บทที่ 200 กองหนุนที่ไม่คาดฝัน
“จ้านอู๋ซวงรึ?”
เจียงอี้กลัวว่าตัวเองจะได้ยินผิดไป แม้ว่าจะตกใจอยู่บ้างแต่ก็ยอมชะโงกหัวขึ้นมาดู ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังชายร่างใหญ่ซึ่งสวมชุดเกราะสีดำทมิฬและมีสีผิวสีทองแดง
“จ้านอู๋ซวง นั่นเจ้าจริงๆหรือ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
จ้านอู๋ซวงระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจและเดินเข้ามาโอบกอดเจียงอี้ด้วยแขนอันใหญ่ยักษ์
“เจ้าแน่มากเลยนะ ข้าไล่ตามเจ้ามาตั้งนานแต่เพิ่งตามทันวันนี้ ฮ่าฮ่า!”
“หืม?”
ในขณะที่เจียงอี้กำลังดีใจที่ได้เจอสหาย หางตาของเขาก็เผยเหลือบไปเห็นร่างของหญิงสาวนางหนึ่ง
นั่นไม่ใช่องค์หญิงหยุนเฟยเรอะ? เอาจริงดิ?!
“สหาย เจ้าเองก็ไม่ธรรมดาเลยนะ ฮ่าฮ่า”
“ฮิฮิ! ในวันที่สามของสงคราม ข้าก็บังเอิญไปเจอนางและช่วยชีวิตนางไว้” จ้านอู๋ซวงกล่าวด้วยรอยยิ้มและกวักมือให้หยุนเฟยเดินมาหา
“หยุนเฟย มานี่สิ ทักทายพี่น้องของข้าเสียหน่อย”
องค์หญิงหยุนเฟยผู้เลอโฉมแสดงท่าทีอึดอัดใจ แต่นางก็ยังเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงอันสุภาพ “เจียงอี้ ไม่ได้พบกันนานเลยนะ”
เจียงอี้หุบยิ้มไม่ได้และเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“พวกเจ้าไล่ตามข้ามานานเท่าไหร่แล้ว? แล้วเจอข้าได้ยังไง?”
“คนหาเจ้าเจอไม่ใช่ข้า!”
จ้านอู๋ซวงกล่าวพลางเหลือบไปมองหยุนเฟย “ที่ข้าหาเจ้าพบก็เป็นเพราะกายวิญญาณพฤกษาของหยุนเฟย นางสามารถใช้ญาณในการกระจายจิตสัมผัสเพื่อสำรวจทุกสิ่งในรัศมีห้าสิบกิโลเมตรของพื้นที่ที่เป็นป่า”
“ไม่เพียงแต่เจ้า แต่นางยังสัมผัสได้ถึงกลุ่มหยุนเฮ่อที่กำลังมุ่งหน้ามา ที่พวกเรามาหาเจ้าก็เพื่อที่จะแจ้งข่าวร้าย หยุนเฮ่อได้นำกองกำลังนักสู้จากอาณาจักรเทียนเซวี่ยนพร้อมกับกลุ่มของสุ่ยเชียนโหรวมาเพื่อล้อมสังหารเจ้า”
“เจียงอี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าชายผู้นั้นใช้แมลงพิษเขียวในการตามรอยเจ้า? ข้ากลัวว่าเจ้าจะเป็นอะไรไปก็เลยรีบมาเตือนให้เจ้าเตรียมความพร้อม”
“เข้าใจล่ะ”
แต่ถึงยังไง สิ่งที่ทำให้เจียงอี้อดที่จะตกตะลึงไม่ได้ก็คือหยุนเฟย กายวิญญาณพฤกษาน่ากลัวขนาดนี้เชียวหรือ? สัมผัสศัตรูในรัศมีห้าสิบกิโลเมตรรอบบริเวณป่า? ช่างเป็นความสามารถที่ขี้โกงอะไรเช่นนี้?!
“หยุนเฮ่อ? อาณาจักรเทียนเซวี่ยน? แมลงพิษเขียว?”
