GOI ตอนที่ 79 โน้มน้าวหยุนจิงชวง
“ศิษย์พี่ พวกเราไปหาที่เงียบๆ คุยได้หรือไม่? ที่นี่มีคนมากมายเกินไป”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยปากพูด เมื่อเขากล่าวจบ หยุนจิงชวงหรี่ตาลง
หากไม่อาจพูดได้ในที่สาธารณะ เช่นนั้นต้องเป็นเรื่องโสมม และหยุนจิงชวงเกลียดเรื่องโสมม
“ฮึ่ม! มีเรื่องอันใดที่เจ้าไม่อาจพูดออกมาตรงๆ ? หากพูดไม่ได้ก็หันหลังกลับไป! ประตูอยู่ตรงโน้น!”
ท่าทีของเขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า ป๋ายเสี่ยวเฟยอดไม่ได้ที่จะก่นด่าในใจ
‘บัดซบ! ข้าแหย่ผิดรัง!’
ในห้วงวิกฤติ ป๋ายเสี่ยวเฟยหันไปมองหันเชียนเย่ที่กำลังเล่นกับเสี่ยวเอ้อด้วยสีหน้าขอความช่วยเหลือ สติปัญญาของหันเชียนเย่ไม่ทำให้ป๋ายเสี่ยวเฟยผิดหวัง นางเข้าใจป๋ายเสี่ยวเฟยในทันที
แต่หันเชียนเย่ยื่นหนึ่งนิ้วออกมาก่อนจะชี้ไปที่เสี่ยวเอ้อ
ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ลังเลแม้แต่น้อยส่งสายตาตอบตกลง
ด้วยเหตุนี้ เวลาที่เสี่ยวเอ้อถูกขายจะเพิ่มอีกหนึ่งวัน...
“หยุนเกอเกอ ไปห้องส่วนตัวกันเถิด? มีหญิงสาวไม่ดีมากมายที่นี่ มันไม่สะดวกสำหรับท่านในการพูดสิ่งใดด้วยเหมือนกัน”
คำพูดของหันเชียนเย่ได้ผลลัพธ์ที่ดี สีหน้าของหยุนจิงชวงผ่อนคลายขึ้นมาทันที
“หากเรื่องที่เจ้าต้องการจะพูดคุยเป็นเรื่องไม่ดี พวกเจ้าอย่าได้หวังว่าจะได้อยู่ในสถาบันชิงหลัวต่อ เชื่อข้าเถอะ ช้ามีความสามารถพอจะทำเช่นนั้น!”
หยุนจิงชวงเอ่ยเสียงเย็นชาขณะที่เขาหันหลังเดินนำทาง หันเชียนเย่มองป๋ายเสี่ยวเฟยด้วยสีหน้าพึงพอใจก่อนจะเดินตามไป
ป๋ายเสี่ยวเฟยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นเปลี่ยนเป็นความเหยียดหยามทันทีที่หันเชียนเย่หันหลังกลับ
‘รอก่อนเถอะนังหนู!’
“พูดที่นี่ได้หรือไม่?”
ภายใต้การนำของหยุนจิงชวง ป๋ายเสี่ยวเฟยและฟางเย่เดินเข้ามาในห้องเดี่ยวที่เงียบสงบกว่าภายนอกมาก
“ศิษย์พี่ ข้าอยากกล่าวล่วงหน้าก่อนว่าข้าไม่มีจุดประสงค์อื่นในสิ่งที่ข้ากำลังจะพูด และข้าเพียงต้องการทราบถึงสถานการณ์บางอย่างเท่านั้น”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยให้หยุนจิงชวงผ่อนคลายขึ้น หลังจากหยุนจิงชวงตอบรับ เขาสูดหายใจเข้าลึก
“ศิษย์พี่ ท่านต้องการเงินจำนวนมากเพื่อบริหารศาลาบุปผาหรือไม่?”
เมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าวจบ หยุนจิงชวงตกตะลึงชั่วครู่ เป็นปฏิกิริยานี้ของเขาเองที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวเฟยผ่อนคลายขึ้นได้
‘ดีแล้วที่เจ้ามีปัญหา ข้ากลัวอยู่เชียวว่าเจ้าจะรวยล้นฟ้า!’
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร? เจ้าจะให้การสนับสนุนโดยไร้เงื่อนไขหรือ?”
หยุนจิงชวงเอ่ยเน้นย้ำคำว่า ‘ไร้เงื่อนไข’ เพราะมีคนจำนวนมากมายจากอันดับมั่งคั่งอยากจะเป็นสนับสนุนเขาหลังเขากลายมาเป็นเจ้าของศาลาบุปผา เขาได้ปฏิเสธทุกคนเนื่องเพราะพวกเขามีความคิดไม่ซื่อ!
