บทที่ 9 : ผมจะดูแลคุณอย่างดี (4)
บทที่ 9 : ผมจะดูแลคุณอย่างดี4)
เธอรอสายอยู่ได้ครู่หนึ่ง ก่อนแม่นมจางจะรับสาย “สวัสดีค่ะ ที่นี่คฤหาสน์ตระกูลกู่ ไม่ทราบว่าจะเรียนสายกับใครคะ?”
ซินเจียพูดทักทายแม่นมจางเล็กน้อย ก่อนจะพูดธุระของตัวเอง “คุณปู่อยู่บ้านไหมคะ?”
“นายท่านเหรอคะ อยู่ค่ะ ท่านกำลังเอนกายพักผ่อนอยู่ เดี๋ยวดิฉันจะไปเรียนท่านให้นะคะว่านายหญิงน้อยโทรมา” ทันทีที่แม่นมจางพูดจบซินเจียก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอค่อยๆเดินห่างออกไป ก่อนสักพักหนึ่งเธอจะได้ยินบนสนทนาแว่วๆระหว่างแม่นมจางกับนายผู้เฒ่ากู่ว่า “นายท่านคะ นายหญิงน้อยโทรมาค่ะ”
หลังจากนั้นไม่นานนักเธอก็ได้ยินเสียงนายผู้เฒ่ากู่จากปลายสาย “เสี่ยวโข่วหรอลูก?”
ซินเจียยังคงไม่ค่อยชินนักเมื่อได้ยินคนเรียกตัวเองว่า“มิสเหลียง” หรือ “เสี่ยวโขว่”แม้ว่าตอนนี้เธอจะสวมรอยเป็นเหลียงดูโขว่ได้กว่าหนึ่งเดือนแล้ว แต่เมื่อมีคนเรียกชื่อของเหลียงดูโขว่ทีไร กว่าเธอจะขานรับก็ต้องใช้เวลาเกือบสักพักกว่าเธอจะตอบ
ครั้งนี้ก็เหมือนกันเธอหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบกลับนายผู้เฒ่ากู่ “คุณปู่คะ” เธอรีบเอ่ยเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม “หยูเซิงเพิ่งจะโทรมาบอกหนูว่าคุณปู่อยากให้พวกเราไปงานเลี้ยงการกุศลด้วยกันเย็นนี้”
เธอหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “แต่หนูต้องขอโทษคุณปู่จริงๆนะคะ หนูต้องบินไปอเมริกาคืนนี้ค่ะ เพราะมีคิวหนังที่ต้องเริ่มถ่ายทำกันพรุ่งนี้ หนูคงไปร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ด้วยไม่ได้แล้วค่ะ”
อีกด้านหนึ่งของสาย นายผู้เฒ่ากู่เงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดว่า “เสี่ยวโขว่ หยูเซิงเขาไม่อยากให้หนูไปงานด้วยใช่ไหม?”
“ไม่ใช่นะคะ....คุณปู่ มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆค่ะ”ซินเจียพูดด้วยเสียงกระเง้ากระงอด “ฉากที่หนูต้องไปถ่ายมันเป็นฉากสำคัญจริงๆนะคะ ถ้าคุณปู่ไม่เชื่อก็โทรถามทีมงานได้เลยค่ะ หนูจะกล้าโกหกคุณปู่ได้อย่างไรคะ”
นายผู้เฒ่ากู่ถูกซินเจียอ้อนจนหลุดขำออกมา “ปู่เข้าใจว่างานต้องมาก่อน ปู่ก็แค่เป็นห่วงกลัวหนูจะโดนเจ้าหยูเซิงมันรังแกเอา แล้วสุดท้ายหลานสองคนก็จะไม่มีความสุขกันอีก”
หลังจากนั้นเธอก็คุยเป็นเพื่อนกับนายผู้เฒ่ากู่ต่ออีกนิดหน่อย ก่อนเธอจะวางสาย และเดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อเก็บกระเป๋าเตรียมเดินทาง
จริงๆแล้วเธอก็ไม่ได้โกหกอะไร ตามกำหนดการเธอมีต้องบินไปถ่ายงานที่อเมริกาจริงๆ เพียงแต่ว่าตั๋วเครื่องบินที่เธอจองไว้ก่อนหน้านั้นบินพรุ่งนี้ แต่เธอโทรบอกผู้จัดการส่วนตัว ขอให้เขาเลื่อนตั๋วมาเป็นเย็นวันนี้แทน
หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เธอก็ลากกระเป๋าลงบันไดมาชั้นล่าง
ก่อนที่จะออกจากบ้าน เธอได้ฝากความให้พ่อบ้านโทรแจ้งกู่หยูเซิงว่า เธอมีบินด่วนไปถ่ายหนังเย็นนี้ทำให้ไปงานเลี้ยงด้วยไม่ได้ และเธอได้กำชับพ่อบ้านด้วยว่าอย่าลืมบอกเขาว่า เธอได้แจ้งเรื่องนี้ให้คุณปู่ทราบเรียบร้อยแล้ว เขาสบายใจได้
ตอนที่พ่อบ้านโทรมากู่หยูเซิงกำลังนั่งทำงานอยู่ที่ห้องส่วนตัวในออฟฟิศ เมื่อเขามองเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาแล้วจึงกดรับสาย ก่อนจะยกเอาโทรศัพท์ขึ้นแนบหู พลางเซ็นเอกสารไปด้วย
“คุณกู่ครับ มิสเหลียงให้ผมโทรหาคุณ.....”
เมื่อได้ยินคำว่า “มิสเหลียง” เขาก็ขมวดคิ้วและมีประกายบางอย่างเกิดขึ้นในตาของเขาครู่หนึ่ง ก่อนเขาจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นน้ำเสียงที่เย็นชาและแข็งกระด้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งเขายังทำเป็นเหมือนหูทวนลมเพราะไม่อยากได้ยินเรื่องที่พ่อบ้านกำลังจะพูด
พ่อบ้านพูดต่อด้วยเสียงสั่นๆ ด้วยความกลัว “มิสเหลียงให้แจ้งว่าเธอมีงานด่วน ต้องบินไปถ่ายหนังที่อเมริกาเย็นนี้ เพราะฉะนั้นคืนนี้เธอเลยไปงานเลี้ยงพร้อมกับคุณไม่ได้แล้วครับ”
กู่หยูเซิงหยุดเซ็นเอกสารในมือ......
“มิสเหลียงยังให้บอกอีกว่า เธอได้แจ้งเรื่องนี้กับนายผู้เฒ่ากู่เรียบร้อยแล้วครับ”
กู่หยูเซิงเหมือนจะดูแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปที่โทรศัพท์มือถือในมืออย่างสงสัย นี่เขาได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า ก่อนเขาจะพูดกับปลายสายอีกครั้ง“อืม......” เขาตอบรับด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ ราวกับไม่ใส่ใจ
พ่อบ้านค่อนข้างชินแล้วกับการที่เขาหยุดพูดนานๆ แล้วค่อยมาตอบ และเมื่อเขาตอบรับเช่นนั้นแล้ว พ่อบ้านจึงกล่าวลาอย่างสุภาพก่อนจะวางสายไป
แม้ว่าพ่อบ้านจะวางสายไปแล้วแต่กู่หยูเซิงก็ยังไม่ได้ยกหูลงในทันที เขาเอาแนบหูค้างไว้อยู่อย่างนั้นสักพัก ก่อนที่จะวางมันลงบนโต๊ะ และนั่งทำงานต่อ ราวกับว่าเมื่อกี้นี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
สิบวันหลังจากนั้น ซินเจียก็บินกลับมาจากอเมริกา
เครื่องบินลงจอดที่สนามบินนานาชาติปักกิ่งตอนเวลา 10:10 น. ณ เวลาปักกิ่ง
และเนื่องด้วยอาจจะมีข้อมูลเรื่องไฟล์บินของเธอหลุดออกไป ทำให้ที่สนามบินตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าบรรดาแฟนคลับที่มารอต้อนรับการกลับมาของเหลียงดูโข่ว
แม้ว่าซินเจียจะสวมหน้ากากอยู่แต่ก็มีแฟนคลับผู้หญิงคนหนึ่งจำเธอได้ในทันทีตอนที่เธอกำลังเดินออกมาจากเกต
