เซียนเหนือวิถี บาทที่ 141 (ฟรี)
บาทที่ 141
ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ขยับ พวกเขาก็เห็นว่าเจ้าถิ่นที่จินต้าพูดถึงนั้นคืออะไร มันเป็นงูขนาดใหญ่ทัดเทียมกับจินต้า มันมีเกล็ดสีเขียวสดใสราวกับมรกต แต่ที่น่าสนใจก็คือ มันมีหัวสามหัว และข้อสำคัญก็คือมันเป็นหัวจริงๆไม่ได้เป็นงูจำนวนมากเหมือนกับไฮดราจำแลง
มันพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วจากทางด้านหนึ่ง เมื่อจินต้าเห็นเช่นนั้น ก็พุ่งปราดเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมกับแสงเรืองบนตัวที่สว่างจ้าขึ้น และน้ำรอบกายของมันก็เริ่มเดือดพล่าน
“รีบไปเร็ว” จินต้าเร่งรัด
“ไปกันเถอะ” หงเซียวไม่กล้าชักช้าส่งข้อความชักชวนสี่สาวพุ่งตัวขึ้นไปตรงๆสู่ผิวน้ำ
แต่ก่อนที่พวกเขาจะไปไหนได้ไกล งูน้ำสีมรกตจำนวนหนึ่งก็พุ่งจู่โจมเข้ามาจากด้านข้าง
“ใช้สายฟ้า” หงเซียวกล่าว สัตว์น้ำส่วนใหญ่มักจะแพ้ทางสายฟ้า
พวกเขาโคจรพลังปราณเข้าไปในกำไลปราณเกราะสายฟ้าและปลดปล่อยมันออกไปรอบกาย และเนื่องจากว่าเป็นสายฟ้าจากปราณที่ออกแบบมาโดยเฉพาะมันจึงไม่ทำร้ายร่างกายของพวกเขา
กระแสไฟฟ้าแผ่ออกไปรอบข้างสู่กระแสน้ำทะเลที่เป็นสื่ออย่างดีสู่งูที่พุ่งตัวเข้ามาหา พวกมันล้วนเป็นสัตว์อสูรเขตแก่นปราณ แต่ว่าเมื่อเผชิญการโจมตีด้วยกระแสไฟฟ้าที่มีความรุนแรงในเขตแก่นปราณเช่นกันก็ไม่อาจทนได้
กระแสไฟฟ้าที่แผ่ออกไปในน้ำแน่นอนว่าย่อมไม่มีเสียงเปรี๊ยะให้ได้รับรู้ มันเหมือนมัจจุราชเงียบที่แผ่ออกไปโดยไร้เสียงไร้แสง เมื่อรู้ตัวกระแสไฟฟ้าก็เข้าถึงตัวแล้ว งูทุกตัวในบริเวณนั้นต่างพากันถูกช็อตจนสลบไสล
จินหลินไม่เสียเวลา เธอคว้าคองูตัวหนึ่งไว้แล้วพุ่งตัวขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว เมื่อสาวรุ่นคนอื่นเห็นเช่นนั้นก็พากันเลียนแบบอย่างไม่ยอมน้อยหน้า หงเซียวที่เป็นผู้นำเปิดทางไปนั้นได้แต่สวดมนต์ให้กับสัตว์อสูรเคราะห์ร้ายเหล่านั้น
งูทะเลสามหัวนั้นคิดว่าหากตนเองพัวพันจินต้าเอาไว้ก็จะสามารถสั่งให้สมุนจัดการกับคนที่เหลือได้อย่างง่ายดายโดยใช้จำนวนที่เหนือกว่าเข้าข่ม ไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถประหลาดที่ทำให้สมุนของมันง่อยเปลี้ยได้ก่อนที่จะถึงตัวด้วยซ้ำ
มันโกรธจนกรีดร้องได้ยินไปไกลในน้ำทะเล และพุ่งตัวขึ้นไล่ตามพวกหงเซียวอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจจินต้าอีก
