GOI ตอนที่ 73 เมื่อคาบจบแล้วอย่าเพิ่งไป!
ตั้งแต่จู๋ซือซือเคลื่อนไหวครั้งแรก เสียงกระทบกระทั่งไม่เคยหยุดลงภายในสนามรบ มีคนลอยขึ้นฟ้าและล้มลงไปทุกวินาที เมื่อทั้งสองหยุด พวกนางเป็นกลุ่มเดียวที่ยังยืนอยู่
โดยเฉพาะ ‘สหาย’ ที่ได้รับความสนใจจากสือเฉินเป็นพิเศษ ในเวลานี้ ทั้งหัวของเขาบวมปูดเหมือนหมู ไม่ต้องเอ่ยถึงมารดาเขา กระทั่งตัวมันเองยังไม่อาจจำใบหน้าตัวเองได้หากส่องกระจก!
ตลอดทั้งการต่อสู้ นอกจากศิษย์ห้องคนเถื่อนที่ชี้นิ้วไปคนโน้นทีคนนี้ทีตะโกนโหวกเหวกแล้ว คนอื่นนิ่งเงียบสนิทขณะที่พวกเขารับชมการต่อสู้ที่นอกเหนือสามัญสำนึก
ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์เฝิง!
เขาทำเช่นทั้งสองได้ แต่นั่นเป็นเพราะเขาอยู่ในระดับปรมาจารย์ หากเขาย้อนเวลากลับไปเป็นศิษย์ระดับกลางแล้ว...
เขาจะต้องเป็นเหมือนพวกที่นอนอยู่!
“สือเฉิน พวกเจ้าทั้งสองทำเกินไปแล้ว ข้าแค่ให้ไปท้าประลอง ไม่ใช่ไปล้างบางทั้งห้อง พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปในสถาบันได้อย่างไร? กระทั่งข้ายังอับอายหากพูดถึงเรื่องนี้!”
คำพูด ‘อบรม’ ของป๋ายเสี่ยวเฟยดังขึ้นเมื่อทั้งสองกลับมา น้ำเสียงดังราวกับกลัวคนอื่นจะไม่ได้ยิน
“ใช่แล้ว เมื่อครู่พวกเขายังแบกทั้งสองคนก่อนหน้ากลับไปได้ แต่ปัจจุบันทั้งห้องถูกอัดจนเละไปหมด แล้วใครจะเป็นคนแบกพวกเขา!?”
ฉิงหนานราวกับติดนิสัยเสียของป๋ายเสี่ยวเฟย ทักษะการสาดน้ำมันใส่ไฟมาถึงระดับสมบูรณ์แบบ แต่เขาลืมสถานการณ์ของตนเองไป
สายตาเย็นชาหลายคู่จ้องมองมาจนเขาถึงกับสั่นเทิ้มตามสัญชาตญาณ ฉิงหนานกลืนทุกคำพูดลงคอไปทันที
‘ข้าได้ใจเกินไป คงไม่อาจรอดการถูกทุบตี...’
ขณะที่ฉิงหนานคิดอยู่ในใจ เขาเริ่มมองหาคนที่จะสามารถปกป้องเขาได้ แต่เขายอมแพ้อย่างเด็ดขาดเมื่อมองไปรอบๆ
การหาใครสักคนในห้องคนเถื่อนที่ชอบซ้ำเติมคนอื่นเป็นเรื่องง่าย แต่คนใจบุญที่จะช่วยเหลือผู้อื่นไม่มีอยู่สักคนเดียว!
“อาจารย์เฝิง พวกเราไม่เรียนต่อหรือ?”
หลังจากพูดสิ่งที่เขาควร ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยเรียกอาจารย์เฝิงปลุกเขาจากสภาวะเหม่อลอย
“อา...? โอ้... ใช่! ใช่! เรียนต่อ! เรียนต่อ!”
อาจารย์เฝิงเอ่ยตะกุกตะกัก ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ไม่ต่างไปจากตอนชมฉิงหนานสู้เสร็จ เขารู้สึกราวกับใบหน้าแทบจะสุกเพราะความร้อน
‘โชคดีที่ข้ารับผิดชอบคาบชุมนุมแค่ครั้งเดียว...’
