GOI ตอนที่ 84 ถึงเวลาเปิดเผยความสามารถที่แท้จริง!
เมื่อพวกเขาออกจากบ้านร้อยรสก็เป็นเวลาบ่ายกว่าๆ ฉินหลิงหยานไปจัดเตรียมตามที่ป๋ายเสี่ยวเฟยร้องขอ ส่วนป๋ายเสี่ยวเฟยวิ่งกลับไปยังหอพัก
“พี่ใหญ่เฟย!”
โม่ข่าขยับตัวมาข้างกายเมื่อเห็นป๋ายเสี่ยวเฟย ในเวลานี้ทุกอณูของหอพักชั้นแรกเต็มไปด้วยผู้คนที่เข้ามาดูศิษย์พี่ที่ถูก ‘แขวน’
แน่นอนว่าพวกเขาสนใจในละครปาหี่ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นอย่างมาก
ในอีกด้าน การกลับมาของป๋ายเสี่ยวเฟยไม่หลุดรอดสายตาของผู้คน เสียงกระซิบกระซาบดังทั่วพื้นที่
ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ได้เสียเวลาพูดมากนัก เขาเพียงสั่ง
“ปล่อยพวกมันไป”
“ปล่อย? เราจะไม่แขวนพวกมันแล้วหรือ?”
โม่ข่าประหลาดใจเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เพราะอำนาจที่ได้มาจากการแขวนศิษย์พี่พวกนี้ช่างมากมายเหลือเกิน
“พวกเราต้องการเวลา และคงเป็นเพราะไม่มีใครรู้ถึงเบื้องหลังของข้าทำให้ไม่มีใครมาช่วยพวกมัน แต่เวลาผ่านไปนาน พวกมันคงสืบความได้หลายเรื่องแล้วกระมัง หากเรายังไม่ปล่อย จะต้องมีใครมาแน่ แต่หากเราปล่อย เรายังซื้อเวลาได้อยู่”
ด้วยการวิเคราะห์ของป๋ายเสี่ยวเฟย โม่ข่าเข้าใจในทันที เขารีบพาบางคนจากอีกเก้าห้องมา
ในไม่ช้า ศิษย์พี่ทั้งสามที่ในใจปรารถนาอยากจะขุดหลุมหนีความอับอายถูกปล่อยลงมา พวกเขารู้สึกว่าตนโชคดีเล็กน้อยที่ถูกอัดเสียจนไม่มีใครจำได้
มิเช่นนั้นพวกเขาคงมิอาจทนอยู่ในสถาบันชิงหลัวต่อได้อีก...
“กลับไปบอกเบื้องบนของเจ้าว่าข้า ป๋ายเสี่ยวเฟย พูดแล้วไม่คืนคำ หากพวกมันไม่พอใจ ข้าจะรอที่นี่ตอนสามทุ่ม ให้พวกมันเรียกคนมาด้วย ข้าจะได้จัดการพร้อมกันทีเดียว!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเผยสีหน้าดุดันพลางเอ่ย ส่งสัญญาณให้โม่ข่าปลดเชือกบนตัวศิษย์พี่
“มารดาเจ้าเถอะ!”
ทั้งสามรีบหนีทันทีที่ถูกปลดปล่อย ฝูงชนที่อยู่ด้านข้างเปิดทางให้พวกเขาผ่านไป
เสือที่ตกลงมาจากหน้าผาสู่พื้นหญ้าก็ยังเป็นเสืออยู่วันยังค่ำ ศิษย์ใหม่ส่วนใหญ่ยังคงเกรงกลัวต่อขนบธรรมเนียมที่มีมาอยู่ช้านานในสถาบันชิงหลัว
ป๋ายเสี่ยวเฟยหันหลังกลับไปมองฝูงชนรอบกาย พวกที่ยืนอยู่แถวแรกได้ยินสิ่งที่ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ย แววตาที่พวกเขามองมายังป๋ายเสี่ยวเฟยแฝงความสับสน
“ข้าเดาว่าทุกท่านในที่นี้คือศิษย์ใหม่ แน่นอนว่าอาจมีศิษย์พี่บางคนแฝงตัวอยู่”
“ข้าคือป๋ายเสี่ยวเฟย คนที่ทุกท่านพูดถึง และข้าจะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้แก่ศิษย์พี่”
ป๋ายเสี่ยวเฟยแหกปากเอ่ยเสียงดังกลบเสียงกระซิบกระซาบ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะเงี่ยหูสดับฟังสิ่งที่เขาพูด
“สหายนักเรียน มีศิษย์ใหม่ทั้งหมด 8000 คนจาก 500 ห้องรวมกัน! แต่ศิษย์ปีหนึ่งมีเพียง 5000 คนเท่านั้น และน้อยกว่าครึ่งของกลุ่มเสียเวลาเล็งเป้ามาที่พวกเรา ยิ่งศิษย์ปีสองยิ่งมีน้อยกว่า แล้วเหตุใดพวกเราทั้ง 8000 คนจะต้องกลัวศิษย์พี่ไม่กี่คน?”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพราะพวกเขามาที่นี่ก่อนเราหนึ่งปี? เพราะพวกเขาแข็งแกร่งกว่า? เช่นนั้นให้ข้าถาม หากนักเชิดหุ่นระดับสูงสามารถเอาชนะนักเชิดหุ่นระดับกลางได้สองคน แล้วห้าเล่า? สิบเล่า? ศิษย์พี่ทั้งสามที่พวกเราแขวนก็เป็นระดับสูงเช่นกัน แต่แค่พวกเราสิบคนก็จัดการได้แล้ว และคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเราเป็นเพียงระดับกลาง!”
