บทที่ 196 นักบวชน้อย
แมลงพิษเขียว… เป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์แมลงโบราณ มันถูกจัดอยู่ในอันดับสี่จากสิบแมลงลางร้ายโบราณทั้งสิบ และยังเป็นประเภทของแมลงที่ดีที่สุดที่ใช้ติดตามหาตำแหน่งของศัตรู
โดยทั่วไปนั้นเหล่าแมลงลางร้ายทั้งตัวผู้และตัวเมียจะทำงานร่วมกัน ในกรณีของแมลงพิษเขียว ผู้ใช้แมลงมักจะเก็บตัวผู้ไว้กับตัวและปล่อยตัวเมียออกไปค้นหาตำแหน่งของศัตรู ซึ่งมันสามารถติดตามเป้าหมายได้ภายในรัศมีห้าพันกิโลเมตรเลยทีเดียว
เมื่อสุ่ยเชียนโหรวป่าวประกาศภายในเมืองหลวงจักรวรรดิว่านางต้องการที่จะเด็ดหัวของเจียงอี้ หยุนเฮ่อก็ส่งแมลงพิษเขียวไล่ล่าหาที่อยู่ของเขาในทันที
ใครบ้างล่ะที่ไม่ต้องการเป็นลูกเขยของนักสู้อันดับหนึ่งของทวีป? เมื่อถูกส่งเข้ามาในที่ราบหินผลึก หยุนเฮ่อก็รีบมุ่งหน้าไปหาสุ่ยเชียนโหรวในทันที เมื่อเขาออกปากว่าจะช่วยตามหาเจียงอี้ให้ แม่นางน้อยผู้นั้นก็ไม่รังเกียจที่จะร่วมมือ
แมลงพิษเขียวตัวเมียสามารถให้กำลังลูกแมลงได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งลูกแมลงเหล่านี้มีความสามารถในการล่องหนและเหาะเหินด้วยความเร็วสูง
หากเป้าหมายไม่ใช่ยอดฝีมือหรือผู้เชี่ยวชาญศาสตร์วิญญาณ ก็จะไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะตรวจพบร่องรอยของพวกมันได้
ถ้าตอนนั้นเจียงอี้ไม่ใช้เพลิงโลกาแผดเผาศัตรู เขาก็คงไม่เผลอไปจัดการแมลงพวกนั้นโดยบังเอิญและยังคงตกเป็นเหยื่อต่อไป
แต่ก็ถือว่าโชคของเขายังค่อนข้างดีเพราะแมลงเหล่านั้นยังไม่โตเต็มไว้และขาดประสบการณ์จนนำมาซึ่งข้อผิดพลาด
มิฉะนั้น สถานการณ์จะร้ายแรงกว่านี้มาก ความจริงแล้วหยุนเฮ่อไม่จำเป็นต้องคอยสอดแนมเจียงอี้ก็ได้ เพราะแมลงพิษเขียวของเขาสามารถบังคับให้ลูกๆของพวกมันแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเขาและกัดกินเนื้อเยื่อในสมองเพื่อสังหารอีกฝ่ายได้ในทันที
ปัจจุบันเจียงอี้ยังคงเดินทางด้วยความทุลักทุเล เขาเคยพยายามที่จะขุดดินและใช้โคลนกลบฝังตัวเอง หรือแม้แต่เข้าไปในเขตทะเลทรายและมุดลงไปในทรายเพื่อหลีกหนี
แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ดูเหมือนว่าจะไร้ผล เพราะเมื่อจุดเพลิงโลกาขึ้นมา ก็ยังคงมีแมลงจำนวนหนึ่งที่ถูกไฟคลอกซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
หลังจากที่ดิ้นรนมานานถึงสองชั่วโมง เจียงอี้ไม่ก็ไม่มั่นใจนักว่าเขาหลุดพ้นจากการติดตามของแมลงพิษเขียวหรือยัง เขาทำได้เพียงแค่บังคับให้ตัวเองใจเย็นลงและหาวิธีหลุดพ้นจากสถานการณ์เช่นนี้
หากว่าตำแหน่งของเขาถูกศัตรูล่วงรู้เข้า เขาจะไม่มีวันปลอดภัยแม้ว่าจะอยู่กับหมาป่าจันทราสีเงินก็ตาม
ถ้าให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับเจียงอี้อยู่ท่ามกลางแสงสว่างและฝ่ายศัตรูกำลังเร้นกายอยู่ในเงามืด พวกมันสามารถวางแผนจัดการเขาได้อย่างไม่ยากเย็น
นอกจากนี้มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเคลื่อนไหวตลอดเวลา เพราะยังไงเสียมนุษย์ก็ยังจำเป็นต้องกินดื่มและนอนหลับเพื่อฟื้นฟูพลังงาน
“ไม่มีทางเลือกแล้ว!”
เจียงอี้สั่งให้หมาป่าจันทราสีเงินวิ่งตรงไปยังเนินเขาเล็กๆ หากว่าไม่สามารถหนีรอดไปได้ เขาก็ทำได้เพียงแค่สู้จนตัวตายเท่านั้น
นับตั้งแต่ที่ถูกไล่ล่า เขาก็ไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆเพื่อรอความตาย กองกำลังของฝ่ายศัตรูมีจำนวนอย่างน้อยสองถึงสามร้อยคนรวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวอีกเจ็ดสิบถึงแปดสิบคน
เมื่อทำการครุ่นคิดดูแล้ว เจียงอี้ก็รีบบังคับให้หมาป่าจันทราสีเงินวิ่งออกไปเพื่อค้นหาภูมิประเทศซึ่งจะช่วยให้เขามีข้อได้เปรียบขึ้นมาบ้าง
ชายหนุ่มและหมาป่าคู่ใจกำลังลัดเลาะไปตามแนวเขาและเดินทางผ่านแทบจะทุกภูมิประเทศไม่ว่าจะเป็น ป่าเขา, ป่าทึบ, พื้นที่รกร้างและทะเลทราย
ตลอดทาง เจียงอี้พบเจอกับจอมยุทธมากหน้าหลายตา แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเสียเวลาปะทะกับคนเหล่านั้นแต่ใช้วิธีการหลีกเลี่ยงแทน แม้ว่าพวกเขามีความคิดที่จะฉกชิงเหรียญตราของเจียงอี้ แต่ก็ทำได้แค่กระพริบตาปริบๆและมองเขาจากไปเนื่องจากไม่อาจตามความเร็วของหมาป่าจันทราสีเงินได้ทัน
……
ณ เขตทะเลทราย เจียงอี้ที่อยู่บนหลังของปีศาจหมาป่ากำลังห้อตะบึงอยู่บนผืนทรายพร้อมกับทิ้งฝุ่นควันที่ตลบอบอวลไว้เบื้องหลัง
เมื่อเวลาผ่านไปสีหน้าของเขาก็ยิ่งย่ำแย่ลงเมื่อตระหนักได้ว่าแม้ว่าจะเดินทางมาไกลแล้วแต่ก็ยังไม่พบพื้นที่ที่เหมาะสมในการสู้ศึก
“หืม? ข้างหน้ามีทะเลสาบ รีบไปเร็ว!”
หลังจากที่วิ่งมาหนึ่งชั่วโมง พวกเขาก็พบกับพื้นที่เขียวชอุ่มบนทะเลทราย ที่แห่งนั้นมีทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่ เมื่อเห็นมันจู่ๆเจียงอี้ก็ผุดความคิดบางอย่างขึ้นมา
“เจ้าหมา กระโดดลงไปในทะเลสาบเลย!”
“ตู้มม!”
ผืนน้ำสาดกระเซ็น หมาป่าจันทราสีเงินไม่กล้ารอช้าและกระโดดลงไปในทะเลสาบตามคำสั่งเจ้านาย ทั้งนายและบ่าวปล่อยให้ร่างของตัวเองจมลงไปในน้ำ
แทบจะทันทีหลังจากที่พวกเขากระโดดลงไป ด้านหลังของพวกเขาก็ปรากฏระลอกคลื่นอีกสองสาย
เป็นอย่างที่คิด!
ชัดเจนแล้วว่าตอนนี้เจียงอี้กำลังถูกแมลงสองตัวตามติดอยู่ เขาหยุดพักครู่หนึ่งก่อนที่จะกลับไปบนผิวน้ำ จากนั้นก็ขึ้นไปบนบกเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและทานอาหาร
ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยงพวกมัน เช่นนั้นเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องรักษาสภาพร่างกายให้อยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด
ซู่! ซู่!
แต่หลังจากที่ทานไปได้แค่ครึ่งเดียว เจียงอี้ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ย่ำอยู่บนพื้นทราย ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นความเย็นชาและเรียกหมาป่าจันทราออกมาเพื่อจำทำการหลบหนี
“อมิตาพุทธ”
ในจังหวะนั้นเอง เจียงอี้ก็ได้ยินเสียงมาจากเบื้องหน้าซึ่งทำให้หัวใจแทบจะหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เขามองเห็นนักบวชจำนวนหนึ่งจากอารามเซน แต่เมื่อใคร่ครวญอย่างดีก็พบว่าแมลงที่ติดตามมาไม่น่าจะมาจากคนเหล่านี้
จ้านอู๋ซวงเคยกล่าวว่านักบวชเหล่านี้มาที่นี่เพื่อเกียรติของอารามเซนและไม่เคยแปดเปื้อนโลหิตในสงครามราชอาณาจักรมาก่อน
“ไปเร็ว!”
ถึงอย่างนั้น เจียงอี้ก็ไม่ต้องการที่จะพบเจอกับนักบวชกลุ่มนี้ เพราะมีบางคนในกลุ่มนั้นที่บรรลุขอบเขตเสินโหยวซึ่งสามารถคุกคามเขาได้รวมอยู่ด้วย
“อมิตาพุทธ อยู่พูดคุยกันก่อนสิประสก!”
