บทที่ 198 ป่าอาถรรพ์
“ข้ามีเหรียญตรามากกว่าหนึ่งพันสี่ร้อยเหรียญและมีเหรียญสีดำกว่าหกสิบเหรียญ เช่นนั้นคะแนนสะสมของข้าก็พุ่งสูงขึ้นจนเกือบถึงสามพันคะแนนแล้ว!”
ในขณะที่เจียงอี้กำลังเดินทางอยู่นั้น เขาก็ใช้เวลาว่างในการตรวจสอบเหรียญตราทั้งหมดที่ถูกเก็บไว้ในไข่มุกวิญญาณเพลิง
ในตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มนักบวชก่อนหน้านี้ เขาไม่คิดว่าตัวเองจะพ้นวิกฤตได้โดยง่ายและยังได้เหรียญตรามาเพิ่มอีกกว่าหกร้อยเหรียญ
นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพลังของนักบวชกลุ่มนั้นไม่ธรรมดา โดยเฉพาะการโจมตีทางวิญญาณที่ไม่สามารถประมาทได้เลยแม้แต่นิดเดียว
แน่นอนว่าหากไม่มีหินวิญญาณเพลิง เหรียญตราทั้งหมดที่อยู่ในไข่มุกวิญญาณเพลิงก็คงจะกลายเป็นของคนเหล่านั้นไปแล้ว
สงครามราชอาณาจักรยังดำเนินมาไม่ถึงสิบวัน สามพันคะแนนนั้นไม่นับว่ามาก แต่ก็ไม่น้อยเช่นกัน
ด้วยคะแนนที่มีอยู่ในตอนนี้ ลำดับของเจียงอี้ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่พอใจ
ด้วยการถูกแมลงประหลาดคอยติดตามตลอดเวลา เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีมีดมาจ่ออยู่ที่ต้นคอ เขารู้ดีว่าอีกไม่นานเจ้านายของแมลงเหล่านี้ก็จะไล่ตามมาทัน
ฟึ่บ!
เจียงอี้ข้ามผ่านมายังที่ลุ่มแม่น้ำ ที่ราบหินผลึกช่างน่าอัศจรรย์โดยแท้ มันมีภูมิประเทศแทบจะทุกชนิดอยู่ภายใน แม้ว่าจะเดินทางตลอดทั้งวัน แต่ก็น่าเสียดายที่เขายังไม่พบสถานที่อันเป็นประโยชน์ซึ่งจะเอื้ออำนวยให้เขาใช้ต่อสู้และรับมือกับศัตรู
ด้านหน้าของเจียงอี้เป็นป่าทึบสีเหลือง เขาเดินทางมาตลอดทั้งวันทำให้เหนื่อยล้า เขาควบปีศาจหมาป่าให้ตรงเข้าไปในป่าเพื่อที่จะหาสถานที่สร้างขุดหลุมใต้ดินและใช้เป็นที่พักสักสองสามชั่วโมง
ท้องฟ้าของสถานที่แห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยอาคมยับยั้งทำให้ไม่มีข้อแตกต่างระหว่างกลางวันและกลางคืน
เอ๊ะ? ต้นไม้ประหลาดอะไรกัน? ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน!
เมื่อย่างเท้าเข้ามาในป่า เจียงอี้ก็รู้สึกประหลาดใจกับต้นไม้ยักษ์นับไม่ถ้วน พวกมันมีลำต้นสีเหลืองและหนาเท่ากับร่างกายของมนุษย์ ไม่ว่าจะส่วนใบหรือเปลือกไม้ทั้งหมดล้วนแต่เป็นสีเหลืองและยังมีลวดลายแปลกประหลาดอีกด้วย
แต่ไม่นานนักเจียงอี้ก็ละความสนใจไป เขานำเหรียญตราขึ้นมาเพื่อสำรวจให้แน่ใจว่าไม่มีผู้อื่นอยู่ในบริเวณนี้ จากนั้นเขาก็เดินทางต่อ
“ซู้วว—!”