“พวกเรามาเพื่อเรียน มาเพื่อฝึกให้แข็งแกร่ง! พวกเราไม่ได้มาให้คนอื่นเอาเปรียบ ไม่ได้มาส่ายหางประจบผู้อื่น! ทุกคนล้วนใฝ่ฝันอยากเป็นยอดฝีมือ แต่หากพวกท่านยอมเป็นเบี้ยล่างผู้อื่น ยอมเป็นอาหารให้ผู้อื่นกัดกิน เช่นนั้นข้าขอถาม พวกท่านจะทำฝันให้เป็นจริงได้อย่างไร? ผู้ที่ยอมแพ้ตั้งแต่แรกเริ่มมีสิทธิ์อันใดในการฝัน!?”
“ในความคิดของข้า พวกที่จ่ายเงินเพื่อความสงบสุขไม่ต่างอันใดจากสวะไร้ราคา! จะเป็นขยะหรือผู้กล้า พวกท่านสามารถเลือกเองได้!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว ทุกคนในที่นี้เหม่อมองไปตามๆ กัน ไม่เว้นแม้แต่โม่ข่าและพวก
หลังจากใช้เวลาร่วมกันกว่าหนึ่งเดือน พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าป๋ายเสี่ยวเฟยจะมีมุมนี้ด้วย สามคนในหมู่พวกเขากระทั่งไม่แน่ใจว่าป๋ายเสี่ยวเฟยกำลังเสแสร้งหรือไม่...
‘นี่หรือคือระดับสูงสุดที่ป๋ายเสี่ยวเฟยเคยบอกไว้?’
‘ควบคุมบุคลิกได้อย่างสมบูรณ์?’
“วันนี้ตอนสามทุ่ม ข้าจะรออยู่ที่นี่เพื่อทุกท่าน!”
ขณะที่กล่าว ป๋ายเสี่ยวเฟยชักใยที่โม่ข่าและคนอื่นๆ ใช้ตอนไปกระจายข่าว เขานั่งลงก่อนจะค่อยๆ หลับตา
หลังจากนั้น โม่ข่าและพวกยืนนิ่งอยู่หลังป๋ายเสี่ยวเฟย แถวถัดไปเป็นหัวหน้าห้องของอีกเก้าห้องและเพื่อนร่วมห้องของพวกมันที่ยังอยู่ในหอพัก
หนึ่งกลุ่มรวมเป็นรูปร่างได้ดังนี้ พวกเขากลายเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดฝูงชนรอบข้างมายืนหลังป๋ายเสี่ยวเฟยอย่างรวดเร็ว
เมื่อมีหนึ่ง ย่อมมีสอง และสาม สี่...
บ้างเลือกที่จะรอดู บ้างกลับไปถกเถียงกับมิตรสหาย บ้างถึงกับกลับไปชักชวนพักพวกมา แน่นอนว่า ยังมีศิษย์พี่ที่ ‘หลบซ่อน’ อยู่ พวกเขาได้กลับไปรายงานให้เบื้องบนรับรู้...
กลุ่มฝูงชนโดยรอบเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง และยังมีอีกห้าชั่วโมงก่อนจะถึงเวลา!
...
ศิษย์พี่สามคนที่ถูกปล่อยรีบวิ่งไปหาห้องของหัวหน้า สถานที่นี้สับสนวุ่นวายเช่นกัน
“ไม่ได้เรื่อง! เกิดอะไรขึ้นกันแน่? พี่ใหญ่ติดต่อข้ามาบอกว่าสถานการณ์เลยเถิดไปใหญ่แล้ว! ไอ้พวกโง่!!”
หัวหน้าของพวกมันไม่ถามอันใด เจอหน้าก็ก่นด่าทันที
“ถันเหล่าต้า พวกเราไม่ต้องการให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเช่นกัน แต่เจ้าคนแซ่ป๋ายนั้นโหดเหี้ยมเกินไป! อีกอย่าง มันยังเจ้าเล่ห์เหลือเกิน พวกเราทั้งสามถูกเล่นงานทีเผลอ!”
หัวหน้าในหมู่ทั้งสามรีบเอ่ยอธิบาย เขาพยายามอย่างหนักในการบรรยายความร้ายกาจของป๋ายเสี่ยวเฟย
แน่นอนว่ามันทำเช่นนี้เพื่อลดทอนการถูกติเตียน แต่ไม่มีประโยชน์ต่อตัวตนของป๋ายเสี่ยวเฟยในสายตาถันชิวเซิงแม้แต่น้อย
“บอกข้าเกี่ยวกับไอ้เด็กนี่ และเบื้องหลังของมันมีใครอีก?”
ตั้งแต่วินาทีที่เขาเริ่มค้นหาเรื่องของป๋ายเสี่ยวเฟย ถันชิวเซิงได้ข้อมูลมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เขาสามารถบ่งบอกได้ว่ามีอะไรแปลกๆ เกี่ยวกับป๋ายเสี่ยวเฟย
เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงยังไม่เคลื่อนไหว
ในเมื่อหัวหน้าเป็นคนถาม หนึ่งในพวกมันทำตามทฤษฏี ‘ยิ่งมากยิ่งดี’ และมันเริ่มสาธยายเรื่องเกี่ยวกับป๋ายเสี่ยวเฟยเป็นเวลาสิบนาทีเต็ม แน่นอนว่ามันปั้นน้ำเป็นตัวทั้งนั้น...
ที่สำคัญคือถันชิวเซิงเชื่อมัน!
หากป๋ายเสี่ยวเฟยอยู่ที่นี่ด้วย เขาคงยกนิ้วโป้งขึ้นมาและกล่าว
‘ขอบคุณพี่ชายที่ช่วยเหลือ...’