น้ำเสียงอันอ่อนโยนถูกเอ่ยออกมา แม้ว่าจะไม่ได้ดังมาก แต่มันก็เปรียบเสมือนเสียงฟ้าผ่าอยู่ในแก้วหูของเขาซึ่งทำให้เขาตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม
ทันใดนั้นเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น จู่ๆหมาป่าจันทราสีเงินก็หยุดชะงักและยืนนิ่งโดยไม่ขยับไปไหน แม้ว่าเจียงอี้จะออกคำสั่งกับมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม
“บ้าจริง! นี่มันเวทมนต์คาถาอะไรกัน? หรือจะเป็นความสามารถประเภทพลังวิญญาณ?”
เจียงอี้รู้สึกว่าเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย หากว่าหมาป่าจันทราสีเงินไม่เคลื่อนไหว แล้วเขาจะหลบหนีได้อย่างไร?
ไม่นานนัก นักบวชยี่สิบกว่ารูปก็เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ เขาไม่มีทางเลือกนอกจากเรียกตัวปีศาจหมาป่ากลับไปและจ้องเขม็งไปที่นักบวชเหล่านั้น
“อมิตาพุทธ”
ภายในกลุ่มนักบวช มีขอบเขตเสินโหยวอยู่เพียงแค่สองสามคนเท่านั้นซึ่งกำลังยืนล้อมเจียงอี้อยู่ สถานการณ์ตอนนี้กำลังตกอยู่ในความตึงเครียด
หากนักบวชเหล่านี้ลงมือสังหารและยึดเหรียญตราไป เขาคงจะถูกฝังอยู่ที่นี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา นักบวชผู้หนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นตัวแทนก็ก้าวออกมา แต่น่าแปลกที่ดูแล้วเขาน่าจะมีอายุเพียงแค่สิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น
เขาจ้องมองมาที่เจียงอี้อย่างสงบ จากนั้นก็พนมมือและโค้งตัวเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าว “อยู่สนทนากันสักหน่อยสิประสก อาตมามีนามว่าฮุ่ยเกิน มาที่นี่เพราะอยากให้ประสกมอบเหรียญตรามาแต่โดยดีและพวกเราจะจากไปโดยไร้ซึ่งความบาดหมาง ประสกว่าดีไหม?”
ดวงตาของเจียงอี้ดูเยือกเย็นลงและกล่าวด้วยความเย้ยหยัน “เจ้าเป็นถึงนักบวช แต่กระทำตัวเยี่ยงโจร?”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่!”
นักบวชน้อยรีบส่ายหัวปฏิเสธ “ประสก พวกเราไม่ได้เข้าร่วมสงครามราชอาณาจักรเพื่อทำการปล้นชิงใดๆ พวกเรามาเพื่อหยุดยั้งสงคราม หากสามารถรวบรวมเหรียญตามได้ทั้งหมด ทุกคนก็จะหยุดการฆ่าฟันอันไร้ซึ่งความหมายนี้ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า…”
“หุบปาก!”
เจียงอี้บังเกิดโทสะอย่างแท้จริงและสบถออกมาด้วยความเหลืออด
“ด้วยจำนวนคนแค่นี้ กลับกล้าพูดว่าจะรวบรวมเหรียญตราทั้งหมด? หัวโล้นอย่างพวกเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?!”
“นักบวชก็สมควรศึกษาธรรมอยู่ในอารามอย่างเงียบๆ แล้วเจ้ามาที่นี่เพื่อเกียรติยศและชื่อเสียง? องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าจะว่ายังไงหากรู้ว่าพวกเจ้าทำตัวเยี่ยงนี้? พระศพของพระองค์จะไม่ลุกขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยวรึ? อย่ายกเหตุผลโง่ๆมากล่าวอ้าง พวกเจ้ามันก็แค่พวกน่ารังเกียจ!”
“ประสกโปรดระวังคำพูดด้วย! เจ้าจะดูหมิ่นนักบวชจนๆคนนี้ก็ได้ แต่อย่าได้เอ่ยถึงองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า!”
หลังจากที่ถูกเจียงอี้ก่นด่าใส่ นักบวชน้อยก็ไม่ได้มีโทสะแต่อย่างใด เขายังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ “สิ่งที่ประสกกล่าวนั้นไม่ผิด แม้ว่าพวกเราจะไม่สามรถรวบรวมเหรียญตราได้ทั้งหมด แต่ก็ยังคงช่วยลดจำนวนการเข่นฆ่าได้ เอาเถิด ประสกไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับวิธีการของพวกเราหรอก มันก็เหมือนกับที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเคยตรัสไว้…”
“หากเราไม่เข้าไปในปรโลก แล้วใครจะไป? การมุ่งมั่นเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ ความว่างเปล่าคือสิ่งล่อลวง สิ่งล่อลวงคือความว่างเปล่า ชื่อเสียงก็เป็นเพียงหมู่เมฆที่ล่องลอยเข้ามา แม้ว่าโลกทั้งใบจะไม่เข้าใจเรา หัวเราะเยาะเรา ตำหนิเราหรือแม้แต่โกรธเรา เราก็จะยังคงปฏิบัติกับทุกสรรพสิ่งด้วยความสงบ…”