ม่านตาของเจียงอี้หดแคบลงและหันไปถามหยุนเฟยด้วยความสงสัย “หยุนเฟย ไม่ใช่ว่าหยุนเฮ่อผู้นี้มาจากอาณาจักรเทียนเซวี่ยนเช่นเดียวกันกับเจ้า? การที่เขาสามารถรวบรวมกองกำลังนักสู้ของอาณาจักรเทียนเซวี่ยนได้นั้นก็หมายความว่าเขาอาจจะมีสถานะเป็นถึงองค์ชาย ใช่หรือไม่? เขาเป็นพี่น้องของเจ้า?”
“เจ้าจะว่าอย่างนั้นก็ได้”
จากนั้นหยุนเฟยก็อธิบายเสริม “ข้ากับหยุนเฮ่อเป็นพี่น้องต่างมารดา แต่ข้ากับเขาเป็นศัตรูกัน การตายของพี่ใหญ่ของข้าสืบเนื่องมาจากคนผู้นี้ มิฉะนั้น พี่ใหญ่ของข้าคงจะกลายเป็นองค์รัชทายาทไปแล้ว”
“อีกอย่าง เขามาจากเชื้อสายของจอมเวทย์ที่ชั่วร้ายซึ่งเป็นปรปักษ์กับทางฝั่งของข้า อาจกล่าวได้ว่าพวกเราเป็นศัตรูกันตั้งแต่เกิดแล้ว”
เจียงอี้พยักหน้าและเอ่ยต่อ “แล้วเจ้าแมลงพิษเขียวล่ะ มันคืออะไร? เจ้าช่วยให้ข้าสลัดพวกมันหลุดได้หรือไม่? ข้าสังหารพวกมันไปมากมาย แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไร้ประโยชน์…”
“เรื่องนี้มัน…”
หยุนเฟยถอนหายใจขณะส่ายศีรษะ “แมลงพิษเขียวเป็นเผ่าพันธุ์แมลงโบราณ พวกที่เจ้าฆ่าไปนั้นเป็นเพียงแค่ลูกแมลง พวกมันจะไม่หยุดจนกว่าเจ้าจะฆ่าตัวแม่ได้ แต่แมลงตัวแม่มีความเร็วที่น่ากลัวและด้วยพลังของพวกเรา คงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดการมัน”
“ยุ่งยากเสียจริง!”
เจียงอี้พึมพำด้วยความหงุดหงิดใจ จากนั้นก็หันไปกล่าว “เช่นนั้นพวกเจ้าก็ควรจะจากไปได้แล้ว ข้ารู้มาสักระยะแล้วว่ากำลังถูกผู้อื่นไล่ล่าอยู่และข้าเองก็กำลังรอคอยพวกมัน”
“แต่เดี๋ยวนะ… เวรแล้วไง! พวกเจ้าเข้ามาในป่าอาถรรพ์แล้ว แล้วอย่างนี้พวกเจ้าจะออกไปกันยังไงล่ะเนี่ย?!”
หลังจากที่พูดคุยกันอยู่นาน เจียงอี้ก็เพิ่งฉุกคิดได้ ป่าอาถรรพ์ไม่ใช่สถานที่ที่จะฝ่าออกไปง่ายๆ หากไม่มีเพลิงโลกา เขาเองก็จนปัญญาเช่นกัน
หากว่าเขาแผดเผาป่าอาถรรพ์เสียตั้งแต่ตอนนี้เพื่อให้เหล่าสหายออกไป แล้วเขาจะเอาอะไรไว้สู้กับพวกศัตรู?
