GOI ตอนที่ 76 นั่นเป็นสิ่งที่ข้าคิด!
กาลเวลาไหลผ่าน ศิษย์ห้องคนเถื่อนไม่อยู่ในอารมณ์จะสนใจฟังอาจารย์สอน พวกเขาฝืนเรียนทุกคาบอย่างยากลำบาก ขณะที่ในใจคิดเรื่องการหาเงิน!
“พี่ใหญ่เฟย! ข้ารู้แล้ว! พวกเราสามารถทำภารกิจชิงหลัว และพวกเรามีหยวนช่วย!”
“ใช่เลย! ยังมีอันดับค่าหัวอีก จะต้องมีภารกิจแปลกๆ ให้เราทำ และหากเราทำทุกวัน สักวันเราจะรวยได้แน่!”
หลังจากเค้นสมองครุ่นคิด โม่ข่าและหวู่จื๋อปรากฎตัวข้างกายป๋ายเสี่ยวเฟยในวินาทีแรกที่คาบเรียนจบลงและบอกเขาเกี่ยวกับ ‘แผนสุดประเสริฐ’
แต่พวกเขาไม่คาคดิดว่าป๋ายเสี่ยวเฟยจะกลอกตาใส่พวกเขาแทน
“ยกเว้นแต่เจ้าจะไม่หลับไม่นอนและทำทุกภารกิจ เจ้าจะรวยขึ้นได้หรือไม่?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยราดน้ำเย็นเยียบสาดศีรษะทั้งสองดับความกระตือรือร้น แน่นอนว่าพวกเขาไม่เหมาะกับการค้นคว้าวิธ๊หาเงิน...
“ฟางเย่ เจ้าคิดอะไรได้บ้าง?”
ในเรื่องการเงินแล้ว ฟางเย่นับได้ว่ายากจะหาคนเทียบเคียงในห้องคนเถื่อน อย่างไรเสียเขาก็เป็นนายน้อยจากสหพันธ์การค้า ถึงแม้เขาจะไม่ได้เรียนรู้สิ่งใดมากนักเมื่ออยู่ในตระกูล แต่สิ่งที่เขาได้ยินได้เห็นในรอบด้านไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะเปรียบเทียบได้
“จากสิ่งที่พี่ใหญ่เฟยเอ่ย ข้าได้คิดมาหลายอย่าง แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าสิ่งที่ท่านกล่าวจะเกิดขึ้นจริง”
“ไม่ต้องห่วง อย่างมากที่สุดจะเป็นอาทิตย์นึง และข้าทำได้สำเร็จแน่”
“เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา”
ทั้งสองสนทนากันด้วยประโยคที่คนรอบข้างต้องเหม่อลอย
“ฟางเย่ พวกเจ้าทั้งสองพูดเรื่องอะไร? เสี่ยวเฟยบอกอะไรเจ้า?”
สือเฉินปรากฎตัวข้างกายฟางเย่ทันใด สุ้มเสียงข่มขู่ของนางทำให้เกิดเสียงร้องหลงดังขึ้นจากรอบด้าน
“ชู่! ชู่! พวกเจ้าอย่าโวยวายนัก! จะทำอย่างไรถ้าความสัมพันธ์ของพวกเขาต้องพังลงเพราะพวกเจ้า!?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าวได้ว่าเลวร้ายที่สุด เมื่อเขาเอ่ยจบ ใบหน้าของสือเฉินแดงขึ้นเล็กน้อยด้วยความเขินอาย นางเอามือปิดหน้าวิ่งออกจากห้องไป
ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา นอกจากฝึกตนแล้ว บางคนไม่ได้แค่อยู่นิ่งไม่ทำอะไร...
หลินหลีเป็นของป๋ายเสี่ยวเฟย จึงไม่มีใครกล้าแตะต้องนาง แต่ดรุณีน้อยที่เหลือไม่ได้ด้อยกว่านางเท่าใดนัก!
