บทที่ 208 ค่ายกลสุ่ยเยว่
ฟับ! ฟับ!
ในขณะที่ดาบกำลังถูกกวัดแกว่ง กระแสลมรอบข้างก็กรีดร้อง มังกรวายุนับสิบตัวพุ่งทะยานขึ้นมาบรรจบที่ปลายดาบ จากนั้นมันก็เข้าไปพันธนาการศัตรูแปดคนที่อยู่ด้านหน้าสุด
เมื่อคนทั้งแปดเห็นเจียงอี้กำลังร่ายรำเพลงดาบเงาวายุ พวกเขาต่างก็ต้องการที่จะถอยหนีเพราะความกลัว แต่น่าเสียดายที่ร่างกายถูกตรึงไว้และไม่สามารถขยับไปไหนได้
“โฮกกกกก…!”
ดาบเกล็ดทมิฬแปรเปลี่ยนเป็นมังกรและพุ่งทะลวงใส่ร่างของเหล่าศัตรู แม้ว่าความความตายกำลังมาเยือน แต่เพราะร่างกายถูกตรึงเอาไว้ สุดท้ายก็ทำได้เพียงรอรับความตายอย่างน่าเศร้า
“นี่มัน…”
หยุนเฮ่ออ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง วินาทีต่อมา ใบหน้าของเขาก็ยิ่งเผยให้เห็นความดุร้าย เขากำลังจดจ้องไปยังเจียงอี้ที่กำลังเข่นฆ่าตลอดทางและคิดแผนที่จะสยบอีกฝ่าย
การผสานกันของเจตจำนงสังหารและเพลงดาบเงาวายุทำให้เจียงอี้กลายเป็นเครื่องจักรสังหารที่รู้จักเพียงแค่การฆ่าฟัน
นอกจากนี้เขายังมีไหมปีศาจนภาอยู่กับตัวซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ป้องกันชั้นยอด แม้ว่าจะต้องต่อกรกับนักสู้นับพันแต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เสียเปรียบเลยแม้แต่นิดเดียว
“รูปแบบเต๋าจู่โจมนั้นเหนือชั้นอย่างแท้จริง พวกเราไม่อาจปล่อยให้เจียงอี้ผู้นี้มีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไป มิฉะนั้น อีกสิบปีให้หลัง เขาจะต้องกลายเป็นเจียงเปี๋ยหลีคนที่สองอย่างไม่ต้องสงสัย!” หยุนเฮ่อกล่าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจังและไม่กล้าที่จะประมาทอีกฝ่ายอีกต่อไป
เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่า ชายหนุ่มที่มีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำต้อยจะสามารถเข้าถึงหนึ่งในรูปแบบเต๋าจู่โจมได้แล้ว หากว่าไม่ได้มาเห็นด้วยตาของตัวเอง เขาคงไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน
“เพลงดาบเงาวายุ?”
ดวงตาของสุ่ยเชียนโหรวเผยแววครุ่นคิด นางพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“ท่านแม่เคยบอกกับข้าว่าเพลงดาบเงาวายุเป็นทักษะวิชาแรกที่ตาแก่จูเก๋อบัญญัติขึ้นด้วยตัวเองและควรจะเป็นเพียงแค่ทักษะระดับปฐพีขั้นสูงเท่านั้นซึ่งเป็นวิชาที่ใช้สายลมไร้ลักษณ์ในการกวาดล้างศัตรู”
“แต่ทำไมมันถึงสามารถใช้ตรึงร่างของศัตรูได้เมื่อถูกใช้โดยเจียงอี้? โดยปกติแล้วทักษะระดับปฐพีขั้นสูงทั่วไปก็ไม่ควรที่จะน่ากลัวเช่นนี้ หรือว่ามันจะถูกยกระดับเป็นทักษะสวรรค์เพราะเขาเข้าถึงรูปแบบเต๋า?”
“ช่างมันเถอะเชียนโหรว ถึงครุ่นคิดต่อไปมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา ออกคำสั่งให้คนของเจ้าลงมือเถอะ! ข้าเองก็จะส่งคนทั้งหมดออกไปเช่นกัน! หากเจียงอี้ไม่ตายในวันนี้ มันจะกลายเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเราในอนาคต!” หยุนเฮ่อกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นยะเยือก
สุ่ยเชียนโหรวเองก็ไม่คิดที่จะคัดค้าน นางหันไปด้านข้างและกล่าวกับคนของตน
“พวกเจ้าทุกคน จัดตั้งค่ายกลสุ่ยเยว่ ไม่ว่ายังไงวันนี้พวกเราก็ต้องจัดการชายหนุ่มคนนั้นให้ได้!”
“คุณหนู!”
เหล่านักสู้สตรีจากหอดาราสุ่ยเยว่เกิดความวิตก ค่ายกลสุ่ยเยว่เป็นค่ายกลลึกลับที่ถูกพัฒนาโดยสุ่ยโย่วหลานและมันไม่น่าจะมีปัญหาที่จะใช้กำราบเจียงอี้
แต่หากทำเช่นนั้นก็จะไม่มีใครคอยอยู่คุ้มกันสุ่ยเชียนโหรว เพราะถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับคุณหนูผู้นี้ โทษทัณฑ์ที่พวกนางจะได้รับอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก
สุ่ยเชียนโหรวเลิกคิ้วขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเด็ดขาด
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น! หากพวกเจ้าไม่ลงมือตอนนี้ พวกเจ้าจะรอให้เขาเข้ามาฆ่าพวกเราทุกคนหรือยังไง?! ถ้าเจ้าไม่ลงมือ เช่นนั้นข้าจะจัดการเอง!”
“ไป!”
หญิงสาวทั้งห้าสิบคนกัดฟันแน่นและจำใจลงมืออย่างไม่มีทางเลือก พวกนางทะยานไปเบื้องหน้าด้วยท่วงท่าราวกับผีเสื้อ
ในเวลาเดียวกัน ร่างกายของพวกนางก็เปล่งแสงสีเขียวและเชื่อมต่อกันจากนั้นก็เข้าล้อมเจียงอี้
หญิงสาวเหล่านั้นมีการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดมาก หากดูจากด้านบนก็จะเห็นว่าพวกนางจัดรูปขบวนเป็นรูปหกเหลี่ยมโดยที่มีเจียงอี้อยู่ตรงกลาง
“ค่าย–กล–สุ่ย–เยว่!”
ทันใดนั้น แสงสีเขียวที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากแม่นางทั้งหลายก็เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์จากนั้นก็ก่อเกิดเป็นลำแสงกระบี่ห้าสิบสายซึ่งพุ่งตรงไปยังร่างของเจียงอี้หมายจะสังหารอีกฝ่ายให้ตาย
“บัดซบ!”
ในตอนแรก เจียงอี้ต้องการที่ปลดปล่อยเพลงดาบเงาวายุแต่ก็ถูกขัดขวางโดยหญิงสาวเหล่านี้ ตอนนี้เขาเลยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้ไหมปีศาจนภาเข้าห่อหุ้มร่างตัวเองเอาไว้เพื่อป้องกันการโจมตีที่กำลังตรงเข้ามา
ปัง! ปัง! ปัง!
ค่ายกลสุ่ยเยว่ทำให้พลังของหญิงสาวทั้งห้าสิบคนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ก่อนหน้านี้ เจียงอี้ก็เคยใช้ไหมปีศาจนภาต้านทานการโจมตีของนักสู้ในสังกัดของหยุนเฮ่อ ในตอนนั้นมันไม่สามารถระแคะระคายผิวหนังเขาได้เลยแม้แต่น้อย
แต่ในตอนนี้ เขากลับรู้สึกราวกับว่ากำลังถูกกำปั้นนับไม่ถ้วนทุบตีตามร่างกาย เลือดลมปั่นป่วนและเกือบจะกระอักเลือดออกมา
แย่แล้ว! หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไหมปีศาจนภาจะต้องถูกทำลายเป็นแน่! หญิงสาวจากหอดาราสุ่ยเยว่เหล่านี้ช่างป่าเถื่อนยิ่งนัก…
หลังจากที่ต้านรับการโจมตีระรอกแรกเอาไว้ได้ เจียงอี้ก็ไม่กล้าใช้ไหมปีศาจนภาอีกต่อไป หากสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ชิ้นนี้ถูกทำลายขึ้นมา หลังจากนั้นเขาก็คงจะมีสภาพที่น่าสังเวชอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อลองคำนวณเวลาที่เหลือดู ก็ดูเหมือนว่าอีกไม่นานก็จะเที่ยงคืนแล้ว!
เจียงอี้กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ ทันใดนั้นเพลิงโลกาก็โหมกระหน่ำและทำการแผดเผาทุกสิ่งในระยะสามเมตร จากนั้นเขาก็ฉวยโอกาสปล่อยคลื่นพลังฝ่ามือตรงไปยังหญิงสาวสองคน หากว่าสามารถสังหารพวกนางได้ ค่ายกลสุ่ยเยว่ก็น่าจะถูกทำลายเช่นกัน
“เปลี่ยนรูปขบวน!”
หญิงสาวคนหนึ่งตะโกน ทันใดนั้นนักสู้สตรีทั้งหมดต่างก็เคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงแต่ก็ยังคงโคจรอยู่รอบเจียงอี้พร้อมทั้งปลดปล่อยลำแสงกระบี่ออกมาอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าความเร็วในการเคลื่อนไหวของพวกนางจะรวดเร็วมากจนตามแทบไม่ทัน แต่มันน่าเหลือเชื่อยิ่งนักที่พวกนางเคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบและไร้ซึ่งความวุ่นวาย
ถึงรูปขบวนจะเปลี่ยนไป แต่สุดท้ายเจียงอี้ก็ยังคงถูกไล่ต้อนให้อยู่ตรงกลางเสมอ
ปัง! ปัง!
ลำแสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนถูกโหมกระหน่ำใส่เพลิงโลกาและทำให้บางส่วนของมันสูญสลายไป แม้ว่าเจียงอี้จะทำการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง แต่น่าเสียดายที่ความเร็วของเขายังไม่อาจตามพวกนางได้ทัน
ในตอนนี้ เขากำลังอยู่ในความสิ้นหวังและจำเป็นต้องรีดเค้นพลังทั้งหมดเพื่อที่จะคงสภาพของเพลิงโลกาไว้ เพราะหากว่ามันหายไปก็เท่ากับว่าสูญเสียโล่คุ้มกันชีวิต จากนั้นร่างของเขาก็จะต้องกลายเป็นเนื้อสับอย่างไม่ต้องสงสัย
“หากว่ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคงอยู่ไม่ถึงเที่ยงคืนเป็นแน่!”
เจียงอี้รู้สึกกังวลใจ ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน เขายังคงไม่สามารถคิดหาทางเอาตัวรอดได้และทำได้เพียงแค่อดทนต่อไป
……
สถานการณ์อีกด้านหนึ่งก็ดูสิ้นหวังไม่แพ้กัน จ้านอู๋ซวงแบกร่างหยุนเฟยและวิ่งหนีสุดชีวิต หากว่าไม่มีเขาอยู่คอยปัดป้องการโจมตี ป่านนี้นางคงจะตายไปแล้ว
แน่นอนว่า… หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากเวทย์คาถาของหยุนเฟย พลังของจ้านอู๋ซวงก็คงจะหมดไปนานแล้ว ถึงจะใช้แสงศักดิ์สิทธิ์เทพสงครามคุ้มกาย แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะป้องกันการโจมตีได้ทั้งหมด
“หยุนเฟย หนีลงใต้ดิน! ข้าจะรั้งพวกมันเอาไว้เอง!”
เมื่อจ้านอู๋ซวงเห็นเงาร่างนับสิบที่กำลังไล่ล่ามา เขาก็รีบกล่าวด้วยความหวาดผวา เมื่อเห็นเช่นนั้นหยุนเฟยเองก็ไม่กล้าที่จะรอช้า นางพึมพำเล็กน้อยและหน้าผืนดินตรงหน้าก็เปิดออก จากนั้นร่างของนางก็ตกลงไป
แต่ก่อนที่จ้านอู๋ซวงจะได้วิ่งไปข้างหน้าเพื่อหลอกล่อศัตรู ร่างของเขาก็ถูกเถาวัลย์ดึงลงมาด้านล่างเช่นเดียวกัน
ครื้นนนน
รากต้นไม้จำนวนมากที่อยู่ในบริเวณนั้นก็เคลื่อนตัวเข้ามาและทำการปิดปากหลุม คราวนี้ไม่ใช่แค่ชั้นเดียวแต่มันซ้อนทับกันถึงแปดชั้น!
เมื่อตั้งสติได้ จ้านอู๋ซวงก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความโกรธ “หยุนเฟย นี่เจ้าบ้าไปแล้วรึ? เจ้ากำลังขุดหลุมฝังตัวเอง รู้ตัวบ้างไหม?! หากสุ่ยเชียนโหรวมาที่นี่พร้อมกับสร้อยเงินดับโลกา พวกเราคงต้องตายอยู่ที่นี่”
น่าแปลกนัก แม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่หยุนเฟยก็ยังคงยิ้มออกมาและกล่าวด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
“อย่างน้อยถึงต้องตาย ข้าก็ไม่ได้ตายเพียงลำพัง ถึงสวรรค์จะต้องการชีวิตข้า แต่ข้า หยุนเฟยก็พึงพอใจที่ได้ตายพร้อมกับเจ้า”
“เห้ออ… ยัยโง่เอ้ย”
จ้านอู๋ซวงถอนหายใจและไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก เขาเบนสายตาไปมองยังทิศที่เจียงอี้อยู่จากนั้นก็กล่าวด้วยความกังวล
“ยังเหลืออีกตั้งสามสิบกว่านาทีก่อนที่จะถึงเที่ยงคืน ข้าอยากรู้จริงๆว่าสถานการณ์ของเจียงอี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ฮิฮิ!”
หยุนเฟยเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าว “หากว่าเขาไม่รอด พวกเราก็แค่ตายไปพร้อมกับเขา”
นางพูดถูกแล้ว หากแม้แต่เจียงอี้ก็ยังถูกฆ่าตาย พวกเขาทั้งสองคนก็คงไม่มีทางหนีและคงต้องถูกฝังอยู่ที่นี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สามสิบนาที จะว่าน้อยมันก็น้อย แต่จะว่ามากมันก็มาก มันเหลือเฟือที่สุ่ยเชียนโหรวจะใช้สร้อยเงินดับโลกาในการทำลายต้นไม้เหล่านี้
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงกรณีนั้น ด้วยพลังของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่อยู่ทั้งด้านล่างและบนดิน หากว่าพลังของจ้านอู๋ซวงหมดลง ยังไงพวกเขาก็คงหลีกหนีความตายไม่พ้นอยู่ดี…