แต่ในขณะที่ปีศาจหมาป่าเผลอไปเหยียบใบไม้สีเหลืองซึ่งหล่นอยู่บนพื้น จู่ๆมันก็แผดเสียงร้องออกมาเล็กน้อย แต่เจียงอี้ก็คิดไปว่าเขาอาจจะหูแว่วไปเองเพราะความเหนื่อยล้าเลยไม่ได้สนใจอะไร
เมื่อเดินเข้ามาลึกขึ้น เขาก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มมืดมัวเนื่องจากใบไม้หนาทึบที่บดบังแสงจากท้องฟ้า
“ไปกันเถอะ!”
หมาป่าจันทราสีเงินเพิ่มความเร็วและมุ่งหน้าต่อไป ในขณะที่อยู่บนหลังของปีศาจหมาป่า เจียงอี้ก็นำเหรียญตราออกมาสำรวจศัตรูตลอดเวลา
ดูเหมือนว่ามันจะเกินความคาดหมายของเขาไปเล็กน้อย แม้ว่าจะวิ่งเข้ามาในป่าเป็นเวลานานแล้วแต่กลับไม่พบจอมยุทธคนอื่นๆเลยแม้แต่เงา
แต่ในขณะที่เขาเตรียมตัวจะหยุดพัก จู่ๆก็มีเสียงบางอย่างดังออกมาจากทางซ้าย
“มีคนอยู่ที่นี่!”
โชคดีที่เจียงอี้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เขาเก็บหมาป่าจันทราสีเงินกลับเข้าไปในเครื่องรางสัตว์วิญญาณและรีบกระโจนขึ้นไปบนต้นไม้ด้วยความคล่องแคล่ว
ในขณะที่กำลังซ่อนตัวเขาก็เก็บเหรียญตรากลับไปและเฝ้ารอให้ศัตรูปรากฏกาย
“อ๊าก! อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องนำมาก่อน คิ้วของเจียงอี้ขมวดเข้าหากันและเฝ้าดูสถานการณ์ด้วยความระมัดระวัง น่าแปลกที่เขาไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้ แต่กลับได้ยินเพียงแค่เสียงฝีเท้าและเสียงร้องเท่านั้น
“อ๊าก—!”
ไม่นานเกินรอ ร่างของคนผู้หนึ่งก็โผล่ออกมา เสื้อผ้าของเขาสกปรก มีผมเผ้ายุ่งเหยิงและยังมีรอยเลือดที่แห้งกรังอยู่ตามร่างกาย
ในขณะที่ชายคนนี้กำลังวิ่ง เขาก็แกว่งแขนไปมาและกรีดร้องออกมาเป็นครั้งคราวราวกับคนบ้า
หรือจะเป็นแผนล่อศัตรู?
ไม่ว่ายังไงเจียงอี้ก็ไม่กล้าประมาท เขารอให้อีกฝ่ายวิ่งเข้ามาใกล้ๆ เมื่อได้ระยะที่เหมาะสมแล้วก็กระโจนลงไปพร้อมทั้งตวัดดาบไปที่คนผู้นั้น
ฟับบ!
เจียงอี้รู้สึกตกใจ แม้ว่ากำลังจะถูกดาบทะลวงศีรษะ แต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดจะต่อต้าน ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เสี้ยววินาทีนั้น ชายวิกลจริตก็เหมือนจะได้สติกลับมาและรู้สึกราวกับถูกปลดปล่อย
เกิดอะไรขึ้น?
เจียงอี้ครุ่นคิดด้วยความสงสัยอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเขาก็ค้นตัวศพและพบกับเหรียญตรานับสิบซึ่งนับได้ว่าเป็นโชคลาภเล็กๆ
ไปต่อ!