“ป่าอาถรรพ์คืออะไร?” จ้านอู๋ซวงถามพลางมองไปรอบๆ
เจียงอี้อธิบายทุกอย่างที่เขาเข้าใจซึ่งทำให้คนทั้งกลุ่มอกสั่นขวัญแขวน แต่มีเพียงหยุนเฟยเท่านั้นที่ยังคงสงบนิ่ง ไม่นานนักนางก็เอ่ย
“ไม่ต้องกังวล ข้าสามารถพาพวกเจ้าออกจากที่นี่ได้อย่างง่ายดาย ข้าสามารถควบคุมพืชพรรณได้ทุกชนิดและออกจากป่าแห่งนี้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ”
เมื่อกล่าวจบ ร่างกายของหยุนเฟยก็เปล่งแสงสีเขียว จากนั้นต้นไม้ใบหญ้าทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณนี้ก็สั่นไหวไปมา พริบตาเดียวต้นไม้ใหญ่ทั้งหลายก็แหวกทางให้ซึ่งเปรียบเสมือนการเชื้อเชิญสู่ทางออก
ฉากตรงหน้าทำให้เจียงอี้ตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้างจนแทบจะหลุดออกมาจากเบ้าอยู่รำไร
“ในเมื่อพวกเจ้าสามารถออกไปได้ เช่นนั้นก็ไปเสียเถิด มิฉะนั้นจะสายเกินไป”
เจียงอี้กล่าวกระตุ้น จากนั้นเขาก็หันไปมองจ้านอู๋ซวงและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องห่วงข้า แม้ว่าข้าจะไม่อาจกล่าวได้ว่ามีโอกาสรอดถึงสิบส่วนแต่อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าห้าส่วนแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็มั่นใจว่าจะสามารถสังหารศัตรูได้มากกว่าครึ่งเมื่อพวกมันย่างกรายเข้ามาในป่าอาถรรพ์แห่งนี้”
“จริงสิ… หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันและทำให้ข้าจบชีวิตอยู่ที่นี่ อีกสิบวันหลังจากนี้ให้พวกเจ้ามาที่นี่อีกครั้งและเอาเหรียญตราทั้งหมดของข้าไป ด้วยคะแนนที่ข้ามีคงช่วยให้พวกเจ้ากลายเป็นอันดับหนึ่งของสงครามครั้งนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น”
“ข้าไม่ไป”
ดวงตาของหยุนเฟยเผยให้เห็นความแน่วแน่ จากนั้นนางก็กล่าว
“อู๋ซวง เจ้านำคนของเจ้าไปจากที่นี่เสีย ข้าจะช่วยเจียงอี้สังหารหยุนเฮ่อเพื่อแก้แค้นให้กับพี่ชายของข้า หากหยุนเฮ่อตาย พี่ชายของข้าที่อยู่บนสวรรค์จะต้องพึงพอใจเป็นแน่ นอกจากนี้ป่าอาถรรพ์ยังมีรูปแบบตามธรรมชาติของมัน ซึ่งมันคงจะน่าเสียดายมากหากว่าข้าละทิ้งโอกาสนี้ไป!”
“ข้าเองก็ไม่ไปเช่นกัน!”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของทั้งสอง จ้านอู๋ซวงก็กล่าวขึ้นมาบ้าง “เจียงอี้ เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น! ตระกูลเทพสงครามไม่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีทางวิญญาณ ดังนั้นป่าอาถรรพ์ก็ไม่ควรส่งผลกระทบต่อข้าเช่นกัน”
“ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าข้าจะเป็นเพียงนักสู้ขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่ห้า แต่การรับมือกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นที่หนึ่งหรือสองก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด!”
“องค์หญิง!”
“ประมุขน้อย!”
เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาต่างก็ตื่นตระหนกและร้องอุทานออกมา
“ไม่ต้องพูดอะไรอีก! ข้าตัดสินใจแล้ว!”
สายตาของหยุนเฟยแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “หากหยุนเฮ่อรอดกลับไปได้ เขาจะต้องถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทอย่างแน่นอน หลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นเสด็จแม่หรือน้องชายของข้า พวกเขาก็คงจะทำได้เพียงแค่รอคอยความตายเท่านั้น!”
“นี่คือโอกาสที่ดีที่สุด… หยุนหลง เจ้าพาคนอื่นๆกลับไปยังถ้ำใต้ดินที่พวกเราใช้ซ่อนตัวก่อนหน้านี้และรอการกลับมาของข้าอยู่ที่นั่น!”
จ้านอู๋ซวงเองก็หันไปทางผู้ใต้บังคับบัญชาและกล่าวด้วยความหนักแน่น “จ้านถู นำคนอื่นติดตามหยุนหลงไป นี่เป็นคำสั่ง!”