หญิงสาวคนนั้นกรีดร้องด้วยความตื่นเต้น พลางพูด “อ๊า.....เหลียงดูโขว่อยู่ตรงนี้ -” ก่อนเหล่าบรรดาแฟนคลับคนอื่นๆที่ยื่นรออยู่ก่อนหน้า จะรีบกรูเข้าหาเธอทันที และเพียงเวลาไม่นานนักซินเจียก็ถูกล้อมรอบไปด้วยบรรดาแฟนคลับ
กลุ่มแฟนคลับที่รวมตัวกันอยู่รอบๆซินเจียมีขนาดใหญ่พอสมควร และมีบางคนตะโกนเรียกชื่อ “เหลียงดูโขว่” ดังลั่น ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณนั้นเริ่มหยุดมองว่าเกิดอะไรขึ้น
ด้วยความช่วยเหลือจากผู้จัดการส่วนตัวและพนักงานรักษาความปลอดภัยของสนามบิน พวกเขาใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจัดการพาซินเจียหลุดออกมาจากกลุ่มแฟนคลับได้ ก่อนซินเจียจะรีบเดินไปขึ้นรถตู้บริษัทที่จอดรออยู่ก่อนแล้ว
แม้ว่าเธอจะขึ้นมาบนรถตู้แล้วแต่บรรดาแฟนคลับก็ยังคงตามมา บางคนพยายามที่จะทุบกระจกรถซ้ำๆเพื่อเรียกเธอ คนขับรถเองก็ไม่กล้าที่จะออกรถแรง จึงได้แต่ค่อยๆเคลื่อนช้าๆ เพราะกลัวว่าจะทำให้แฟนคลับบางคนได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อเจ้าหน้าของสนามบินออกมาเคลียร์สถานการณ์ให้อีกรอบทุกอย่างก็เริ่มโอเคขึ้น คนรถถึงได้เร่งความเร็วและขับออกไปอย่างรวดเร็ว
ซินเจียเหงื่อท่วมไปหมดอาจจะเพราะถูกเหล่าแฟนคลับรุมล้อมอยู่นาน และแม้ว่าในรถจะเปิดแอร์แต่ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่ เธอเองก็เริ่มรู้สึกเบื่อๆ เลยลดกระจกหน้าต่างลงเพื่อมองวิวและสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกสักพัก
บนถนนทางออกจากสนามบินตอนนี้รถติดพอสมควร อาจจะเพราะเวลานี้มีเครื่องลงจอดพร้อมกันหลายลำ รถตู้จอดเรียงต่อกันยาวเป็นแถว ซึ่งแต่ละคันห่างกันแค่ไม่กี่ฟุตเพื่อรอรับผู้โดยสาร เมื่อซินเจียรู้สึกว่าอากาศในรถเริ่มเย็นขึ้นบ้างแล้วเธอจึงปิดกระจกขึ้น และขณะที่เธอกำลังจะปิดกระจก เธอก็ดันเหลือบไปเห็นสายตาที่คุ้นเคยจากรถคันที่จอดอยู่ข้างๆ
ซินเจียหยุดชะงักไปชั่วครู่ เธอจ้องอยู่ประมาณสองถึงสามวินาทีได้ ก่อนจะค่อยๆหันไปมองที่รถ
เธอยังไม่ได้ปิดกระจกขึ้น ดังนั้นจึงทำให้เธอมองเห็นกู่หยูเซิงที่กำลังนั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับได้อย่างชัดเจน มือนึงที่กำลังคีบบุหรี่ไว้ ในขณะที่อีกมือประคองพวงมาลัย
รูปหน้าของเขาช่างดูงดงามอย่างไร้ที่ติ โดยเฉพาะเมื่อยามแสงอาทิตย์สาดส่องผ่านหน้าต่างไปตกกระทบกับผิวขาวเนียนของเขา มันช่างดูละมุนละไม ยิ่งเมื่อรวมกับแสงสีแดงริบหรี่ที่ปลายนิ้ว ยิ่งทำให้ภาพตรงหน้านี้งดงามราวกับภาพวาดในการ์ตูนมังงะเรื่องโปรดที่เธอชอบอ่านตอนเด็กๆ
ซินเจียลืมแม้กระทั่งที่จะปิดกระจกขึ้น เธอได้แต่เหม่อมองกู่หยูเซิงอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่านานแค่ไหน…