แต่ค่าเช่าที่ของสถาบันชิงหลัวเกินตัวเขาอยู่บ้าง ถึงแม้ชาติกำเนิดของเขาจะร่ำรวย แต่เงินที่ตระกูลให้เขามาไม่ได้ไร้ขีดจำกัด เขาจึงไม่ปฏิเสธป๋ายเสี่ยวเฟยในทันที แต่หยั่งเชิงดูก่อน
“จะไร้เงื่อนไขหรือไม่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของท่าน แต่ข้ายืนยันได้ว่าวิธีที่ข้าเสนอแนะจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งท่านและศิษย์พี่หญิงในอันดับบุปผา และข้าจะไม่กระทำสิ่งที่เป็นภัยต่อพวกท่าน”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังเป็นอย่างมาก หยุนจิงชวงอดไม่ได้ที่จะเผยความสนอกสนใจ
เขาเกรงกลัวว่าจะมีคนทำอันตรายต่อดรุณีในอันดับบุปผาผ่านเขา มันจะทำให้เขาสูญเสียชื่อเสียงฐานะทั้งหมดไป
“พูดต่อ”
ท่าทีของหยุนจิงชวงผ่อนคลายขึ้นมากเพราะหากป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ได้หลอกเขา นี่จะช่วยจัดการปัญหาที่เขาเผชิญได้
“ต่อไปจะเป็นสหายของข้าพูดเพราะเขาเป็นมืออาชีพในด้านนี้”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ย ดันฟางเย่ไปข้างหน้า
หยุนจิงชวงจ้องฟางเย่ ฝ่ายหลังยิ้มอย่างเขินอายก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก
“มีศิษย์ปีหนึ่งมาหาพวกเราวันนี้เพราะศิษย์พี่หญิงฉินหลิงหยานตั้งเงื่อนไขในการตามเกี้ยวพาราสีนาง และสิ่งนั้นคือการได้รับคำรับรองจากหัวหน้าห้องของพวกเรา ส่วนเหตุผลที่ทำไมต้องเป็นเขา มันยาวไปสักหน่อยและเราสามารถอธิบายได้ในเวลาอื่น และเมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น พวกเราได้คิดวิธีหาเงินหนึ่งวิธี”
ฟางเย่เปิดปากพูด สายตาเปล่งประกาย
หยุนจิงชวงตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อฉินหลิงหยาน แต่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปพอฟางเย่เอ่ยถึงวิธีหาเงิน
“วิธีเช่นใด?”
เมื่อเห็นหยุนจิงชวงสนใจ ฟางเย่มีความมั่นใจขึ้นเล็กน้อย
“พวกเรารู้สึกว่าหากใครก็ตามที่ต้องการจะเกี้ยวพาราสีศิษย์พี่หญิงในอันดับบุปผาอย่างน้อยต้องมีคุณสมบัติทั้งหมดสามอย่าง ทรัพย์สิน พลังและอำนาจ พวกเราจึงคิดสามบททดสอบโดยอ้างอิงจากคุณสมบัติพวกนั้นและมีผลประโยชน์กับพวกเรา พร้อมช่วยเหลือศิษย์พี่หญิงจากปัญหาหลายอย่าง”
หยุนจิงชวงถูกฟางเย่ควบคุมจังหวะโดยสมบูรณ์ เขาไม่มีความคิดจะเอ่ยขัดฟางเย่แม้แต่น้อย
“บททดสอบแรกนั้นง่ายมาก จ่ายค่าธรรมเนียม ยิ่งกว่านั้น ค่าธรรมเนียมจะแบ่งออกเป็นสามระดับ สิบหินชิงหลัวได้ระดับต่ำสุด ร้อยหินชิงหลัวได้ระดับกลาง พันหินชิงหลัวได้ระดับสูงสุด ระดับที่แตกต่างกันจะมีภารกิจที่ทดสอบคุณสมบัติต่างกันด้วย”
“บททดสอบที่สองคือหลักฐานของพลัง พวกเขาจะต้องสำเร็จภารกิจในอันดับชิงหลัวที่เราเป็นคนเลือกให้ และพวกเขาจะต้องมอบวัตถุดิบที่ภารกิจต้องการด้วย วัตถุดิบพวกนี้จะเป็นของพวกเราในท้ายที่สุด สามระดับจากบททดสอบแรกจะเป็นตัวตัดสินว่าภารกิจใดที่พวกเขาจะต้องทำ ผลประโยชน์ของพวกเราในบททดสอบนี้จะมากน้อยแตกต่างกันไป”
“บททดสอบที่สามคือบททดสอบแห่งอำนาจ ซึ่งพวกเราจะได้รับผลประโยชน์มากที่สุด พวกเราจะระบุของบางอย่างจากร้านๆ หนึ่ง และผู้รับการทดสอบจะต้องใช้เส้นสายของตนเพื่อให้กลุ่มคนจำนวนหนึ่งมาซื้อของจากร้านค้านั้นโดยอ้างอิงเป็นชื่อของเขา เมื่อจำนวนของผู้ซื้อครบ คนผู้นั้นจึงจะผ่านบททดสอบ ในขณะเดียวกัน พวกเราจะติดต่อเจรจากับร้านค้าในสถาบันเพื่อรับส่วนแบ่งของกำไร”
“ท้ายสุดแล้ว ผู้ที่ผ่านทั้งสามบททดสอบจะสามารถใช้ใบรับรองที่พวกเขาได้มาเพื่อทานอาหารมื้อเย็นใต้แสงเทียนกับสาวงามที่พวกเขาต้องการในอันดับบุปผา ส่วนเรื่องที่คนผู้นั้นจะสำเร็จหรือไม่ ไม่ได้เกี่ยวกับพวกเราเพราะทางเรามอบโอกาสให้เท่านั้น”
ฟางเย่นิ่งเงียบมองหยุนจิงชวงหลังจากเอ่ยจบ และหยุนจิงชวงจมอยู่ในห้วงภวังค์แห่งการพินิจพิเคราะห์ ฟางเย่ทำให้เขาต้องคิดหนัก
ฟางเย่เอ่ยปากพูดอีกคราเมื่อเห็นหยุนจิงชวงยังคงสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว
“แต่เพื่อให้แผนประสบความสำเร็จ มีสิ่งหนึ่งที่พวกเราต้องการให้ศิษย์พี่ช่วย คือการยินยอมจากศิษย์พี่หญิงในอันดับบุปผา!”
หลังจากพูดจบ ฟางเย่และป๋ายเสี่ยวเฟยจ้องนิ่งไปที่หยุนจิงชวง
แผนนี้จะสำเร็จได้หรือไม่อยู่ในกำมือของเขา!