จินต้าว่ายติดตามมาติดๆใช้ปากกัดเข้าไปที่หางอีกฝ่าย งูสามหัวถูกกัดหางยื้อไว้จนเจ็บปวดไม่อาจไล่ตามต่อไปได้จึงแว้งกลับเข้ามาฉกใส่มังกรสุวรรณอัคคี
หงเซียวและเด็กสาวพยายามพุ่งตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ แต่ว่าเนื่องจากพวกเขาดำดิ่งลึกลงไปเกือบสองพันเมตร ดังนั้นการว่ายต้านมวลน้ำจึงต้องใช้เวลาอยู่บ้าง พวกเขารับรู้ถึงการต่อสู้ของสัตว์เซียนทั้งสองตัวจากมวลน้ำที่เคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ราวกับดำน้ำอยู่ใต้กระแสน้ำเชี่ยวที่เปลี่ยนทิศทางปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังมีวังวนที่ดูดพวกเขาลง และมีกระแสที่ผลักพวกเขาขึ้นด้วยเช่นกัน
รอบข้างเปลี่ยนเป็นมืดมิดอย่างรวดเร็วราวกับว่าพลันตกอยู่ในกลางคืนด้วยความปั่นป่วนของกระแสน้ำซึ่งมีผลต่อสภาพอากาศเบื้องบนด้วย จนทำให้พวกเขาหลงทิศไม่รู้ว่าด้านไหนเป็นด้านบนหรือด้านล่าง เพียงแต่แสงสว่างลางเลือนและทิศทางของฟองอากาศที่พุ่งไปนั้นที่พอช่วยบอกพวกเขาได้ว่าด้านไหนเป็นด้านบน
หากมองกลับลงไปด้านล่าง พวกเขาจะเป็นแสงสว่างปรากฏขึ้นเป็นเงาลางๆเป็นช่วงๆ ซึ่งแน่นอนว่านั้นเป็นเพลิงของมังกรสุวรรณอัคคี ในขณะที่คู่ต่อสู้ของมังกรนั้นพวกเขาไม่สามารถจับสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวได้
พวกเขาใช้เวลาเกือบสิบห้านาทีในการลงไปสู่ความลึกสองพันเมตร ด้วยแรงพยุงตัวของน้ำช่วย พวกเขาควรจะเร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ด้วยแรงซัดของน้ำจากทุกด้านทำให้พวกเขาเสียเวลานับสิบนาทีเช่นกันกว่าจะขึ้นถึงบนผิวน้ำ
เมื่อขึ้นถึงบนผิวน้ำแล้ว หงเซียวก็ส่งกระแสจิตไปยังมังกรจินต้า “พ้นผิวน้ำแล้ว” พร้อมกันนั้นพวกเขาทั้งห้าคนก็โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางพายุอันมืดครึ้มปั่นป่วนจากการต่อสู้ของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง
ไม่นานนักพวกหงเซียวก็เห็นร่างสองร่างก็พุ่งทะยานไล่ตามกันขึ้นมาอย่างรวดเร็วก่อนจะเกิดการต่อสู้กันระหว่างทางสู่ผิวน้ำอีกหลายครั้ง พวกหงเซียวที่บินอยู่ในพายุอันมืดครึ้มพากันเคลื่อนที่ขึ้นสู่เบื้องบนอย่างเต็มความสามารถ
พายุพัดอยู่รอบข้างอย่างรุนแรง กระทั่งผู้ที่มีความสามารถในการควบคุมอนูเล็กละเอียดของน้ำและอากาศอย่างพวกเขาก็ยังต้องถูกพายุซัดส่ายเอนไปมายากจำแนกเส้นทาง สายฟ้าฟาดใส่ร่างพวกเขาเป็นระยะ ยังดีที่พวกเขาเปิดใช้เกราะสายฟ้าผ่านเครื่องรางทำให้สายฟ้าเหล่านั้นไม่อาจทำอะไรพวกเขาได้
