GOI ตอนที่ 78 ข้าเป็นชายแท้!
“ไม่ ไม่! ศิษย์พี่หญิง ท่านเข้าใจผิด! พวกเรากำลังหาศิษย์พี่หยุนเพื่อเจรจาบางอย่าง มันเป็นผลดีกับเขาด้วย พวกเราไม่มีความคิดร้ายอย่างที่ท่านเอ่ย!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยืนยันด้วยความซื่อสัตย์จริงใจที่ยิ่งกว่าหวู่จื๋อเสียอีก
“ฮึ่ม! ฝันไปเถอะว่าข้าจะเชื่อคำพูดเหลวไหลของเจ้า รีบไปซะตอนที่ข้ายังอารมณ์ดี! มิเช่นนั้นข้าจะตะโกนว่า เจ้าลวนลามข้า! ถึงเวลานั้นแม้แต่ซากศพก็ไม่มีให้เจ้าฝัง!”
‘อะไรวะ? นี่คือตอนที่เจ้าอารมณ์ดี? หากอารมณ์ไม่ดีเจ้าไม่กินคนเลยหรือ?’
ป๋ายเสี่ยวเฟยบ่นพึมพำในใจ แน่นอนว่าเขาไม่กล้าเอ่ยคำพวกนี้ออกไป
“ศิษย์พี่หญิง ข้ายืนยันได้ว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ว่าหากมีสิ่งใดที่ข้าพูดปด ท่านสามารถจัดการข้าได้ตามที่ท่านอยาก!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยจะไม่ยอมแพ้จนกว่าเขาจะได้เจอหยุนจิงชวง เขาเผยความสามารถทางการแสดงระดับออสการ์ให้เห็น
“มิผิด ทำกับพวกเราตามที่ท่านต้องการ!”
ฟางเย่ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยตาม กระบวนการทางความคิดของเขาสับสนวุ่นวาย และเขาเกรงกลัวเป็นอย่างมากว่าหันเชียนเย่จะตะโกนออกมาจริงๆ...
เขายังไม่อยากตายเร็วเช่นนี้!
“ฮ่ง! ฮ่ง!”
เสี่ยวเอ้อที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่นอยหน้า มันเห่าสองคราก่อนจะเลียนแบบท่วงท่าที่พวกป๋ายเสี่ยวเฟยสาบานเมื่อครู่
ไม่ว่าเขาจะฉลาดเฉลียวเพียงใด แต่ป๋ายเสี่ยวเฟยร้อยไม่คิดพันไม่คิดว่าหันเชียนเย่ผู้นั้นที่เขาแทบไม่อาจรับมือได้ จะถูกทะลวงฝ่าด่านป้องกันได้อย่างง่ายดายเมื่อนางเห็นเสี่ยวเอ้อ!
“ว๊าย! ช่างเป็นสุนัขที่น่ารักอะไรขนาดนี้!!!”
หันเชียนเย่ร้องเสียงหลงด้วยความประหลาดระคนดีใจก่อนจะกระโจนเข้าหาสุนัขฮัสกี้ใช้ใบหน้าขาวเนียนของนางลูบเข้ากับหน้ามัน
“อืม~~ ขนนุ่มดีแท้ จะหาหุ่นเชิดน่าอภิรมย์แบบเจ้าได้ที่ไหนอีก?”
หันเชียนเย่ที่มีท่าทีจริงจังเมื่อครู่ ในบัดนี้เมื่อนางมีเสี่ยวเอ้ออยู่ในอ้อมกอด สายตาของนางเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน นางเมินเฉิยตัวตนของพวกป๋ายเสี่ยวเฟยเป็นที่เรียบร้อย
ป๋ายเสี่ยวเฟยกลืนน้ำลายลงไปไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ทั้งเขาและฟางเย่ยกมือกลางอากาศเหม่อมองไปที่หันเชียนเย่
“หืม ในเมื่อเจ้ามีสุนัขน่ารักเป็นหุ่นเชิด เจ้าคงไม่ใช่คนเลวร้าย”
หลังจากกอดฟัดรัดจูบเสี่ยวเอ้อจนพอใจ หันเชียนเย่เงยศีรษะกล่าวคำที่แทบทำให้ทั้งสองกระอักโลหิต
‘ตรรกะอะไรวะ!?’
‘เอาเถอะ ขอแค่พวกเราเข้าไปได้...’
ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนจะหันไปหาหันเชียนเย่
“เอ่อ... ศิษย์พี่หญิง ท่านหมายความว่าพวกเราเข้าไปได้แล้ว?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยถามเสียงอ่อน หันเชียนเย่เผยสีหน้าครุ่นคิด
“ฮืมม... เจ้าเข้าไปได้ แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะให้หุ่นเชิดของเจ้าอยู่กับข้าหนึ่ง... ไม่! สองวัน!”
