GE453 เจ้าเป็นใคร [ฟรี]
หนิงฝานปล่อยฟงฉุ่ยเยวียน เขาไม่ได้อยากให้นางเข้าใจผิด
นางเป็นพี่สาวของฉุ่ยหลิง หากเขาทำร้ายนาง ก็เท่ากับทำร้ายฉุ่ยหลิง เขาไม่ได้อยากทำร้ายพวกนาง
นางค่อยๆถอยห่างจากหนิงฝานและจัดแจงอาภรณ์อย่างรวดเร็ว
นางโกรธที่หนิงฝานแอบดูเรือนร่างของนางยามที่นางหมดสติ
แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงปราณอุ่นqสายหนึ่งในร่าง ความโกรธของนางก็คลายไป
แม้นางจะเปล่งเสียงไม่ได้ ระดับพลังไม่สูง แต่นางไม่ได้โง่ นางรู้ว่าปราณเหล่านั้นช่วยสะกดความเจ็บของนางเอาไว้ และนางก็รู้ว่าระดับพลังในขอบเขตเปิดเส้นชีพจรของนาง ไม่มีทางจะมีปราณจำนวนมหาศาลขนาดนั้นได้ ต่อให้เป็นบิดานาง ก็ไม่ได้มีปราณที่ทรงพลังขนาดนี้
ดังนั้นนางจึงรู้ทันทีว่าผู้ที่ถ่ายปราณมาให้นางนั้น คือหนิงฝาน
“ข้าขอโทษที่เข้าใจเจ้าผิด… เจ้าช่วยชีวิตข้า ข้าควรขอบคุณเจ้า ไม่ควรตำหนิเจ้า...” นางขอโทษหนิงฝาน
นางกลัวว่าหนิงฝานจะล่วงเกินนาง แม้ว่าเขาจะเป็นน้องเขย แต่ทั้งสองก็เพิ่งเคยพบกัน
“ไม่เป็นไร… ว่าแต่ ผนึกเพลิงทมิฬที่แผ่นหลัง… เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้า?” หนิงฝานกล่าวถาม
“ผนึกอะไร? ข้าไม่เข้าใจ...” นางส่ายหน้า
“อืม… งั้นช่างเถอะ แล้วคัมภีร์หนังสัตว์นั่นเจ้าได้มายังไง?”
“ปู่ข้าเป็นคนให้...”
“ปู่? ใครเป็นปู่เจ้า?” หนิงฝานสงสัยว่าผู้ที่นางเรียกว่าปู่ อาจเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังตราประทับบนหลังนาง
“ปู่ของข้า… ข้านึกไม่ออก” นางลืมเรื่องของปู่ไปสนิท ราวกับถูกลบความทรงจำในส่วนนั้นไป
หนิงฝานขมวดคิ้ว ยิ่งได้รู้จักเผ่าปีศาจยักษ์ เขาก็ยิ่งพบกับเรื่องที่น่าประหลาด
นางถูกปรับแต่งโลหิต มีม้วนหนังอสูรในครอบครอง มีพลังแห่งชีวิต ทั้งหมดนั่นสมควรเกี่ยวข้องกับปู่ของนาง ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญไร้ดัดแปลงขั้นสูง
ดูคล้ายกับว่า เผ่าปีศาจยักษ์ยังมีปริศนาบางอย่างซ่อนอยู่
ฟงฉุ่ยเยวียนร่างกายอ่อนแอ ระดับพลังไม่สูง เพราะนางถูกตราประทับปีศาจเอาไว้ บางทีอาจไม่มีใครในเผ่าปีศาจที่รู้เรื่องนี้ แต่ชวี่ฉิงบิดานางสมควรรู้ เหตุใดถึงไม่ยอมทำอะไร?
ปู่ของฉุ่ยเยวียนคือคนของเผ่าปีศาจรุ่นก่อนที่ซ่อนตัวอยู่ และแอบทำร้ายนางอย่างลับๆ
หนิงฝานขบคิดว่าเขาควรจะช่วยนางดีหรือไม่?
เขายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับปู่ของนาง รู้ก็แค่หากช่วยนางย่อมเป็นการทำลายแผนของมัน และเป็นศัตรูกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น การเป็นศัตรูกับผู้ที่ไม่รู้จัก ย่อมเป็นการประมาทและเป็นผลเสียอย่างร้ายแรง
หากเป็นปกติที่หนิงฝานเห็นถึงผลประโยชน์เป็นสำคัญ เขาจะไม่ช่วยฉุ่ยเยวียน แต่นางเป็นพี่สาวของฉุ่ยหลิง หากนางตาย ฉุ่ยหลิงคงเศร้าใจมาก
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หนิงฝานก็เริ่มสงบ
“ข้าหนิงฝานลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง… ก้าวเดินในเส้นทางที่ตนเองเลือก… ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางใดข้าก็ไม่เสียใจ… หากให้ข้าต้องยอมทิ้งสตรีที่จะทำให้คนที่ข้ารักเสียใจ ข้าเองก็ต้องเสียใจด้วยเช่นกัน”
“ข้าต้องช่วยนาง แต่ก็ต้องทำความเข้าใจกับศัตรูให้ได้ก่อน รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง… ชวี่ฉิงอยากช่วยบุตรสาวของตนจริงๆ จึงได้ส่งคนออกไปเสี่ยงชีวิตหาสมุนไพร หรือกระทั่งจัดงานปรุงโอสถขึ้นมา… ข้าจะเข้าร่วมงานด้วย ข้าต้องชิงโอสถมิติมาเป็นของข้าและต้องปรุงโอสถที่รักษานางได้ แต่หากไม่ได้...” แววตาหนิงฝานตั้งมั่นดั่งหินผา
“ถ้าหากโอสถยังช่วยนางไม่ได้ ข้าจะหาวิธีอื่น ข้าต้องรู้แผนการของมันให้ได้!” เมื่อเขาตัดสินใจแล้ว เขาจะไม่ผิดคำพูดตัวเองเด็ดขาด
เขาหันมองฉุ่ยเยวียนพลางกล่าวอย่างจริงจัง “ฉุ่ยเยวียน เรื่องที่ข้าถามเจ้าเกี่ยวกับม้วนหนังสัตว์และผนึกที่แผ่นหลัง ห้ามเอาไปบอกใครเด็ดขาด”
“ข้าสัญญา”
นางยิ้มอย่างงดงาม นางรู้ว่าตอนนี้หนิงฝานกล่าวจากใจ ไม่ได้ข่มขู่ใดๆ แต่เป็นเพราะห่วงนาง
แววตาของเขายามนี้ทำให้นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเขา ว่าเขาเป็นห่วงนางจริงๆ
แม้นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงห้ามบอกคนอื่นๆ แต่นางก็เชื่อในสิ่งที่เขากล่าว
แต่ยังไงนางก็พูดไม่ได้อยู่แล้ว นางจะไปบอกใครได้? น้องเขยนางนี่โง่จริงๆ เป็นห่วงไม่เข้าเรื่อง
“งั้นตอนนี้เราไปหาอะไรอร่อยๆกินกันที่เมืองดีกว่า”
“น้องเขย เจ้าดีกับข้าจริงๆ...” นางยิ้มพลางเขย่งปลายเท้าขึ้นจูบแก้มหนิงฝาน แววตาของนางบริสุทธิ์ ไร้ซึ่งสิ่งใดแอบแฝง
หนิงฝานสัมผัสบริเวณที่นางจูบพลางส่ายหน้า นางเป็นเหมือนตุ๊กตาหิมะที่บริสุทธิ์ เหมือนกับกระดาษที่ขาวสะอาด
จูบเมื่อครู่ของนางเป็นจูบที่ออกมาจากใจ
ก่อนจะกลับเมือง หนิงฝานขบคิดว่าหากกลับไป เขาต้องหาความจริงให้ได้ เขาไม่เชื่อว่าชวี่ฉิงที่ดูใจดีจะทำร้ายบุตรสาวได้ลง
การจะรักษานาง เขาต้องหาความจริงให้กระจ่าง
เขาจะหวังพึ่งโอสถอย่างเดียวไม่ได้ เพราะหากไม่สามารถรักษานางได้ เขาต้องหาวิธีด้วยตนเอง
เหตุที่หนิงฝานสัมผัสตราประทับของนางได้ เป็นเพราะเขามีพลังแห่งชีวิต
แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นคือ ในร่างนางไม่ได้มีแค่ตราประทับ แต่ยังมีพลังแห่งชีวิตที่ทรงพลังอยู่
แม้ว่าพลังสายนั้นไม่อาจเทียบหนิงฝานที่ครอบครองพลังแห่งชีวิตที่แท้จริง แต่มันก็ทรงพลังมากพอที่จะป้องกันไม่ให้หนิงฝานทำลายตราประทับได้
ต่อให้เป็นดรรชนีหมอกเมฆาม่วงก็ยากจะทำลายตราประทับพวกนั้น
แต่สิ่งที่ยังทำให้หนิงฝานรู้สึกไม่สบายใจอีกอย่าง คือเขาสัมผัสได้ถึงโลหิตของโม๋หลัวในร่างนาง ต่อให้เขาทำลายตราประทับได้ แต่เขาก็ไม่กล้าเอาโลหิตของโม๋หลัวออกมา
โลหิตของโม๋หลัวอยู่กับนางมาตั้งแต่เกิด มันเชื่อมโยงกับชีวิตของนาง หากนำออกมาแล้วเกิดความผิดพลาด นางจะตาย!
การทำให้นางดูดซับมันได้อย่างสมบูรณ์ สมควรทางเลือกที่ดีที่สุด
แต่ใช่ว่าใครๆก็จะดูดซับโลหิตโม๋หลัวได้ อย่างหนิงฝานในยามนี้ก็ยังไม่มีวิธี อีกอย่าง ระดับพลังของนางยังอยู่ขอบเขตเปิดเส้นชีพจรที่ 10 หากฝืนดูดซับ ร่างกายนางอาจระเบิดตายได้
บางที หนิงฝานอาจจะต้องรวบรวมอนุสรณ์ปีศาจได้ครบ 4 ชิ้นก่อน จากนั้นศึกษาทำความเข้าใจ บางทีอาจพบวิธีดูดซับโลหิตของโม๋หลัว
เพราะฉะนั้นการรักษานางยามนี้ คงรักษาได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
“ไปกันเถอะ”
หนิงฝานจะพานางกลับเมือง แต่ในขณะนั้น เขากลับหันหน้าไปทางทิศใต้พลางกล่าว
“นั่นใคร!”
หนิงฝานกล่าวพลางกระตุ้นกระบี่แยกสวรรค์จู่โจมไปยังทิศที่มอง
แต่แล้วเงาร่างของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏออกมาจากหมู่เมฆ ใบหน้าถูกบดบังด้วยหมอกขาว เห็นแค่เพียงดวงตาเท่านั้น
ดวงตาคู่นั้นเผยถึงความประหลาดใจ มันเพิ่งจะมาถึง และกำลังจะซ่อนตัว แต่หนิงฝานกลับสัมผัสพบ
เมื่อเห็นกระบี่กำลังพุ่งตรงเข้าหา มันผู้นั้นจ้องมองด้วยสายตาเย้ยหยัน ทั่วร่างเปล่งแสงสีทองพลางเอื้อมมือต้านกระบี่
จากความเข้มข้นของแสงสีทอง คนผู้นี้น่าจะบรรลุขอบเขตกายทองคำที่ 2 แต่ที่น่าแปลกกว่านั้น คือกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวมัน แสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่มนุษย์
*เคร้ง*
กระบี่แยกปะทะกับมือของมันผู้นั้น ก่อนที่กระบี่จะหวนคืนกลับมาอยู่ข้างหลังหนิงฝาน
มือของมันผู้นั้นก็เกิดบาดแผลจากปลายกระบี่ มันคิดไม่ถึงว่ากระบี่ของหนิงฝานจะสร้างบาดแผลให้มันได้
“อาวุธเทพดารา 2… ฮึ่ม! ไม่ธรรมดา มิน่าถึงสังหารฉือคุณได้ แต่เจ้ายังอ่อนด้อยเกินไป… เมื่อยามที่ข้ายังเด็ก ข้าก็เหมือนกับเจ้า แต่เจ้าควรรู้ว่าบางสิ่งก็ไม่ควรล่วงเกิน”
แล้วเงาร่างนั้นก็พุ่งตรงเข้าหาหนิงฝานก่อนจะเบี่ยงร่างจากไป แต่ก่อนจะไป มันจ้องมองฉุ่ยเยวียนที่แววตาที่เศร้าหมอง
“เด็กนั่นคงสัมผัสถึงตราประทับที่อยู่บนแผ่นหลังของนางได้ แต่ก็คาดไม่ถึงว่าเด็กนั่นคิดจะช่วยนาง...”
เงาร่างนั้นพุ่งทะยานหายไป แต่หนิงฝานสามารถสัมผัสกลิ่นอายของเงาร่างนั่นได้ ว่าอยู่ในขอบเขตไร้ดัดแปลงขั้นสูง
ขอบเขตไร้ดัดแปลงขั้นสูง กายทองคำที่ 2 เงานั่นแข็งแกร่งจนหนิงฝานไม่อาจเอาชนะได้
ก่อนที่เงาร่างนั่นจะไป มันได้มอบแผ่นหยกสีดำแผ่นหนึ่งในหนิงฝาน เมื่อแผ่สัมผัสเทพเข้าดู เขากลับต้องขมวดคิ้ว เพราะมีข้อความข้างนั้นสลักไว้ว่า
“ขอบคุณที่ปกป้องเผ่าของข้า ข้ารู้สึกทราบซึ้งใจมาก แต่เรื่องของฉุ่ยเยวียนเจ้าไม่ควรสอดมือ หากบรรพบุรุษทั้ง 8 โกรธเข้า เจ้าคงไม่อาจรับมือได้”
กลิ่นอายพลังที่แฝงมาในแผ่นหยกนั้นให้ความรู้สึกที่คุ้นเคย
เมื่อขบคิด เขาก็ค่อยนึกออกว่าเคยสัมผัสกับกลิ่นอายนี้จากที่ไหน
“บนเกาะปีศาจสำราญ ใกล้ๆกับดินแดนล่มสลาย… ผู้ที่มีรายชื่ออยู่อันดับหนึ่งของอนุสรณ์สังหาร ชวี่หยาน… ผู้นำเผ่าปีศาจยักษ์รุ่นก่อน ซึ่งเป็นบิดาของชวี่ฉิง ปู่ของฉุ่ยเยวียน!”
“มีข่าวลือว่าเขาตายไปแล้ว แต่ทำไมถึงมาปรากฏตัวที่นี่ เขาไม่ได้ตั้งใจทำร้ายข้า เพราะพลังระดับนั้น ข้าไม่อาจต่อกรได้อยู่แล้ว...”
“ชวี่หยานรู้เหตุผลว่าทำไมฉุ่ยเยวียนถึงถูกตราประทับ...”
“เขาขอบคุณที่ข้าช่วยปกป้องเผ่า เขาเป็นห่วงเผ่ามาก แต่กลับบอกไม่ให้ข้าสอดมือเรื่องฉุ่ยเยวียน เพราะจะทำให้บรรพบุรุษทั้ง 8 โกรธจนข้าไม่อาจรับมือได้… บางทีบรรพบุรุษทั้ง 8 สมควรเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด”
“ชวี่หยานกล่าวถึงบรรพบุรุษทั้ง 8 ด้วยความนอบน้อม แสดงว่าคนเหล่านั้นสำคัญกับเผ่ามาก แต่ทำไมมันถึงเลือกทำร้ายคนของตัวเอง มันมีเป้าหมายอะไรกันแน่”
หนิงฝานยังไม่อยากคิดเรื่องนี้ เพราะต่อให้คิดยังไงเขาก็คิดไม่ออก แต่ที่แน่ๆเขาจะไม่ปล่อยให้ฉุ่ยเยวียนต้องตาย เขาจะค่อยๆสืบหาความจริงไปทีละขั้น แต่ตอนนี้เขาต้องพานางกลับก่อน
แม้จะยังไม่รู้แผนการของเผ่าปีศาจยักษ์ แต่ก่อนที่ตราประทับนั่นจะเปลี่ยนโลหิตในร่างของนางโดยสมบูรณ์ นางจะยังไม่เป็นอันตราย
“ปู่… ท่านปู่… ข้าเจ็บ!” จู่ๆนางกลับกุมศีรษะ ราวกับความทรงจำของนางกำลังกลับมา
“ไม่ต้องกลัว น้องเขยคนนี้จะพาเจ้ากลับบ้านเอง!”
หนิงฝานจับแขนของนางเบาๆพลางแผ่ปราณคุ้มกัน แววตาแปรเปลี่ยนเย็นชา
แม้จะยังไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของเผ่าปีศาจยักษ์ที่ทำร้ายนาง แต่ไม่ว่ายังไง เขาจะดูแคลนเผ่าปีศาจยักษ์ไม่ได้
หากศัตรูมุ่งทำร้ายเขา เขายังทนได้ แต่หากพวกมันคิดร้ายกับคนในครอบครัวของเขา เขาทนไม่ได้ นั่นเป็นเรื่องที่เขาแค้นใจมากที่สุด
ไม่ว่าผู้ใดที่คิดร้ายกับครอบครัว หรือทรยศครอบครัว มันผู้นั้นถือเป็นศัตรู
เผ่าหกปีกสามารถยกคนในเผ่าให้เขาได้ เพื่อแลกกับความปลอดภัย… เผ่าปีศาจยักษ์คิดร้ายกับฉุ่ยเยวียนเพื่อเป้าหมายบางอย่าง ดูเหมือนเขาจะดูถูกเผ่าปีศาจเรื่องที่พวกมันทรยศคนของตนเกินไป
หนิงฝานพานางกลับไปยังเผ่า กลับไปยังศาลาแห่งนั้นเงียบๆ
เมื่อผู้คนเห็นหนิงฝานพานางกลับมาได้อย่างรวดเร็ว พวกมันล้วนตกตะลึง
ฉุ่ยหลิงรู้ว่าที่หนิงฝานยอมตามหาฉุ่ยเยวียนก็เพราะนางขอ
นอกจากนี้ นางยังสังเกตุเห็นแววตาที่แฝงด้วยความโกรธของหนิงฝาน แต่ความโกรธนั่นซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจที่ไม่มีใครเห็นยกเว้นนาง เพราะนางเข้าใจหนิงฝานดี
“เกิดอะไรขึ้น?” นางกล่าวถามอย่างอ่อนโยน
“ไม่มีอะไรหรอก...” หนิงฝานกล่าว เขาไม่อยากให้เผ่าสังเกตุเห็น
ที่นี่มีทั้งชวี่ฉิง มีผู้อาวุโสใหญ่ และผู้อาวุโสคนอื่นๆอีกนับ 10
นอกจากนี้ยังมีสตรีอยู่นางหนึ่ง นามว่า เหยาเหลียน นางเป็นผู้อาวุโสรอง ข่าวลือว่านางเป็นผู้ฝึกฝนวิชาราคะ อาศัยการร่วมรักเพื่อยกระดับพลัง ที่สำคัญ ลีลาบนเตียงของนางก็ดีไม่น้อย
แม้ชื่อเสียงของนางไม่ค่อยจะดี แต่ความจงรักภักดีที่นางมีต่อเผ่านั้นไร้ข้อกังขา ที่สำคัญ นางไม่เคยคิดทะเยอทะยานเหมือนคนทั่วไป
ดังนั้นแล้ว นางจึงกลายเป็นเป้าหมายที่หนิงฝานจะล้วงความลับของเผ่า เขาจึงจ้องมองนางด้วยแววตาที่คลุมเครือ
“ฮ่าฮ่า… ดูเหมือนสหายเต๋าซัวจะสนใจในตัวข้า คืนนี้ข้ากำลังว่างอยู่พอดี ไม่รู้ว่าสหายเต๋าจะว่างมาหาข้าหรือเปล่า?” นางจ้องมองหนิงฝานพลางเลียริมฝีปาก
นางชื่นชอบบุรุษในแบบหนิงฝานเป็นที่สุด แต่ในขณะนั้น...
“เหยาเหลียน เจ้าจะยั่วยวนบุรุษคนใดก็ได้ ยกเว้นเขา เพราะเขาคือบุรุษของข้า!” หลิงคงจ้องมองเหยาเหลียนด้วยสายตาเย็นชา จนทำให้นางสั่นสะท้านและไม่กล้ายั่วยวนหนิงฝานอีก
เยว่หลิงคงเป็นคนตรงๆ และตอนนี้นางก็แข็งแกร่งกว่าชวี่ฉิงและตงสู่ไปมาก ย่อมไม่มีใครดล้ายั่วยุนาง
แต่ที่นางยังไม่ทำอะไร ก็เพราะเห็นแก่ที่หนิงฝานมีความสัมพันธ์อันดีกับเผ่า
“แตงกวาน้อย เจ้าจะไปร่วมรักกับคนไร้ค่าอย่างนางไม่ได้!” หลิงคงกล่าว แต่ในใจนางรู้สึกอิจฉา
หนิงฝานยิ้มให้นางอย่างคลุมเครือ เพราะสีหน้าเวลาตอนที่นางหวงเขานั้นน่ารักมาก
ชวี่ฉิงกระแอมทำลายบรรยากาศที่น่ากระอักกระอ่วน พลางกล่าวถามหนิงฝาน
“ข้าได้ยินมาจากฉานน้อยว่าสหายเต๋าซัวเองก็เป็นนักปรุงโอสถเหมือนกัน… ไม่รู้ว่าสหายเต๋าสนใจอยากเข้าร่วมงานปรุงโอสถในครั้งนี้หรือเปล่า?”
“ฮ่าฮ่า งานใหญ่ขนาดนี้ หากข้าไม่เข้าร่วมก็คงเสียดายแย่ หากข้าแข่งขันได้อันดับหนึ่งในสาม คงมีสิทธิ์ได้ปรุงโอสถรักษาแม่นางฉุ่ยเยวียน และหากรักษานางได้ ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีของเผ่า… ข้ากล่าวถูกหรือไม่?”
“ถูกอย่างสหายเต๋าว่า หากรักษาเยวียนเอ๋อร์ได้ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดี...” แววตาของชวี่ฉิงปรากฏความหวัง มันหวังให้บุตรสาวของตนหายดี
หนิงฝานนิ่งเงียบ หรือชวี่ฉิงจะไม่รู้จริงๆว่าบุตรสาวของตนเป็นอะไร? เพราะความเป็นห่วงที่มันแสดงออกนั้นมาจากใจ
นั่นทำให้หนิงฝานผ่อนคลาย เพราะอย่างน้อยบิดาก็ไม่หักหลังผู้เป็นบุตรสาว
หนิงฝานต้องหาโอกาสพูดคุยกับเหยาเหลียนให้ได้ เพราะนางเป็นเพียงคนเดียวที่ใช้วิชาคารมได้
“ฮ่าฮ่า ในเมื่อสหายเต๋าสนใจอยากเข้าร่วมงานปรุงโอสถ ข้าก็อยากจะแนะนำกฏเกณฑ์ต่างๆเสียหน่อย”
“เช่นนั้นรบกวนสหายเต๋าด้วย”
เหตุผลหลักที่หนิงฝานเข้าร่วมงานปรุงโอสถเป็นเพราะอยากช่วยฉุ่ยเยวียน และอีกเหตุผลคืออยากประลองฝีมือปรุงโอสถกับคนอื่นๆ
เพราะการยกระดับวิชาปรุงโอสถนั้นก็ถือว่าสำคัญเช่นกัน...