สุดท้ายมังกรสุวรรณอัคคีจินต้าก็พ้นขึ้นมาจากผิวน้ำทั้งที่ยังพัวพันกับงูสามเศียรนั้น ร่างสีทองสุกปลั่งของมันแผดเผาน้ำบนร่างของมันระเหยไปในพริบตา กระทั่งน้ำที่อยู่รอบๆก็ยังกลายเป็นไอหมอกจนพวกหงเซียวเห็นได้ไม่ถนัดชัดตานัก
งูสามเศียรนั้นเมื่อเห็นคู่ต่อสู้พ้นขึ้นไปเหนือน้ำแล้ว มันก็คลายตัวจากการรัดพันมังกรทอง เพราะว่าตัวของมันเองก็เริ่มถูกแผดเผาเมื่อไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง มันทิ่งตัวดิ่งลงไปในน้ำพร้อมกับส่งเสียงร้องก้อง
กีซซซซซ อย่างไรก็ตามสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองก็ยังต่างระดับกันอยู่ เพียงแต่ว่านี่เป็นน้ำทะเลซึ่งเป็นถิ่นของงูทะเลทำให้พวกมันสู้กันโดยมังกรทองจะอยู่ในสภาพเสียเปรียบอยู่บ้าง แต่เมื่อพ้นจากน้ำทะเลขึ้นมาแล้ว มังกรทองก็ได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด
จินต้าเห็นได้ชัดว่าเพียงแค่ต้องการสลัดอีกฝ่ายให้หลุดไปเท่านั้น ไม่ได้คิดต่อสู้อะไรมากนักกับเจ้าถิ่นที่หวงดินแดนนี้ มันทะยานร่างขึ้นสู่ท้องฟ้าทันทีเห็นเป็นเส้นแสงสีทองเส้นยาวพุ่งทะยานขึ้นเหนือเมฆท่ามกลางพายุฟ้าคะนอง
ไม่นานนักมันก็มาสมทบกับหงเซียวและสี่เด็กสาวบนท้องฟ้าเหนือบริเวณที่เกิดความปั่นป่วนของกระแสอากาศ มันกล่าวว่า “เจ้าต้องการไปยังที่อื่นอีกหรือไม่”
หงเซียวตอบว่า “ข้าอยากรู้จักแดนเซียนให้มากที่สุด”
“ข้าเข้าใจแล้ว” มังกรจินต้ากล่าว “ถ้าเช่นนั้นเราก็ไปที่อื่นกันต่อ แต่อีกที่นี้ด้วยความเร็วของพวกเจ้า อาจจะต้องกินเวลาอยู่บ้าง”
“ข้าเข้าใจ” หงเซียวกล่าวตอบ
พวกเขาบินเฉียงกลับไปจากทิศทางเดิม ใต้เมฆหมอกคละคลุ้งนั้นพวกเขาสามารถเห็นพื้นโลกที่เป็นแผ่นผืนสีเขียว มีเมืองที่ดูโดยรวมแล้วเป็นเหมือนจุดด่างสีขาวบนพื้นผิวสีเขียวนั้น เมฆที่ลอยมาปะทะพวกเขาเป็นบางครั้งครานั้นทำให้ตัวพวกเขาเปียกโชก อากาศที่เหนือระดับเมฆนี้เย็นจัด จนหงเซียวต้องงัดชุดเสื้อผ้ากันหนาวหนังมาสวมทับบนกางเกงว่ายน้ำ พร้อมทั้งกล่าวเตือนเด็กสาวทุกคน
จินหลินไม่ลังเลที่จะนำเอาชุดแมวขึ้นมาสวมทับ เช่นเดียวกัน ซิ่วจูก็นำเอาชุดกระต่ายขึ้นมาสวม และซีชี่ก็นำชุดหนูออกมาสวมใส่เช่นกัน สุดท้ายเหมยเหมยก็นำเอาเสื้อผ้ากันหนาวหนังขึ้นมาสวมทับบนชุดว่ายน้ำเช่นเดียวกับทุกคน
มังกรจินต้าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าอย่างไรอุณหภูมิติดลบในชั้นบรรยากาศระดับสูงนี้ไม่มีผลกับตัวมัน แต่สำหรับพวกหงเซียวแล้วตอนนี้ชุดของพวกเขาทุกคนเกาะพราวไปด้วยน้ำค้างแข็ง
การเดินทางนี้ค่อนข้างกินเวลา หงเซียวจึงให้ทุกคนมาเกาะหลังเขาแล้วบินไปด้วยกันเพื่อเพิ่มความอบอุ่น
แน่นอนว่าทุกคนยินดีเป็นอย่างยิ่ง
การเดินทางครั้งนี้กินเวลาทั้งวันและคืน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องกินอาหารที่เก็บไว้เป็นเสบียงระหว่างการเดินทาง และเมื่อแสงตะวันโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า จินต้าก็กล่าวขึ้นว่า “ถึงแล้ว”
จินต้าดำดิ่งลงไป เบื้องล่างนั้นพวกเขาเห็นเป็นป่าโปร่งขนาดใหญ่สลับกับท้องทุ่งกว้างขวาง เมื่อยิ่งเข้าใกล้พวกเขาก็ยิ่งพบว่ามันกว้างขวางมากจริงๆ และเมื่อใกล้พื้นมากพอ พวกเขาก็พบว่ามีหมู่บ้านซุกซ่อนอยู่ในป่าโปร่ง แต่พวกเขาไม่ได้เข้าไปหาหมู่บ้านนั้น แต่ลงไปยังที่ห่างกว่าหมู่บ้านแห่งนั้น
“นั่นคือสำนักเซียนขนาดเล็ก” จินต้ากล่าว “หากเราไม่เข้าไปในเขตปกครองของพวกเขาก็ไม่เป็นไร”
ในที่สุดหงเซียวก็ได้เห็นถึงความเป็นอยู่ของสำนักเซียน เขาแปลกใจมาก เมื่อสำนักเซียนเองนั้นไม่ได้อยู่แปลกแยกไปจากโลก แต่กลับไม่มีใครรู้การคงอยู่ของพวกเขา กระทั่งตัวเขาเองหากจินต้าไม่บอกเขาก็คงไม่รู้ว่านั่นเป็นสำนักเซียน คงคิดว่าเป็นเพียงหมู่บ้านแห่งหนึ่งในโลกกว้างใหญ่นี้เท่านั้น
“ในป่าโปร่งแถบนี้มีแมลงชนิดหนึ่ง เรียกว่าจักจั่นเซียนเก้าชีวิต จักจั่นนี้ทุกสองปีจะลอกคราบครั้งหนึ่ง และเมื่อลอกคราบครั้งที่เก้าแล้วก็จะกลายเป็นตัวเต็มวัย ออกมาจากดินและเรียกร้องหาคู่ ซึ่งในช่วงชีวิตที่เป็นตัวเต็มวัยนี้ พวกมันก็จะมีชีวิตสองปีเช่นเดียวกัน และจะใช้เวลาช่วงนี้ในการจับคู่ออกไข่เป็นอย่างนี้เรื่อยไป” มังกรทองจินต้ากล่าว
“นี่คงเป็นแมลงศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สร้างเป็นแมลงคุณไสยสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเซียนอย่างแน่นอน” หงเซียวกล่าว
“หือ เจ้ารู้จักด้วยรึ ใช่แล้ว แมลงพวกนี้จะถูกนำไปเป็นคุณไสยโดยการใช้วิชาลับบางอย่าง แต่เพราะว่ามันมีอายุรวมทั้งหมดแค่ยี่สิบปี ทำให้เซียนผู้ที่ใช้แมลงชนิดนี้ติดอยู่ในเขตชีพจรเซียนซึ่งเป็นขอบเขตแรกของเซียนไปจนตลอดชีวิต และพวกเขาจะต้องใช้วิชาลับทุกยี่สิบปีเพื่อทำให้ตนเองยังคงสภาพเซียนอยู่ได้” มังกรสุวรรณอัคคีกล่าว
“นั่นหมายความว่าสำนักตรงนั้นก็คือสำนักที่ใช้วิชาลับนี้อยู่ใช่ไหม” หงเซียวอุทานขึ้นมาอย่างนึกได้