเอง มีคนเรียกเซี่ยทิงเสียนจากด้านหลัง เซี่ยทิงเสียนปาดเหงื่อแลพูดออกมาว่า “ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ นักเรียนหลี่เย้า ฉันอยู่ในระหว่างการดำเนินงานโครงงานที่ซับซ้อนโครงการหนึ่งอยู่ เราได้ช่วยทางกองทัพสร้างโมเดลอาร์ติเฟ็กซ์แบบใหม่ขึ้นมา ฉันเลยไม่มีเวลาติดต่อกับเธอในช่วงหลายวันมานี้...เมื่อไหร่ที่มีเวลา ฉันยินดีที่เธอจะติดต่อมาหาฉันได้เสมอ เธอสามารถปรึกษากับฉันได้ ฉันจะช่วยเธอด้วยกำลังทั้งหมดของฉันเอง!”
“...ผมเข้าใจครับ ขอบคุณสำหรับความเมตตานะครับ ศาสตราจารย์เซี่ย”
หลี่เย้าปิดหน้าจออีแครนของเขาลงด้วยความรู้สึกผิดหวัง เขากระพริบตา เขารู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้และพอจะคาดเดาได้ ว่าทางมหาวิทยาลัยเชินห่ายจะทำการยกเลิกสิทธิในคะแนนพิเศษที่หลี่เย้าจะได้รับ เพราะตามกฎแล้ว เขาได้ถูกลิงตายักษ์ “จัดการ”และทำให้ต้องสูญเสียคะแนนทั้งหมดไป ถึงแม้ว่าคะแนนก่อนหน้านี้ของเขาจะสูงมากก็ตามที
ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ อัตราการตื่นของเขาเหลืออยู่แค่ 7% เมื่อได้เห็นตัวเลขนี้ ทุกคนก็นับว่าเขาได้กลายเป็นขยะไปแล้ว
คงไม่มีสถาบันไหนที่จะยินดีมอบคะแนนพิเศษให้กับขยะแบบเขา
แต่หลี่เย้าก็ยังมีความรู้สึกผิดหวังอยู่ลึกๆภายในใจ
“ผมรู้ว่าตอนนี้คุณคงจะไม่เชื่อผม ศาสตราจารย์เซี่ย ในตอนนี้ คงไม่มีใครเชื่อผม แต่มันก็ไม่สำคัญ ผมจะใช้คะแนนสอบหลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนพูดแทน!”
“ผมไม่ต้องการสิทธิการรับเข้าเป็นกรณีพิเศษ และผมก็ไม่ต้องการคะแนนพิเศษ ผมจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเชินห่ายด้วยกำลังของผมเอง!”
“แต่ถ้าคุณเชื่อผมในตอนนี้สักนิด มันจะดีสักแค่ไหน...”
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน หลี่เย้าก็ตัดสินใจที่จะไปโรงเรียนและดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เขายังจำได้ดีว่า ตอนที่เขาอยู่บนเกาะมังกรปีศาจ ครูใหญ่จ้าวให้ความสำคัญกับเขามาก ครูใหญ่จ้าวยังยินดีที่จะเป็นตัวแทนของนิกายซื่อเซียว ในการเซ็นต์สัญญากับเขาอีกด้วย
เขาได้กลายเป็นขยะในสายตาของคนอื่นไปแล้ว ดังนั้น สัญญาที่ว่าก็คงจะไร้ค่าและถูกบอกปัดไป แต่เขาสามารถขอให้ครูจากคลาสพิเศษออกแบบโปรแกรมฝึกร่างกายภายในสามสิบวันให้กับเขา และแบ่งทรัพยากรของโรงเรียนบางส่วนมาให้กับเขาได้บ้าง เพื่อให้เขาพยายามอย่างสุดความสามารถในการสอบ...คำขอแค่นี้ คงจะไม่มากไปหรอกใช่ไหม?
......