“เฮ้! เฮ้!”
เจียงอี้ทนไม่ได้และรีบพูดแทรกขึ้นมา “พวกเจ้าสองสามีภรรยาจะไม่ถามความเห็นของข้าหน่อยรึ? ไม่ใช่แค่หยุนเฮ่อเท่านั้น แต่พวกเรายังต้องปะทะกับสุ่ยเชียนโหรวด้วย และข้าก็ยังไม่รู้ว่านางมีสิ่งประดิษฐ์ที่ร้ายกาจอยู่กับตัวกี่ชิ้นกันแน่?”
“แต่ที่ข้าบอกได้ก็คือ นางมีสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์อย่างน้อยสองถึงสามชิ้นและสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์อีกหนึ่งชิ้น!”
“นอกจากนี้ หากว่าข้ามีโอกาสข้าคงต้องลงมือสังหารนาง… ตัวข้าน่ะไม่เป็นไร แต่พวกเจ้าไม่กลัวที่จะมีปัญหากับสุ่ยโย่วหลานหรือ?”
“ข้าว่าพวกเจ้าทั้งคู่กลับไปเสียเถอะ ข้าอาจจะลงมือได้สะดวกกว่าหากว่าอยู่คนเดียว อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ ข้าเกรงว่าพวกเจ้าจะมาเป็นภาระข้าเสียมากกว่า”
เจียงอี้จำเป็นต้องเอ่ยถ่อยคำที่รุนแรงเหล่านี้ออกมาเพื่อรักษาชีวิตของสหายทั้งสองเอาไว้
“หึหึ!”
หยุนเฟยหัวเราะในลำคอ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความมั่นใจ “เจียงอี้ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าหากมีข้าอยู่ด้วย โอกาสรอดของเจ้าจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยห้าส่วน? มันยังรวมไปถึงโอกาสที่จะสังหารหยุนเฮ่อได้ก็จะเพิ่มขึ้น”
“อีกอย่าง เจ้าอย่าได้ดูถูกความแข็งแกร่งของอู๋ซวงเชียว ข้าพูดได้เพียงแค่ว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวทั่วไปไม่อาจจะที่ต่อกรกับเขาได้”
จ้านอู๋ซวงเองก็กล่าวเสริมออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหงุดหงิด “เจียงอี้ เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าดูถูกข้าแล้วรึ? แม้ว่าเจ้ากับข้าจะเป็นสหายกัน แต่เจ้าเชื่อไหมว่าข้าจะอัดเจ้าให้มารดาจำหน้าไม่ได้เลยทีเดียว?! ตระกูลเทพสงครามของข้าไม่อนุญาตให้ผู้ใดมาดูหมิ่น!”
“แล้วอีกอย่างนะ เจ้ายังไม่ต้องคิดถึงเรื่องของสุ่ยโย่วหลาน มันเป็นธรรมดาที่จะนักสู้จะทิ้งชีวิตไว้ในสงครามราชอาณาจักร ด้วยฉายานักสู้อันดับหนึ่งของนาง ข้าคิดว่านางคงไม่ใช่คนใจแคบ…”
“พวกเจ้านี่มัน… เห้ออ”
เจียงอี้หมดคำพูด แต่ก็เป็นความจริงดั่งที่หยุนเฟยกล่าว หากมีนางอยู่ด้วย โอกาสรอดชีวิตก็จะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ในเมื่อสหายทั้งสองตั้งใจแน่วแน่แล้ว เขาจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร?
เจียงอี้จ้องมองทั้งสองคนด้วยแววตาอันล้ำลึก จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“เอาล่ะ ให้คนของพวกเจ้าออกจากป่าไปก่อน แล้วพวกเราก็ค่อยมาคุยเรื่องแผนการกัน แต่ที่แน่ๆ ข้าต้องการที่จะล่อศัตรูให้เข้ามาที่นี่และสังหารพวกมันทุกคน จากนั้นเราค่อยเอาเหรียญตรามาแบ่งกัน ข้าเชื่อว่าอันดับหนึ่งคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม”