เซียนเหนือวิถี บาทที่ 143 (ฟรี)
บาทที่ 143
“เจ้าจะว่าอะไรไหมถ้าข้าจะขอชีพจรเซียนในร่างของเจ้าเพื่อหลอมรวมเป็นหนึ่งให้กับมังกรน้อยตัวนี้” มังกรจินต้าถามหงเซียว มันพูดถึงจินปิง ซึ่งมีชีพจรเซียนที่ไม่สมบูรณ์ในร่าง ทำให้มันไม่สามารถกลายเป็นมังกรศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์
“ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง” หงเซียวกล่าว
“แต่ว่าผู้ที่จะต้องทำการหลอมรวมคงจะต้องเป็นเจ้า เพราะว่าพลังปราณและพลังเซียนของเจ้าไม่มีความขัดแย้งกับพลังเซียนในร่างมังกรตัวน้อยนี้” จินต้ากล่าว พลังเซียนในร่างของมันเป็นรูปแบบของตัวผู้ซึ่งขัดแย้งกับพลังเซียนในร่างของจินปิงซึ่งเป็นตัวเมีย
“ท่านจะสอนวิธีให้ข้ารึ” หงเซียวตาเป็นประกาย
“ใช่” จินต้ากล่าว
หลังจากนั้นมังกรจินต้าก็สื่อสารกับมังกรทองตัวใหม่กับจินปิง เพื่อขอให้มังกรทองตัวใหม่ช่วยฟักไข่แทนจินปิง และให้จินปิงออกมาเพื่อให้หงเซียวทำการรวมชีพจรที่แข็งแกร่งพอที่จะก้าวต่อไปได้ให้กับจินปิง
จินปิงหันไปมองหงเซียว และก็เห็นเขาพยักหน้า มันจึงหันไปส่งกระแสความคิดไปให้กับมังกรทองตัวใหม่ ซึ่งมังกรทองตัวใหม่ก็รับคำเป็นอย่างดี และเข้าไปแทนที่จินปิงทันที
จินปิงเลื้อยปราดออกมาอย่างรวดเร็ว ตรงไปหาจินหลินแล้วก็อ้อนเธออยู่พักใหญ่ ซึ่งจินหลินและเหล่าเด็กสาวก็ได้แต่หัวเราะกับมัน สุดท้ายเป็นจินหลินที่เดินมาหาหงเซียว
“พี่ชาย...” จินหลินเรียก
“เรามาเริ่มกันเถอะ” หงเซียวกล่าว จินหลินพยักหน้า
ก่อนหน้านั้นระหว่างที่จินปิงไปคลอเคลียกับจินหลินอยู่เพราะว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันนานสองเดือนนั้น มังกรจินต้าก็ได้อธิบายถึงวิธีการหลอมชีพจรเข้าด้วยกันให้กับหลงเซียว ซึ่งหงเซียวก็ได้เรียนรู้อย่างรวดเร็ว
พวกเขาพากันนั่งลงบนพื้นหญ้าข้างกองไฟ จากนั้นจินหลินก็สั่งให้จินปิงอยู่เฉยๆ บนมือซึ่งมันก็ทำตามอย่างว่าง่าย เพราะว่ามันรู้ว่านี่คืออนาคตของตัวมันเอง อีกทั้งมันก็เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว
เขาร่ายคาถาพร้อมกับแทงมือเข้าไปในท้องของตนเองดึงเอาชีพจรออกมาจากร่างทั้งสองจุด เลือดไหลออกมาจากบาดแผลเพราะว่าหงเซียวไม่สามารถแบ่งสมาธิไปจัดการกับบาดแผลตนเองได้
จินหลินเองก็ไม่สามารถ เพราะว่าเธอต้องดูแลจินปิง ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของสามเด็กสาวที่เหลือที่เข้ามาช่วยจัดการกับบาดแผลภายในภายนอกร่างของหงเซียว
หงเซียวจิ้มนิ้วเข้าไปในท้องของมังกรตัวจ้อยกรีดเป็นบาดแผลก่อนจะส่งชีพจรสองจุดเข้าไปในบาดแผลนั้น แล้วรีบโคจรพลังเซียนส่งตามเข้าไปเพื่อหลอมชีพจรทั้งสามนั้นให้เป็นหนึ่ง พร้อมกับพึมพัมคาถาตามรูปแบบของการโคจรพลังเซียนและใช้งานพลังเซียน
ในเวลาเดียวกันจินหลินก็ทำหน้าที่ประคับประคองแผลของมังกรตัวน้อยไม่ให้เลือดไหลและควบคุมความบอบช้ำ
ชีพจรเซียนทั้งสามจุดก็เหมือนไข่แดงสามฟองที่มีไข่ขาวหุ้มเมื่อได้รับพลังเซียน ไข่ขาวด้านหนึ่งพลันบางลงปล่อยให้ไข่แดงทั้งสามสัมผัสกัน และสุดท้ายก็เบียดเข้าด้วยกันจนเป็นหนึ่งภายใต้คาถาและพลังเซียนนั้น
ทันทีที่สำเร็จจินปิงก็สะท้านขึ้นอีกครั้ง หงเซียวดึงนิ้วออกโดยนิ้วที่ดึงออกนั้นก็ทำการปิดบาดแผลตามหลังทันที เมื่อปลายนิ้วพ้นออกมาจากท้องมังกรแผลก็ปิดสนิทในทันที
“ถอยออกมา” หงเซียวบอกจินหลินที่ยังประคองจินปิงเอาไว้ เธอรีบวางมังกรที่เหมือนกำลังหลับลงบนพื้น แล้วรีบถอยออกมา และต่อให้เธอคิดจะอยู่ต่อก็ดูจะเป็นไปไม่ได้เมื่อเธอรู้สึกว่าร่างของจินปิงร้อนขึ้นตลอดตามเวลาที่ผ่านไป และขณะที่เธอวางจินปิงลงบนพื้นนั้น อุณหภูมิบนร่างจินปิงก็ดูเหมือนจะเกินร้อยองศาขึ้นไปแล้ว ยังดีที่เธอเป็นผู้ใช้ปราณสามารถทนอุณหภูมิอันร้อนแรงนี้ได้ขณะหนึ่ง
ฉี่ฉี่ เสียงความร้อนแผดเผาใบหญ้าที่พื้นก่อนที่ไฟจะลุกพรึบตามขึ้นมา ร่างของจินปิงเปลี่ยนสีจากสีแสดอมทองเป็นสีทองอย่างรวดเร็ว
จากที่มังกรใหญ่จินต้าบอก ชีพจรเซียนทั้งสามนั้นจะถูกเปลี่ยนเป็นชีพจรมังกรศักดิ์สิทธิ์หนึ่งจุด และเป็นชีพจรที่สมบูรณ์ทำให้จินปิงก้าวเข้าสู่ระดับที่หนึ่งเขตชีพจรเซียนและจะสามารถพัฒนาชีพจรนี้ก้าวขึ้นสู่ระดับและขอบเขตที่สูงกว่าได้
และเพราะว่าเดิมทีจินปิงเป็นมังกรเพลิงสีชาด พลังปราณและพลังเซียนวิ่งซ้อนทับในจุดเส้นเดียวกัน ดังนั้นพลังปราณจะถูกพลังเซียนกลืนกินจนสลายไปจนหมด
หงเซียวได้ใช้ร่างจิตเทียมเกาะติดร่างของจินปิงอยู่ตลอดเวลา และพบเห็นถึงพลังปราณที่ลดทอนลงทุกครั้งที่ไหลผ่านไปบนชีพจรเซียนขณะที่ชีพจรเซียนดูแข็งแรงขึ้นตามเวลาที่ผ่านไปและในที่สุดเนื้อเยื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลง มีเนื้อเยื่อจุดใหม่เกิดขึ้นบนเส้นทางการโคจรพลังปราณและเมื่อพลังปราณไหลผ่านชีพจรจุดใหม่นี้พลังปราณทั้งหมดก็สลายหายไปจนสิ้น
“นี่คงเป็นระดับสองของเขตชีพจรเซียนสินะ” หงเซียวคิด
มังกรทองจินปิงลืมตาขึ้นในเวลาไม่นานนัก ชีพจรเกิดใหม่นั้นดูไม่แข็งแรงนัก แต่หงเซียวทราบว่าเมื่อเวลาผ่านไปมันจะแข็งแรงขึ้นจนเทียบเท่ากับชีพจรจุดแรกและสร้างชีพจรจุดต่อไปเมื่อถึงเวลา
มันร่ำร้องดีใจก่อนจะลดพลังเพลิงบนร่างจนเหลือเพียงอุ่นๆ เคลื่อนตัวบนอากาศเข้าไปคลอเคลียจินหลิน และใช้หางปัดหน้าหงเซียวเป็นคำขอบคุณ
แต่ก็ไม่นานนัก มันรีบพุ่งตัวไปอยู่คู่กับมังกรตัวเล็กที่เฝ้าไข่ทันที
ดูเหมือนว่ามันส่งกระแสจิตไปหาจินหลินบอกอะไรสักอย่าง ทำให้เธอผงกหัวและหันไปหาสามเด็กสาว “มาช่วยกันตั้งชื่อให้กับมังกรที่เหลือสองตัวนั้นกันเถอะ”
หงเซียวยืนนิ่งขบคิด เขากำลังนึกถึงคาถาที่ใช้ในการหลอมชีพจรเซียนทั้งสามนั้น คาถาและจุดชีพจรที่เขาใช้ในร่างขณะโคจรพลังเซียนนั้นสอดคล้องกับจุดชีพจรของพลังปราณเพลิงสีชาดที่เขาแกะออกมาจากร่างของจินปิง มีเพียงบางจุดที่มีชื่อของชีพจรเปลี่ยนไป เขาคาดว่าหากได้ศึกษาจินปิงต่อไปอีก เขาน่าจะหาเส้นทางพลังเซียนสุวรรณอัคคีของมังกรสุวรรณอัคคีตัวเมียได้ และเป็นไปได้ว่าถ้าหากว่าเขาคลุกคลีอยู่กับจินต้าไปอีกชั่วระยะก็น่าจะหาเส้นทางพลังเซียนสุวรรณอัคคีของมังกรตัวผู้ได้เช่นกัน