หลังจากเอ่ยปลอบตัวเองในใจ อาจารย์เฝิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะมองไปยังห้องคนเถื่อนอีกครา
เขาได้ลืมสิ่งที่เคยรู้เกี่ยวกับห้องคนเถื่อนไปแล้ว และเขาเพียงปรารถนาให้ป๋ายเสี่ยวเฟยและพวกทำให้เขาประหลาดใจกว่านี้
แต่ป๋ายเสี่ยวเฟยแค่ยิ้มออกมาพลางเอ่ย
“ห้องเราจะไม่ส่งใครไปอีก โอกาสที่เหลือให้เป็นของพวกเขาเถิด”
เมื่อเขากล่าวจบ ศิษย์ห้องอื่นที่เหลือถอนหายใจโล่งอกออกมาด้วยเหตุผลที่พวกเขาเองก็ไม่ทราบ อาจารย์เฝิงมีสีหน้าเสียดาย แต่เขาก็ยังหันไปมองศิษย์ห้องอื่น
ในระยะเวลาที่เหลือช่วงเช้า ไม่มีใครสักคนจากห้องคนเถื่อนก้าวออกมา และห้องที่เหลือไม่โง่พอจะหาเรื่องห้องคนเถื่อนอีกครั้ง ในสายตาพวกเขา ห้องคนเถื่อนได้แปลงกายจากไม้อ่อนไปเป็นโลหะ!
เมื่อไม่มีตัวแปรไม่คาดฝันอย่างห้องคนเถื่อน การประลองรอบที่เหลือล้วนดุเดือดเป็นอย่างมาก อย่างน้อยที่สุด อาจารย์เฝิงก็ได้ประทับใจหลายคนและจดชื่อเอาไว้
แต่เมื่อเทียบกับสามคนจากห้องคนเถื่อน พวกเขาช่างอ่อนหัดนัก...
เสียงระฆังเอ่ยตักเตือนเวลาจบคาบ อาจารย์เฝิงสูดหายใจยาวเหยียด
“เอาล่ะศิษย์ทั้งหลาย คาบชุมนุมจบเพียงเท่านี้ ความสามารถของพวกเจ้าทำให้ข้าดีใจและข้าหวังว่าจะได้เห็นพวกเจ้าทุกคนในสาขาต่างๆ ในอีกสองเดือน”
ขณะที่เขากล่าว อาจารย์เฝิงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองห้องคนเถื่อน น่าเสียดายที่เขาไม่เห็นความคาดหวังที่เขาคิดไว้ มีเพียงรอยยิ้มใจเย็นของป๋ายเสี่ยวเฟยและคนอื่น
ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ได้สนใจผลประโยชน์จากคาบชุมนุมมากนักเพราะเป้าหมายของเขาคืองานประลองศิษย์ใหม่!
ทุกคนก้มศีรษะอย่างเคารพนพนอบให้อาจารย์เฝิงและส่งเขาจากไป จากนั้นเมื่อพวกเขากำลังจะกลับ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็พลันอุบัติขึ้น!
“สหายนักเรียนทั้งหลาย พวกเจ้าไม่อยู่ต่อทักทายกันหน่อยหรือ?”
เสียงของป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ดังไม่เบา นอกจากหลินหลีแล้ว อีกสิบสี่คนที่เหลือเดินไปขวางทุกทางไว้
สิบกว่าคนขวางทางร้อยกว่าคน ถึงแม้จะฟังดูน่าขัน แต่ห้องคนเถื่อนทำเช่นนี้จริงๆ !
“สหายนักเรียน หมายความว่าอะไร?”
หนึ่งในหัวหน้าห้องหันมามองป๋ายเสี่ยวเฟยด้วยสีหน้าดำทะมึน แต่ความหวาดกลัวอันลึกล้ำปรากฎขึ้นในใจเขา
หากไม่ใช่เพราะพวกเขามีจำนวนคนที่มากพอ เขาคงไม่มีแม้แต่ความกล้าจะเอ่ยวาจาต่อป๋ายเสี่ยวเฟย
“ไม่มีอะไร ข้าบอกไปแล้ว แค่พูดคุยเล็กน้อยเท่านั้น”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยักไหล่เผยสีหน้าราวกับว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ทำให้บรรยากาศภายในอาณาบริเวณแปลกประหลาด
“พูดตรงๆ หากมีสิ่งใดจะเอ่ย มิเช่นนั้นก็ให้พวกเราจากไป อย่าบอกนะว่าเจ้าต้องการจะท้าประลองทั้งเก้าห้องพร้อมกัน?”