เมื่อออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว หลี่เย้าก็เลือกที่จะนั่งรถไฟคริสตัลใต้ดิน เพื่อเป็นการประหยัดเวลา
ในตอนที่เขาหยิบการ์ดสีทองและรูดกับหน้าจอตั๋วรถไฟคริสตัลใต้ดินนั้น อยู่ๆหน้าจอโฮโลแกรมบนไมโครคริสตัลโพรเซสเซอร์ก็ยิงแสงสีเขียวจางๆออกมา แสงนั้นได้ทำการแสกนใบหน้าของหลี่เย้าและส่งเสียงดัง ปี๊บ ปี๊บ แล้วเปลี่ยนกลายเป็นสีทอง
มีเสียงพูดที่แข็งทื่อดังออกมา “จากการตรวจสอบใบหน้า ผู้โดยสารรายนี้คือทหารคลาส 1 ของสหพันธรัฐ ผู้โดยสารรายนี้สามารถเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะของสหพันธรัฐ โดยไม่มีการคิดค่าใช้จ่าย”
พนักงานตั๋วที่อยู่ด้านหลังหน้าจอส่งเสียง “อ้า!” ออกมา และใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความชื่นชม ในตอนที่เธอส่งบัตรโดยสารที่เขียนด้วยอักขระเอาไว้นั้น เธอมองสำรวจหลี่เย้าผ่านทางกระจก
ทันทีที่เธอพบว่า หลี่เย้านั้นยังอายุน้อยอยู่มาก ดวงตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมา เธอตะโกนออกมาอย่างประหลาดใจว่า “โอ้ ตายแล้ว! คุณอายุยังน้อยขนาดนี้ ก็ได้เป็นทหารทุพพลภาพของสหพันธรัฐคลาส 1 แล้วเหรอเนี่ย? สุดยอดไปเลยนะคะ! ฉันชื่อว่า ลี่ ซือซือ เรามาทำความรู้จักกันสักหน่อยดีไหมคะ?”
ด้วยความกระหายอยากที่เธอมี ถ้าหากไม่มีกระจกกั้นเอาไว้ เธอก็คงจะกระโจนตัวเข้าใส่หลี่เย้าไปแล้ว
หลี่เย้าคิดไม่ถึงว่า เขาจะได้รับความพึงพอใจจากการเป็นทหารทุพพลภาพของสหพันธรัฐ คลาส 1 เร็วขนาดนี้ แก้มของเขาแดงก่ำจากสายตาหิวกระหายที่มองมาของหญิงสาวคนขายตั๋ว
“บ้าไปแล้ว! สถานะทหารทุพพลภาพคลาส 1 ของกองทัพมีผลแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย? ไม่แปลกใจเลย ที่พวกวัยรุ่นเลือดร้อนต่างก็แย่งชิงกันเพื่อให้ได้เข้าสู่กองทัพของสหพันธ์ เพื่อต่อสู้ในสงครามนองเลือดและฆ่าฟันสัตว์ร้าย!”
ในตอนที่หลี่เย้าเดินทางไปถึงโรงเรียนมัธยมซื่อเซียวที่สอง ก็เป็นเวลาบ่ายสี่โมงแล้ว
ในเวลานี้ นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งและสองก็เริ่มทยอยเลิกเรียนกันแล้ว มียานบินบางส่วนได้ร่อนลงและบินขึ้นอยู่ในบริเวณลานจอดของโรงเรียน
ส่วนนักเรียนชั้นปีที่สามนั้น พวกเขาก็เพิ่งจะจบชั้นเรียนอันหนักหน่วงของภาคเช้า พวกเขาต่างก็กำลังเดินเล่นอยู่ใต้ร่มไม้ หรือไม่ก็สูดอากาศบริสุทธิ์อยู่ตรงบริเวณสนามกีฬา หลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จ พวกเขาก็จะต้องเตรียมตัวเข้าเรียนอีกครั้งในช่วงของการเรียนภาคค่ำ
ในตอนที่หลี่เย้าเดินผ่านประตูโรงเรียนเข้าไปนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมอง ด้านบนของประตูยังคงติดป้ายนับถอยหลังเอาไว้ พร้อมกับมีคำเขียนเอาไว้ว่า “เหลือเวลาก่อนการสอบอีก 31 วัน 7 ชั่วโมง 44 นาที และ 32 วินาที!”
เวลาไม่ค่อยท่าแล้ว!
หลี่เย้ากำหมัดแน่นและรู้สึกถึงเลือดที่เริ่มเดือดปุดๆอยู่ภายในกาย ตอนนี้ เขาครั่นเนื้อครั่นตัวอยากจะเริ่มบ่มเพาะจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
เขาก้าวขายาวๆไปยังห้องเรียน
ในตอนแรก ไม่มีใครจดจำเขาได้ เพราะร่างกายที่ผอมแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แต่ไม่นาน นักเรียนคนหนึ่งก็ชี้ไปที่เขาและตะโกนออกมาว่า “นั่นไม่ใช่หลี่เย้าหรอกเหรอ?”
“อะไรนะ? หลี่เย้าเหรอ? ดาวปีศาจที่ร่วงหล่นไปนั่นน่ะนะ? ไม่ใช่ว่าเขาประสบอุบัติเหตุและกำลังอยู่ในอาการโคม่าหรอกเหรอ?”
“เขาคือหลี่เย้าจริงๆ! เขาฟื้นแล้ว! แต่เขาผอมลงมากเลย อย่างกับเขาลอกคราบออกแน่ะ!”
“อ้า! วิดีโอตอนที่เขาอยู่บนเกาะมังกรปีศาจ เขาดูมีเนื้อมีหนังมากเลยนะ ฉันไม่เคยคิดเลย ว่าเขาจะกลายมาเป็นคนที่ดูน่าสังเวชและเหมือนผีแบบนี้ไปได้!”
“ฉันได้ยินมาว่า สมองของเขาถูกโจมตีทางจิตและรากวิญญาณของเขาก็ฉีกขาด อัตราการตื่นของเขาก็เหลือแค่ 7% เท่านั้น เขากลายเป็นคนพิการไปแล้ว...เขาจะมาที่โรงเรียนอีกทำไมกัน?”
มีนักเรียนจำนวนมาก ที่พากันกระซิบกระซาบกันอย่างลับๆ
นักเรียนที่เตรียมตัวกลับต่างก็หยุดชะงักอยู่ตรงที่เก่า นักเรียนบางคนถึงขนาดหันหน้าไปหาพ่อแม่ของพวกเขา เพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น และดึงพ่อแม่ของพวกเขามาดูเรื่องสนุกกัน
ถึงยังไง หลี่เย้าก็ยังคงเป็นคนที่ได้รับความสนใจจากนักเรียนโรงเรียนมัธยมซื่อเซียวที่สอง ถึงแม้ว่า จะเป็นชื่อเสียงในทางลบก็ตามที
ประสาทสัมผัสทั้งห้าของหลี่เย้านั้นชัดเจนยิ่งกว่าแต่ก่อนมาก เขาจึงได้ยินสิ่งที่นักเรียนจำนวนมากกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้หยุดเพื่ออธิบายอะไร
มีหลายเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องอธิบาย เพียงแค่รอการประกาศผลสอบ ทุกคนก็จะได้รู้เองว่า ดาวปีศาจไม่ใช่ดาวตกที่หายลับไปไม่หวนกลับมาอย่างที่ทุกคนเข้าใจ!
ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในตึก ก็มีร่างสูงร่างหนึ่งปรากฏขวางอยู่ตรงหน้าของหลี่เย้า
ชายคนนี้มาพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แววตาของเขาแฝงไว้ด้วยความดูถูกและเยาะเย้ยเอาไว้จางๆ เขาก็คือ เฮ่อเหลียนเลี่ย