“พวกเจ้าทั้งหมดรอที่นี่ ข้าจะไปหาพี่หญิงเสวี่ย หากเจ้าป๋ายเย่ผู้นั้นมา บอกเขาว่าข้ามีแผนการเตรียมไว้แล้วแต่ต้องรออีกหนึ่งเดือน ฟางเย่ เจ้ามากับข้า”
ป๋ายเสี่ยวเฟยปล่อยให้ทุกคนคาดเดาต่างๆ นานา ก่อนจะวิ่งออกไปพร้อมฟางเย่
“โม่ข่า เจ้าดูแลที่นี่ ข้าจะไปซื้ออาหาร”
ฉิงหนานเรียนรู้จากป๋ายเสี่ยวเฟย เขาวิ่งหนีอย่างรวดเร็วไม่ให้โอกาสโม่ข่าบอกปฏิเสธ และเขาไม่ลืมพาตัวหวู่จื๋อและผู้ชายคนอื่นไปด้วย
“อ๊า...ใช่แล้ว! ข้าต้องไปซื้อของ อีอี ซือซือ หลีหลี ไปด้วยกันเถอะ!?”
ชีเว่ยเผยสีหน้าเข้าใจ นางไม่พูดอื่นใดมากก่อนจะพาอีกสามออกจากห้อง
ด้วยเหตุนี้ ทั้งห้องจึงเหลือเพียงโม่ข่าและจูนั่ว
โม่ข่าที่บ่นพึมพำในใจเมื่อครู่ รู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างมาก
‘พวกเขาช่างเป็นสหายที่ดีเหลือเกิน! ข้ามองพวกเจ้าผิดไป!’
เขากล่าว
“เอ่อ... คือ... ทำไม... เราไม่เล่นเป้ายิ้งฉุบกัน?”
คำพูดเหล่านี้คงทำให้ทั้งห้องต้องล้มคะมำเป็นแน่แท้...
ในบางเวลา แค่โอกาสอย่างเดียวก็ไม่พอ ยังต้องการทักษะและปัญญาอีกด้วย
แน่นอนว่าโม่ข่าขาดทั้งสองสิ่ง
“ถ้าเจ้าไม่มีเหตุผลดีๆ ให้ข้าอยู่ ข้าจะไป”
จูนั่วกลอกตาอย่างฉุนเฉียวแต่ยังคงให้โอกาสหนึ่งครั้งแก่เขา และเป็นเพราะโอกาสนี้เองที่ทำให้โม่ข่าถึงกับเกาหัวด้วยความเคอะเขิน
“ทำไมเจ้าไม่ร้องเพลงให้ข้าฟังล่ะ?”
อนิจจา...
คนผู้นี้ไร้หนทางเยียวยา...
ป๋ายเสี่ยวเฟยทิ้งไอ้โง่ที่ไร้ทางเยียวยาไว้ เขาวิ่งอย่างบ้าคลั่งไปยังจุดหมายพร้อมฟางเย่ ป๋ายเสี่ยวเฟยวิ่งตรงไปยังสถานที่จัดการงานของอาจารย์ที่ดูแลศิษย์ใหม่ ในระหว่างทางฟางเย่พูดสิ่งที่เขาคิด ป๋ายเสี่ยวเฟยถึงกับอดผงกศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ได้
ทุกอย่างพร้อมหมด เหลือเพียงชิ้นส่วนเดียว!
“พี่หญิงเสวี่ย! พี่หญิงเสวี่ย!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยผลักประตูห้องทำงานของเสวี่ยอิ่งเข้าไป เขาตะลึงอยู่ชั่วขณะ
อย่าเข้าใจผิด สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่เรื่องที่ผู้ปกครองต้องให้คำแนะนำ แต่เป็นอาจารย์สองคน...
“โอ้ เสวี่ยอิ่ง เจ้าช่างเชี่ยวชาญด้านการสอนเหลือเกิน ศิษย์ของเจ้าไม่จำเป็นต้องเคาะประตูด้วยซ้ำ!”
ในหมู่ใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย คนที่พูดคือหญิงสาววัยกลางคนอายุสี่สิบเป็นอย่างน้อย อาจารย์อีกคนแต่งตัวคล้ายบัณฑิตสวมใส่แว่น
ถึงพวกเขาจะไม่ได้ถามอะไร แต่ป๋ายเสี่ยวเฟยก็รับรู้ได้ว่าทั้งสองมาด้วยความตั้งใจไม่ดี
ในอีกด้าน เสวี่ยอิ่งหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยจากคำพูดของหญิงวัยกลางคนเพราะความจริงมีให้เห็นอยู่ตรงหน้า นางไม่อาจหาคำอ้างใดๆ ได้เลย
“ข้าขออภัยท่านป้า พวกเรามาหาพี่หญิงเสวี่ยเพราะมีเหตุฉุกเฉิน จึงอาจมีกิริยาไม่เหมาะสมไปบ้าง”
ขณะที่เขาก้มหัวลงเล็กน้อย ป๋ายเสี่ยวเฟยดูเหมือนกับกำลังขอโทษอยู่ แต่เขาตั้งใจเอ่ยเน้นย้ำวิธีการที่เขาเรียก ทำให้เสวี่ยอิ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รู้สึกยินดีในใจ
‘พูดได้ดี! ด่าพวกมันอีก!’
