GOI ตอนที่ 85 การมาถึงของกองหนุน!
เวลาผ่านไปเชื่องช้าประดุจเต่าคลาน ป๋ายเสี่ยวเฟยทำเหมือนที่เขาพูด เขานั่งบนเก้าอี้ทำสมาธิ นัยน์ตาทั้งสองปิดแน่น และจะเปิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีคนกลุ่มใหญ่มา ปัจจุบันมีกลุ่มคนจำนวนมากยืนข้างหลังเขา หากนับคร่าวๆ แล้วได้เกินพัน!
เมล็ดพันธุ์จากการโฆษณาชวนเชื่อเริ่มผลิดอกออกผลแล้ว!
ยังมีเวลาเหลืออีกสองชั่วโมงก่อนจะถึงเวลานัดหมาย!
ข้อเท็จจริงยืนยันได้ว่าการตัดสินใจที่จะปล่อยศิษย์พี่ทั้งสามไปเป็นสิ่งถูกต้อง เพราะการทำเช่นนั้นเทียบเท่าได้กับการเปลี่ยนแปลงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกเมื่อเป็นเกิดขึ้นในเวลาสามทุ่ม!
ด้วยสิ่งที่ป๋ายเสี่ยวเฟยพูดต่อหน้าคนมากมาย พวกศิษย์พี่จะดูแย่ในสายตาธารกำนัลหากพวกเขามาหาเรื่องก่อนเวลานัดหมาย
ยิ่งกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่คอยเก็บค่าคุ้มครองหรือสมาคมรวมพลังศิษย์ใหม่ที่ป๋ายเสี่ยวเฟยเพิ่งสร้าง ทั้งสองล้วนต้องมีการสนับสนุนจากความคิดเห็นของมวลชน!
พูดง่ายๆ คือไม่ว่าเจ้าจะดีหรือเลว หากเจ้าเสียการสนับสนุนจากมวลชนไป เช่นนั้นเจ้าจะมอดม้วยเมื่อใดก็เป็นปัญหาด้านเวลา และหากสาธารณชนไม่ได้สนับสนุนเจ้า เจ้าจะต้องแน่ใจก่อนว่าพวกเขาไม่ได้เป็นศัตรูกับเจ้า
น้ำสามารถทำให้เรือลอย และทำให้มันคว่ำได้เช่นกัน!
ป๋ายเสี่ยวเฟยกำลังสร้างคลื่นน้ำขนาดมหึมาเพื่อคว่ำเรือยักษ์ที่กดขี่ข่มเหงศิษย์ใหม่!
ในบริเวณที่ศิษย์ปีสามจากกระบี่พิฆาตพักอาศัย มีศิษย์ปีสามทั้งหมดเจ็ดคนนั่งอยู่ภายในห้องหนึ่ง พวกเขาทุกคนล้วนเป็นผู้กุมอำนาจ
หนึ่งในพวกมันกล่าว
“สถานการณ์เป็นแบบนี้ หากทุกคนยังต้องการได้รับส่วนแบ่งเค้ก เช่นนั้นจงพยายามเรียกคนมาเท่าที่ทำได้ เพราะจากข้อมูลของข้า ความปั่นป่วนที่นั่นไม่ใช่เล็กๆ !”
อย่างที่ป๋ายเสี่ยวเฟยเคยพูด ไม่ใช่ทุกคนที่จะเอารัดเอาเปรียบศิษย์ใหม่ หนึ่งคือมันเป็นการหมิ่นเกียรติของตนเอง และสอง พวกศิษย์ปีสามที่ยังอยู่ในสถาบันชิงหลัวอาจไม่สนใจเงินก้อนนี้ซึ่งไม่ใช่รายได้หลักของพวกเขาเท่าใดนัก
“ก็แค่ศิษย์ใหม่คนเดียว คู่ควรให้เราระดมพลมากมายเชียวรึ?”
สุ้มเสียงของศิษย์พี่อีกคนแฝงความเหยียดหยาม แน่นอนว่าเขาไม่เข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบัน และเขายังจมปลักอยู่ในความเย่อหยิ่งจากการเป็นศิษย์ปีสามอยู่
“หากเจ้ารู้ว่ามีคนมากเท่าใดรวมตัวอยู่ที่นั่น เจ้าจะไม่เยือกเย็น ข้าพูดตรงๆ ถ้าพวกเราไม่ระวังสักหน่อย จะไม่มีที่ยืนเหลือให้เราอีกในสถาบันชิงหลัว และการจบการศึกษาคงเป็นได้เพียงความฝัน!”