เมื่อมีศพอยู่ที่นี่ เจียงอี้ก็ไม่อาจนอนหลับได้อย่างสบายใจ ดังนั้นเขาจึงเรียกหมาป่าจันทราสีเงินออกมาและเดินทางต่อ
แต่เมื่อวิ่งออกไปได้สักพัก เขาก็พบว่าจอมยุทธอีกคนที่มีพฤติกรรมเหมือนกับคนก่อนหน้านี้ นั่นก็คือเป็นบ้า!
ฉึก!
เขาใช้ดาบเกล็ดทมิฬแทงไปยังคนผู้นั้นอย่างไม่ลังเล เมื่อสำรวจรอบด้านว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เขาก็ค้นศพแต่น่าเสียดายที่เจอเหรียญตราเพียงแค่เหรียญเดียวเท่านั้น
“อ๊าก! อ๊าก!”
แต่ก่อนที่จะได้กลับขึ้นไปบนหลังของปีศาจหมาป่า ร่างเงาของคนผู้หนึ่งก็วิ่งอย่างทุลักทุเลออกมาจากป่าด้านขวามือ แม้ว่าจะยังคงมีท่าทีเหมือนกับคนบ้าเช่นเดียวกับคนก่อนหน้านี้ แต่เขากลับมีความเร็วที่น่ากลัวกว่ามาก เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยว!
เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมคนที่ข้าเจอในป่าทุกคนถึงกลายเป็นบ้ากันไปหมด?
คราวนี้เจียงอี้เลือกที่จะถอยไปด้านข้างและปล่อยให้คนผู้นั้นวิ่งผ่านไป น่าเหลือเชื่อที่คนผู้นั้นไม่แม้แต่จะมองเขา สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกถึงลางร้ายบางอย่าง
คนบ้าสองคนก่อนหน้านี้อาจจะทำให้เจียงอี้ประหลาดใจได้บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับตกตะลึง แต่ตอนนี้ผู้ที่เขาพบกลับเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยว แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาตกใจได้เยี่ยงไร?
ฟึ่บ
เจียงอี้บังคับให้หมาป่าจันทราสีเงินวิ่งตามคนผู้นั้นไปและลงมือสังหารเขา คราวนี้เขาได้รับเหรียญตราถึงยี่สิบเหรียญ
เมื่อเขากวาดสายตาไปมองรอบๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรจู่ๆป่าสีเหลืองแห่งนี้ก็ทำให้เส้นขนในร่างกายลุกชันและรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“ไปกันเถอะ”
ป่าแห่งนี้น่าพิศวงเกินไป ในที่สุดเจียงอี้ก็ตัดสินใจได้และไม่ต้องการที่จะอยู่ที่นี่ต่อเลยแม้แต่วินาทีเดียว เขาควบปีศาจหมาป่าให้วิ่งเป็นทางตรงและหวังว่าจะพบกับสถานที่แห่งใหม่ซึ่งสามารถใช้พักผ่อนได้
แต่ตลอดทั้งเส้นทาง เจียงอี้ก็พบเจอกับคนบ้าอีกจำนวนหนึ่งพร้อมทั้งศพมากมายที่นอนเกลื่อนกลาด เมื่อมองไปที่ใบหน้าคนตายเหล่านั้นเขาก็รู้สึกหวาดหวั่นและตื่นตระหนก นั่นก็เป็นเพราะว่าร่างกายของคนเหล่านั้นไร้ซึ่งบาดแผล แต่ดวงตาของพวกเขากลับเบิกกว้างซึ่งเผยให้เห็นความหวาดกลัวถึงขีดสุดก่อนตาย!
มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล!
หลังจากที่ออกวิ่งมาได้ชั่วครู่ ใบหน้าของเจียงอี้ก็ซีดขาวลง เขารีบสั่งให้ปีศาจหมาป่าหยุดอยู่กับที่และจ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยความหวาดผวา
สิ่งที่เขาเห็นก็คือศพของคนผู้หนึ่งที่ศีรษะถูกผ่าจนเป็นแผลเหวอะหวะ คนๆนี้ก็คือชายวิกลจริตคนแรกที่ถูกเจียงอี้ลงมือสังหารเมื่อเข้ามาในป่าแห่งนี้!