เวลาเจ็ดวันต่อมาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้มังกรน้อยตัวใหม่ได้ชื่อว่าจินชิง และไข่ที่กำลังจะฟักเป็นตัวนั้นได้ชื่อว่าจินชิว ส่วนหงเซียวนั้นใช้เวลาแทบทั้งหมดคลุกคลีอยู่กับมังกรจินต้า จนในที่สุดเขาก็หาจุดชีพจรและคาถากำกับแต่ละจุดได้
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้นับตั้งแต่จินต้าสำแดงเดชในวันพายุนั้น มีผู้คนมากมายต่างพากันสงสัยในสิ่งที่หงเซียวทำ อีกทั้งยังมีมังกรตัวใหญ่ที่ตรงกับในบันทึกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนานด้วย ยิ่งทำให้พวกเขาเกิดความสงสัยจนถึงที่สุด จนสุดท้ายเจ้าสำนักก็เข้ามาไต่ถาม
หงเซียวได้เข้ามารับหน้าเจ้าสำนัก กล่าวว่า “คารวะท่านเจ้าสำนัก”
เจ้าสำนักไม่อ้อมค้อมกล่าวถามว่า “ท่านผู้อาวุโสหง หลายวันนี้พวกเราเห็นมังกรสีทองในอาณาเขตของท่าน อยากถามท่านว่า นั่นใช่มังกรสุวรณอัคคี มังกรศักดิ์สิทธิ์ในตำนานใช่หรือไม่”
หงเซียวผงกศีรษะ พร้อมกับกล่าวรับว่า “ใช่แล้วขอรับท่านเจ้าสำนัก ตามข้ามาไปรู้จักกับมังกรศักดิ์สิทธิ์หน่อยก็จะดีไม่น้อย ต่อไปมังกรนี้ก็อาจจะมาแวะเยี่ยมที่แห่งนี้บ่อยๆ”
“หากเป็นเช่นนั้นย่อมเป็นที่ยินดีของพวกเราอย่างยิ่ง” เจ้าสำนักกล่าวด้วยหัวใจพองโต เขาเดินตามหงเซียวเข้าไปในอาณาเขต ตรงไปยังบริเวณกองเพลิง
ก่อนที่จะถึงตัวของมังกรทองตัวใหญ่ เขาก็สังเกตเห็นมังกรทองตัวขนาดเท่าท่อนแขนยาวกว่าวากับมังกรทองขนาดเท่านิ้วโป้งยาวเกือบสองศอกกำลังคลอเคลียอยู่บนไข่ในกองเพลิง
นี่มันเป็นฉากที่คล้ายกับตอนที่พวกเขามารับมังกรเพลิงสีชาดไม่ใช่หรือไร ผู้อาวุโสคนนี้ร้ายกาจถึงที่สุดถึงกับฟักไข่มังกรศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ แถมยังติดต่อกับมังกรศักดิ์สิทธิ์ให้มารับไข่ด้วย เจ้าสำนักคิดเช่นนั้น เพราะว่านั่นเป็นพฤติกรรมปกติที่เขาเห็นของหงเซียว และไม่น่าเชื่อว่าการคาดเดาของเขามีความแม่นยำเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ต่างกันตรงที่ว่าหงเซียวไม่ได้รู้จักและติดต่อมังกรศักดิ์สิทธิ์ให้มารับไข่เท่านั้น
ความจริงแล้วเจ้าสำนักยังสังเกตเห็นว่าหงเซียวปลูกต้นไม้ไว้ในอาณาเขตด้วย แต่เขาไม่ได้คิดอะไรมากกับต้นไม้จึงไม่ได้แปลกใจอะไรแม้แต่น้อย
หงเซียวพาเขาเข้าไปจนถึงตัวมังกรทองจินต้า เมื่อเห็นมังกรจินต้า เจ้าสำนักถึงกับสั่นสะท้านประสานมือ ส่งกระแสความคิดออกไปว่า “คารวะท่านมังกรศักดิ์สิทธิ์”
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรต่อไปนั้น เขาก็ต้องตาเบิกโพลง เมื่อมีกระแสความคิดส่งมาจากตึกระฟ้า เขาอุทานออกมาว่า “ว่ากระไรนะ สำนักธรรมะรวมกำลังกันบุกเข้ามาเรอะ”