“เจ้าเรียกใครว่าป้า!? ข้าคืออาจารย์ประจำห้อง 457 เจ้าต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ฉู่!!!”
ไม่มีสตรีใดที่ไม่สนใจอายุของตน และยิ่งต่อหน้าหญิงสาวคนอื่นด้วยแล้ว ป๋ายเสี่ยวเฟยจู่โจมอาจารย์ฉู่ต่อไปอย่างรุนแรง
“ขออภัย! อาจารย์ฉู่! ข้าเป็นคนประเภทนี้ และข้าเรียกผู้คนด้วยรูปลักษณ์ของพวกเขา ท่านไม่ต้องเป็นกังวล ข้าจะไม่เรียกท่านว่าป้าอีกในอนาคต ข้าจะไปเรียกอาจารย์ว่าป้าได้อย่างไร! ข้าผิดเอง ป้- ไม่สิ อาจารย์ฉู่ โปรดอย่าได้มีโทสะ!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยก้มหัวมากกว่าเดิมพลางกล่าว ท่าทียอมรับความผิดของเขาช่าง ‘จริงใจ’ แต่อาจารย์ฉู่โกรธเกรี้ยวถึงขั้นใบหน้าดำทะมึน
“แค่ก! แค่ก! ในเมื่อเจ้ามาแล้วก็บอกให้ข้ารู้หน่อยว่าเจ้าทำอันใดไปในคาบชุมนุม ถึงกับที่อาจารย์ฉู่และอาจารย์เว่ยต้องมาหาข้า!”
เสวี่ยอิ่งข่มกลั้นความต้องการจะหัวร่อเสียงดังพลางเปลี่ยนบทสนทนา มิเช่นนั้นหากป๋ายเสี่ยวเฟยพูดต่อ เป็นไปได้มากว่าอาจารย์ฉู่จะเคลื่อนไหว...
และนางก็เป็นถึงระดับปรมาจารย์ ไม่ง่ายเลยที่จะหยุดยั้งนางได้!
ด้วยคำเตือนของเสวี่ยอิ่ง ป๋ายเสี่ยวเฟยเข้าใจทันทีว่าทั้งสองมาเพราะเหตุใด อย่างไรเสียเขาก็ได้รับการช่วยเหลือจากพ่อแม่บุญธรรมหลายคราในหุบเขาวีรบุรุษ
“พี่หญิงเสวี่ย ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย ข้าแค่ทำตามความตั้งใจของอาจารย์เฝิงและเลือกบางคนจากศิษย์ห้องอื่นเพื่อประลองแลกความรู้ หรือว่าคนจากห้องข้าทุบตีแรงเกินไป? หากเป็นเช่นนั้นท่านวางใจได้เพราะข้ารับประกันว่าพวกเขาจะไม่โหดเหี้ยมเท่านั้นในครั้งหน้า!”
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ย เขาเผยสีหน้าที่ราวกับว่าอยากจะกลับไปสั่งสอนศิษย์ห้องคนเถื่อนสักครา
“ไอ้เด็กเหลือขอ! อย่าคิดว่าไม่มีคนรู้ว่าเจ้าทำอะไรไว้! ความหมายของการหยุดทุกคนหลังคาบคืออะไร!? อย่าบอกนะว่าเจ้าต้องการจะเป็นผู้ปกครองศิษย์ใหม่ทั้งหมด!?”
อาจารย์ฉู่ที่อารมณ์ไม่ดีตั้งแต่แรก ตอนนี้นางโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก หากนางทำได้นางต้องสั่งสอนเจ้าหนูป๋ายเสี่ยวเฟยแน่นอน
แต่ไม่มีใครในที่นี้คาดคิดว่าป๋ายเสี่ยวเฟยที่ได้ยอมรับความผิดตลอดมาจะยกศีรษะขึ้นมาก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“มิผิด! นั่นเป็นสิ่งที่ข้าคิด!”