ตอนแรกหันเชียนเย่ชูหนึ่งนิ้ว แต่นางเพิ่มอีกหนึ่งเมื่อรู้สึกว่ามันไม่เพียงพอ
เสี่ยวเอ้อยังคงอยู่ในอ้อมกอดของนาง เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ มันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา สายตาอ้อนวอนถูกส่งไปยังป๋ายเสี่ยวเฟย
น่าเสียดายที่ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่สนใจเสี่ยวเอ้อแม้แต่น้อย
“ตกลง!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยอมรับด้วยความเร็วดุจสายฟ้าราวกับเจรจาธุรกิจที่จะทำกำไรให้เขามหาศาล...
‘อนิจจา ชะตาลิขิตให้ข้ามีมันเป็นเจ้านาย!!’
สุนัขฮัสกี้ถอนหายใจอย่างมีอารมณ์กับความโชคร้ายของตนพลางยอมรับชะตากรรม และพยายามอย่างหนักเพื่อประจบสอพลอเจ้านายคนใหม่ในอีกสองวัน...
หลังจากขายเสี่ยวเอ้อ ป๋ายเสี่ยวเฟยและฟางเย่ประสบความสำเร็จได้เข้าไปในศาลาบุปผาดั่งใจหวังภายใต้การนำทางของหันเชียนเย่ ทั้งคู่ตกตะลึงเหม่อมองค้างเมื่อเข้าไปข้างใน
หากมีสรวงสวรรค์อยู่บนโลก เช่นนั้นสวรรค์ของผู้ชายทุกคนต้องเป็นที่นี่!
สิ่งที่ปรากฎขึ้นในครรลองจักษุคือสาวงามระดับล่มเมืองมีให้เห็นทุกซอกทุกมุม! หิมะขาวหลากชนิดส่องแสงเจิดจรัสจนทั้งคู่ไม่อาจลืมตาขึ้น และยังมีเสียงหัวเราะน่าฟังที่ดังขึ้นลงชักชวนจินตนาการของสองหนุ่มให้คิดต่างๆ นานาไปไกล
“ฮึ่ม! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าพวกเจ้าทั้งสองมีความคิดไม่ดี! เช็ดน้ำลายของเจ้าเสีย!!”
น้ำเสียงเหยียดหยามสุดขีดของหันเชียนเย่ดังกังวานปลุกเตือนให้ทั้งป๋ายเสี่ยวเฟยและฟางเย่สะดุ้งตื่นจากฝัน หากไม่ใช่ว่าสุนัขฮัสกี้ยังอยู่ในอ้อมแขน นางไล่พวกเขาไปนานแล้ว...
“รอที่นี่ เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เดินไปที่อื่น และเจ้าไม่อาจพูดคุยสนทนากับใคร! ข้าจะไปหาหยุนเกอเกอเพื่อพวกเจ้า!”
หันเชียนเย่กอดเสี่ยวเอ้อพลางวิ่งจากไป ในขณะเดียวกัน พวกเขาได้กลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของดรุณีมากหน้าหลายตาในศาลาบุปผา...
พูดให้เข้าใจง่าย ทั้งสองเป็นดั่งพระถังซัมจั๋งและเหล่าลูกศิษย์ในอาณาจักรอิสตรี...
“พี่ใหญ่เฟย ทำไมข้ารู้สึกหนาวเยือกแปลกๆ ?”
ฟางเย่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ลำคอสั่นพั่บๆ
“ข้าไม่รู้ บางทีอาจเป็นสัญชาตญาณของเจ้า...”
ป๋ายเสี่ยวเฟยตอบ เขาไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีกว่านัก...
ปัจจุบัน กลุ่มดรุณีน้อยงามหยาดเยิ้มล้อมรอบทั้งสองเอาไว้ ทุกคนล้วนสวมใส่อาภรณ์วับๆ แวมๆ ปกปิดบางส่วนไม่มิด
“เอ๋ ศิษย์น้องตัวน้อย เจ้าทำอะไรอยู่หรือ?”
“ร่างกายพวกเขาดูนุ่มนิ่มน่าจับ ดีกว่าคนในสถาบันพวกนั้นที่เอาแต่โอ้อวดเยอะ”
“ศิษย์น้องตัวน้อย เจ้ามีคนรักหรือยัง?”
“ศิษย์น้องตัวน้อย เจ้าคิดอย่างไรกับข้า? ข้ายังโสดนะ!”