ประสาทสัมผัสด้านกลิ่นของถังชิวเซิงเฉียบคม เขามองการณ์ไกลเป็นอย่างมาก
เมื่อเขาเอ่ยจบ สีหน้าของอีกหกคนที่เหลือเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน
ชัดเจนว่าการไม่อาจจบการศึกษาจากสถาบันชิงหลัวหมายความว่าเช่นใด ถึงแม้สถานะของพวกเขาจะยังคงสูงเมื่อออกจากสถาบัน แต่ความแตกต่างนั้นราวฟ้ากับเหว!
“ข้าจะไปเรียกคนของข้า”
“ข้าด้วย...”
ศิษย์พี่คนแล้วคนเล่ากล่าวตอบรับบอกจุดยืน มีเพียงศิษย์พี่ที่ลุ่มหลงในฐานะของตนเท่านั้นที่ยังอยู่
“เจ้าควรจะคิดให้ดี ข้าจะไประดมคนเช่นกัน”
ถันชิวเซิงเอ่ยเสียงเย็นชาก่อนจะเดินออกไป ในห้องเหลือศิษย์พี่แค่คนเดียว
ในขณะเดียวกัน ทางด้านป๋ายเสี่ยวเฟยเต็มไปด้วยผู้คนมากมายมหาศาลหลั่งไหลเข้ามา!
ภายในกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด มีหนึ่งคนที่นำพาศิษย์ใหม่มาเยอะที่สุด การปรากฎตัวของคนผู้นี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวเฟยตะลึง
นั่นคือ หูเซียนเอ๋อร์!
เมื่อหูเซียนเอ๋อร์เดินเข้ามา ทุกท่วงท่าอิริยาบถเต็มไปด้วยความเป็นกุลสตรี ใบหน้าปกปิดไว้ด้วยผ้าคลุม ป๋ายเสี่ยวเฟยจำนางได้ตั้งแต่แรกเห็น ในใจของเขามีคลื่นโหมกระหน่ำ ป๋ายเสี่ยวเฟยยืนขึ้นภายใต้การจ้องมองอย่างอิจฉาของกลุ่มคนเบื้องหลังหูเซียนเอ๋อร์
และยังเป็นครั้งแรกที่ป๋ายเสี่ยวเฟยยืนขึ้นจากเก้าอี้ตั้งแต่เที่ยง!
“เจ้าไม่ได้ลืมชื่อข้า ใช่หรือไม่?”
เสียงไพเราะเย้ายวนผู้คนของหูเซียนเอ๋อร์ดังขึ้น ศิษย์ชายโดยรอบรู้สึกราวกับจิตใจลอยละล่องเหนือนภา แตกต่างจากใจของป๋ายเสี่ยวเฟยที่เย็นเยียบ
‘แน่นอน!‘
‘ข้าไม่กล้าหาญเช่นนั้น!’
“น้องหูเซียนเอ๋อร์ ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าข้าจะไม่มีทางลืมสาวงามระดับเจ้า เจ้าคงไม่คิดว่าข้าแค่โกหกกระมัง?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะที่ท่วงท่าประดุจวีรบุรุษของเขาเบาบางลงอย่างช่วยไม่ได้
เพราะไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่ไปกว่าสาวงาม!
“ข้าได้ยินว่ามีสาวงามข้างกายเจ้าหลายคน เจ้ายังไปที่ศาลาบุปผาอีก แล้วก็ เรียกข้าว่าพี่หญิง!”
หูเซียนเอ๋อร์เอ่ยเสียงเย็นชา เหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นบนหน้าผากของป๋ายเสี่ยวเฟย
‘พี่หญิง เจ้าจะสนใจข้ามากขนาดนี้เพื่ออะไร!?’
โชคดีที่นี่เป็นสิ่งที่ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยกับตัวเอง หากเขากล้าพูดออกมา ไม่จำเป็นที่พวกศิษย์พี่พวกนั้นจะมาหาป๋ายเสี่ยวเฟยเลยเพราะนางจะเป็นคนหักขาเขาเอง
‘ข้าจะสนใจเจ้ามากเพื่ออะไร!? เจ้าบอกข้าสิว่าเพื่ออะไร!?’
“ข้าสาบานต่อฟ้าดินว่ามันเป็นเรื่องทางธุรกิจ! โดยเฉพาะศาลาบุปผา หากไม่ใช่เพราะต้องคุยธุระ ข้าไม่มีทางไปที่เช่นนั้นเด็ดขาด!”