หัวหน้าห้องคนหนึ่งที่มีรูปร่างบึกบึนเอ่ยออกมา เผยจุดยืนของเขาทันทีและดึงอีกเก้าห้องที่เหลือมาเอี่ยว ยิ่งกว่านั้นด้วยความจริงที่ชัดเจนเช่นนี้ หัวหน้าห้องที่เหลือเผยความเห็นพ้องด้วย
“หากไม่อาจพูดคุยกันได้ ข้าไม่ว่าอะไรถ้าจะต้องทดสอบความสามารถของห้องเรา แต่ข้าเดาว่าพวกเจ้าคงไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น”
สีหน้าของป๋ายเสี่ยวเฟยไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิด และ ‘กลุ่ม’ ตรงหน้าไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัวหรือเป็นกังวล
ในชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนเงียบลงเพราะพวกมันสัมผัสได้จากสีหน้าป๋ายเสี่ยวเฟยว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ป๋ายเสี่ยวเฟยต้องเคลื่อนไหวเป็นแน่หากมีใครเปิดปากในตอนนี้!
“พวกเราไม่อยู่ตลอดทั้งเดือน ทุกคนจึงอาจจะไม่เข้าใจพวกเราดีนัก แต่โชคดีที่พวกเรายังมีเวลาอีกสองเดือน ข้าหวังว่าพวกเราจะสามารถ ‘พูดคุย’ กันได้ในช่วงเวลาที่เหลือ”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยเน้นย้ำ ‘พูดคุย’ ก่อนจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“จะพูดคุยอย่างไร?”
หนึ่งในพวกมันถาม เปิดโอกาสให้ป๋ายเสี่ยวเฟยได้เอ่ยอธิบาย
“ง่ายมาก ข้าหวังหว่าหัวหน้าห้องของแต่ละห้องจะสามารถมาหาข้าเพื่อบอกสถานการณ์ในห้องพวกเจ้าตอนเที่ยงทุกวัน และเจ้าสามารถบอกข้าได้หากต้องการความช่วยเหลือ แน่นอนว่าพวกเจ้าต้องมาทันทีเมื่อข้าอยากให้พวกเจ้าช่วย”
เมื่อเขากล่าวจบ ทุกคนส่งเสียงเอิกเกริกขึ้นมาทันที!
ความตั้งใจของป๋ายเสี่ยวเฟยไม่อาจชัดเจนได้กว่านี้อีก เขาอยากเป็นหัวหน้าของทั้งสิบห้อง!
“ไอ้หนู เจ้าอย่า...”
เสียงโต้แย้งดังขึ้นมาแทบจะทันที น่าเสียดายที่เขายังเอ่ยไม่ทันจบก็...
หลินหลีขยับตัวอย่างว่องไวไม่ให้เวลาสักเสี้ยววิแก่มันในการตอบสนอง นางจับคอยกขึ้นด้วยมือข้างเดียว
สีหน้าของมันยิ่งไม่สู้ดีมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ขาทั้งสองที่ลอยอยู่กลางอากาศสั่นเทิ้มด้วยแรงทั้งหมด แต่เรี่ยวแรงของเขาอ่อนแอลงทุกที...
“โยนมันไป อย่าให้มือเจ้าสกปรก”
เสียงเบาๆ ของป๋ายเสี่ยวเฟยดังขึ้นก่อนที่หลินหลีจะโยนคนผู้นั้นสุดแรงกระเด็นไปไกล หลังจากนั้นนางเดินกลับไปข้างกายป๋ายเสี่ยวเฟยด้วยฝีเท้าไม่กี่เก้า
ป๋ายเสี่ยวเฟยกวาดตามองทุกคนด้วยสายตา
แต่ครั้งนี้ไม่มีใครกล้าพูดแม้แต่คำเดียว!