…
“พวกเจ้าฝันไปเถิดถ้าอยากอยู่ในอันดับชิงหลัวด้วยสารรูปแบบนั้น”
เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นมา ทำให้ศิษย์พี่หญิงที่ล้อมรอบป๋ายเสี่ยวเฟยและฟางเย่รีบแยกย้ายหายไปราวกับหวาดกลัวว่ารูปโฉมของตนจะถูกจดจำ
ทั้งสองถอนหายใจยาวเหยียดก่อนจะมองไปยังทิศทางของเสียง
สองหนุ่มเห็นใบหน้าที่พวกเขามิอาจลืมเลือนได้ชั่วชีวิต
ผิวขาวนวลละมุนลไม รูปร่างหน้าตาสมส่วนไร้ที่ติ ผมยาวพลิ้วไหวตามสายลม... และที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดคือเสื้อคลุมยาวสีชมพูปลดปล่อยความตุ้งติ้งถึงขีดสุด
หากพวกเขาไม่ได้เตรียมใจตั้งแต่นานนม คงไม่มีใครคิดว่าสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าคือเพศชาย!
ไม่จำเป็นต้องถาม คนผู้นี้คือร่างชายใจหญิงที่หันเชียนเย่และเสวี่ยอิ่งเอ่ยถึง!
“ข้าคงไม่ได้ทำให้พวกเจ้ารู้สึกแย่ ใช่หรือไม่?”
หยุนจิงชวงสะบัดพัดในมือเบาๆ ทุกท่วงท่าอิริยาบถของเขาประณีตมีความเป็นกุลสตรีเสียยิ่งกว่าผู้หญิง
“ไม่สักนิด! ศิษย์พี่ ท่านช่วยพวกเราไว้!”
ขณะที่เขาพูด ป๋ายเสี่ยวเฟยปาดเหงื่อเย็นเยียบบนหน้าผากก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก
“เช่นนั้นก็ดี กลุ่มคนพวกนี้ต้องการจะฉวยโอกาสที่ศิษย์พี่ปีสี่จบการศึกษาเพื่อจะได้เข้าไปในอันดับบุปผาและใช้สถานะนั้นหาสามีร่ำรวย ดีแล้วที่พวกเจ้าไม่ต้องเกี่ยวข้องกับพวกนาง”
น้ำเสียงของหยุนจิงชวงแฝงความชื่นชมขณะกล่าว
ถึงแม้ดรุณีน้อยพวกนี้จะ ‘ใจแตก’ ไปบ้าง แต่หยุนจิงชวงก็ยังยอมรับว่าพวกนางมีโฉมลักษณ์ที่ไม่ธรรมดา อย่างน้อยที่สุด เสน่ห์ของพวกนางจะไม่เป็นปัญหาต่อการมัดใจชายสามัญ
“คารวะศิษย์พี่ ข้าคือป๋ายเสี่ยวเฟย เขาคือเพื่อนร่วมห้องของข้า ฟางเย่”
หลังจากปรับเปลี่ยนสภาวะในใจ ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยอย่างใจเย็น หาได้ยากที่เขาจะสุภาพเช่นนี้
“ป๋ายเสี่ยวเฟย? เหตุใดชื่อนี้คุ้นหูนัก?”
หยุนจิงชวงเผยสีหน้าครุ่นคิดพลางกล่าว เหงื่อเย็นเยียบหนึ่งหยดผุดขึ้นมาบนหน้าผาก
หากมีใครคุ้นชื่อของเขาในเวลานี้ ไม่มีทางที่จะเป็นในแง่ดี...
“ศิษย์พี่ ท่านพบเจอผู้คนมากมายทุกวัน เป็นปกติที่ท่านจะได้ยินชื่อที่คล้ายคลึง ข้าเป็นเพียงศิษย์ใหม่ไร้ชื่อ แล้วท่านจะเคยได้ยินชื่อของข้าได้อย่างไร?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยรีบเปลี่ยนบทสนทนาเพราะเขาเกรงกลัวว่าหยุนจิงชวงจะนึกถึง ‘ชื่อเสียง’ ของเขาออก
“เชียนเย่บอกว่าเจ้าตามหาตัวข้า พูดมาเจ้ามีธุระอันใด”
หยุนจิงชวงยิ้มพลางเอ่ย ทำให้ป๋ายเสี่ยวเฟยและฟางเย่ที่ยืนอยู่ด้านหน้าเหม่อมองอย่างโง่งมด้วยไม่ทราบสาเหตุ พวกเขาหวาดกลัวถึงกับต้องรีบหยิกต้นขาของตัวเอง
‘ข้าเป็นชายแท้!’
‘จริงแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์!’
‘ข้าบอกว่าข้าเป็นชายแท้!!!’