เขาวิ่งเป็นทางตรง แต่ทำไมถึงวนกลับมาที่เดิม?!
หรือว่ามันจะเป็นป่าเขาวงกต! ดวงตาของเขาเผยให้เห็นความตึงเครียด เขานำดาบเกล็ดทมิฬออกมาและต้องการที่จะลองตัดต้นไม้
เช้ง! เช้ง!
แต่เรื่องน่าพิศวงอีกอย่างก็บังเกิดขึ้น ผลปรากฏว่าเมื่อดาบฟันลงไป มันกลับบังเกิดเสียงปะทะกันของโลหะดังขึ้นมา
เปลือกไม้สีเหลืองแยกออกพร้อมทั้งเผยให้เห็นเนื้อไม้ด้านในที่มีสีเหลืองอร่าม
“นี่มันต้นไม้บ้าอะไรกันวะเนี่ย?!”
เจียงอี้เผลอสบถออกมาด้วยความเหลือเชื่อ ดาบเกล็ดทมิฬเป็นสิ่งประดิษฐ์ระดับวิญญาณและสามารถสยบศาสตราวุธในระดับเดียวกันได้อย่างไม่มีปัญหา
แต่ด้วยการฟาดฟันสุดแรง กลับทำให้เปลือกไม้หลุดออกมาเท่านั้น?
“ข้าไม่เชื่อ!”
เจียงอี้รู้สึกเหมือนกับกำลังถูกยั่วยุ เขาเก็บหมาป่าจันทราสีเงินกลับเข้าไปและปลดปล่อยเพลิงโลกาออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิง เพื่อที่จะทำการเผาทำลายต้นไม้ต้นนี้ให้เป็นเถ้าถ่าน
ครื้นนน!
เมื่อเพลิงโลกาถูกปลดปล่อย ต้นไม้ยักษ์ก็เปล่งแสงออกมา แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจต้านทานพลังทำลายของเพลิงโลกาได้ สุดท้ายก็มอดไหม้กลายเป็นตอสีดำ
“ฟู้วว…”
เมื่อแน่ใจแล้วว่าสามารถใช้ไฟเผาทำลายต้นไม้สีเหลืองพวกนี้ได้ เจียงอี้ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยและเก็บเพลิงโกลากลับไป
ไม่ว่าเขาวงกตแห่งนี้จะน่ากลัวสักแค่ไหน แต่อย่างน้อยเขาก็ยังเผาทำลายต้นไม้และหลบหนีออกไปได้
เอ๊ะ แต่เดี๋ยวก่อนสิ แม้ว่าคนพวกนั้นจะไม่สามารถตัดหรือทำลายต้นไม้ในป่าแห่งนี้ได้ แต่พวกเขาก็น่าจะลองขุดลงไปใต้ดินสิ?
เจียงอี้ตั้งข้อสงสัยขึ้นมา โดยไม่รอช้า เขาก็นำดาบยาวออกมาและใช้มันขุดรูบนพื้นทันที แต่เมื่อขุดไปได้เล็กน้อย ในที่สุดเขาก็พบแล้วว่าพื้นดินเบื้องล่างเต็มไปด้วยรากไม้สีเหลืองที่ชอนไชและพันกันไปมา มันมีความเหนียวและทนทานไม่ต่างอะไรไปจากลำต้นของพวกมันซึ่งทำให้ไม่สามารถขุดต่อไปได้
ป่าแห่งนี้เปรียบเสมือนป่าอาถรรพ์ เป็นสถานที่แห่งความตายซึ่งไม่อนุญาตให้ผู้ที่ก้าวเข้ามาหนีรอดออกไป!