สีหน้าท่าทีซื่อสัตย์ของป๋ายเสี่ยวเฟยได้รับการตอบแทนด้วยรอยยิ้มของหูเซียนเอ๋อร์
น่าเสียดาย ที่มันเป็นรอยยิ้มที่เย็นเยียบ...
“ข้าพามาได้เท่านี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้า”
เมื่อพูดถึงเรื่องธุรกิจ หูเซียนเอ๋อร์ไม่คิดจะสืบสวนป๋ายเสี่ยวเฟยต่อไป
อย่างไรเสีย ยังมีเวลาอีกมากมายในอนาคต!
‘ไอ้หนู สิ่งที่เจ้าติดค้างข้าไม่อาจใช้คืนได้ด้วยเวลาอันสั้น!’
“แค่เพียงท่านมาก็ช่วยข้าได้มากแล้ว”
ในที่สุดป๋ายเสี่ยวเฟยก็เปิดปากพูดคำที่ทำให้หูเซียนเอ๋อร์อารมณ์ดีขึ้นมา นางแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน หลังจากนั้น หูเซียนเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างเก้าอี้ของป๋ายเสี่ยวเฟย หลินหลีที่ยืนอยู่อีกด้านขมวดคิ้วมุ่นอย่างอดไม่ได้
วินาทีที่ทั้งสองหันมาสบตากัน สัญชาตญาณของผู้หญิงตักเตือนให้พวกนางรู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องนำความยุ่งยากอย่างใหญ่หลวงมาให้!
แน่นอนว่าป๋ายเสี่ยวเฟยไม่รู้ตัวสักนิด แต่เขายังสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นเยียบที่พัดผ่านแผ่นหลังไป
การมาถึงของหูเซียนเอ๋อร์เป็นเพียงจุดเริ่มต้น!
คนต่อไปคือฉินหลิงหยานที่ป๋ายเสี่ยวเฟยเจรจาอย่างยากลำบากในบ้านร้อยรส นางพาคนมาสองร้อยกว่าคน ถึงแม้จำนวนจะไม่มาก แต่พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมือในศิษย์ปีหนึ่งระดับสูง!
หลังจากทักทายกันเล็กน้อย ฉินหลิงหยานสังเกตเห็น ‘ผู้พิทักษ์ซ้ายขวา’ ของป๋ายเสี่ยวเฟย และด้วยเหตุใดไม่ทราบ นางรู้สึกอิจฉาขึ้นมา...
แน่นอนว่านางปกปิดความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างมิดชิด กระทั่งตัวฉินหลิงหยานเองยังแทบจับพิรุษไม่ได้
แต่การมาถึงของฉินหลิงหยานราวกับเปิดประตูให้แก่พวกศิษย์พี่ หลังจากนั้นศิษย์พี่มากมายพรั่งพรูเข้ามาช่วยป๋ายเสี่ยวเฟย
หนึ่งในกลุ่มศิษย์พี่ถูกนำมาโดย ฟางเย่!
ใช่แล้ว ฟางเย่!
ได้มีการกล่าวถึงว่านอกจากร้านค้าบางแห่งที่ทางสถาบันเป็นผู้ควบคุมแล้ว ร้านค้าที่เหลือล้วนมีเจ้าของแตกต่างกันไป และส่วนใหญ่เจ้าของคือศิษย์ในสถาบัน!
แน่นอนว่าศิษย์นักเรียนที่ดูแลจัดการร้านค้าย่อมมีสถานะและอำนาจสูงกว่าศิษย์ที่พึ่งพาการปล้นทรัพย์เป็นรายได้หลัก
แต่พวกเขายังไม่ได้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เพราะความสำเร็จของป๋ายเสี่ยวเฟยยังมิอาจยืนยันได้ พวกเขาเพียงสังเกตการณ์เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในความคิดของป๋ายเสี่ยวเฟย กองหนุนระดับพวกเขาใช่จะหาได้ง่ายๆ
เพราะพวกเขาล้วนเป็นศิษย์ปีสองและปีสาม!
ยิ่งเวลาผ่านไปความเชื่อมั่นของศิษย์ใหม่ยิ่งมากขึ้น พวกเราเริ่มรู้สึกปลื้มปิติที่เลือกอยู่ข้างป๋ายเสี่ยวเฟย
‘จะเป็นใครก็มาเถิด!’
‘พวกเรารอเจ้าอยู่!’