บทที่ 344 - เดม่อนลอร์ด (7) [22-03-2021]
บทที่ 344 - เดม่อนลอร์ด (7)
”
ภายในดันเจี้ยนได้เต็มไปด้วยเลือด ต้องมีผู้ใช้พลังตายไปมากแค่ไหนกันถึงทำให้มีกลิ่นคาวเลือดมากขนาดนี้?
"อ่า"
"พลังดันเจี้ยน..."
สุมิเระกับเยอึนดูจะผงะถอยไป ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นเหตุการณ์ดันเจี้ยน แต่ว่ามันก็ยังปฏิเสธพลังดันเจี้ยนอย่างสมบูรณ์เหมือนกับที่ฉันคิดเอาไว้เลย ที่แห่งนี้คือสถานที่ที่ปฏิเสธในพลังของชาราน่า การต้องเสียพลังที่พวกเธอมีมายาวนานหากพวกเธอไม่ตกใจก็คงแปลกแล้ว
"อ๊าา ฉันก็คิดไว้แล้วนะว่าต้องเสียพลังดันเจี้ยนไป แต่ว่าฉันไม่คิดว่าฉันจะรู้สึกอ่อนแอแบบนี้"
"ฉันเคยเจอมาก่อนแล้วนะแต่ก็ไม่ชินเลยสักที"
ฉันได้เหลือบตามองที่พรรคพวกของฉัน
"เตรียมพลังของเทพเจ้าเอาไว้"
"พ่อไม่มีสักคนเลยนะลูกพ่อ"
"ต่อให้ไม่มีพ่อก็แข็งแกร่งอยู่แล้ว"
พ่อได้ประสบความสำเร็จในพลังที่อยู่ด้านหน้าของดันเจี้ยน และในด้านการควบคุมมานาพ่อไม่แพ้ใครอยู่แล้ว บางทีอาจจะเพราะแบบนี้ด้วยทำให้พ่อได้รับผลกระทบน้อยกว่าเยอึนกับสุมิเระ
เพราะรู้แบบนี้ฉันจึงตอบพ่อกลับไปสั้นๆพร้อมดึงพลังของนามแห่งเทพเจ้าที่แท้จริงออกมา ได้มีบางอย่างล่องหนลงมาอยู่บนหอกของฉันและมีปีกคู่หนึ่งกลางขึ้นบนหลังฉัน
[โฮ่]
เสียงชายคนหนึ่งได้ดังออกมา
[นี่คือพลังของนายสินะ ฮีโร่ของโลก น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ]
นี่เป็นเสียงของเดม่อนลอร์ด น่าแปลกที่ฉันไม่อาจจับสัมผัสตัวตนเขาได้เลยแม้แต่นิด
ฉันได้มองไปรอบๆอย่างช้าๆ สิ่งแรกที่ดึงความสนใจฉันก็คือดวงจันทร์สีน้ำเงินที่ฉายแสงลงมาที่เราจากด้านลง ต่อมาก็คือแม่น้ำเลือดที่เปล่งประกายภายใต้แสงจันทร์
[จากตอนนั้นยังผ่านไปไม่นานเลย แต่ว่านายเปลื่ยนไปอย่างมาก]
ในพริบตาเดียวจำนวนของตัวตนได้เพิ่มขึ้นมา ฉันน่าจะฆ่าปีศาจตนอื่นๆนอกจากเดม่อนลอร์ดไปแล้วนี่ หรือว่าเขามีเก็บเอาไว้ในดันเจี้ยนด้วย? ยังไงก็ตามในไม่ช้าฉันก็ได้คำตอบเพราะว่าได้มีสิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์ที่ทำมาจากเลือดโผล่ขึ้นมา
"เดม่อนลอร์ด มีเรื่องที่ฉันอยากจะถามนายมาตลอดอยู่"
[ถามมาเลยสิ ฉันก็มีคำถามกับนายเหมือนกัน]
ฉันได้กระพริบตาลง สิ่งมีชีวิตเลือดที่ลุกขึ้นมาจากแม่น้ำเลือดรวมไปถึงตัวแม่น้ำเลือดเองก็ได้เปลื่ยนไปเป็นหินในทันที
"ใครเป็นคนบอกนายเรื่องของโลก?"
จากนั้นแม่น้ำที่แข็งเป็นหลินก็ได้เริ่มไหลอีกครั้ง แต่ยังไงก็ตามคราวนี้มันไม่ใช่เลือด แต่เป็นโลหะเหลวต่างหาก ฉันได้ยกมือขึ้นและรวมมันทั้งหมดให้กลายเป็นลูกบอลยักษ์ลูกหนึ่ง
"ใครเป็นคนบอกนายว่าฉันอยู่ที่ไหน?"
[นี่นายหมายความว่ายังไงกัน? ฉันกแค่เปิดเส้นทางสู่โลกอื่น แล้วบังเอิญว่าโลกเป็นปลายทางเท่านั้นเอง]
"นี่ไม่ตลกเลยนะ"
[หืม ไม่ถูกหรอ?]
ในที่สุดแล้วเดม่อนก็เผยตัวออกมาพร้อมกับลูกบอลานาสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน
[ถูกแล้วล่ะ ฉันได้รับความช่วยเหลือจากคนที่นายรู้จัก มันไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่ายินดีเลย]
เขางดงามมากๆ แน่นอนว่าฉันก็ไม่ได้คิดว่าเขาน่าเกลียดอยู่แล้ว แต่ว่าเขางดงามจนมากเกินไป
ถ้าฉันไม่อยู่ที่นี่พรรคพวกของฉันต้องตกอยู่ใต้เสน่ห์ของเขาแน่นอน
[แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้วฉันก็ได้มาเจอกับนาย!]
เขาได้กางแขนของเขาออกมา ลูกบอลมานาสีดำได้พุ่งมาหาเราในทันที ลูกบอลมานาแต่ล่ะลูกนี้ต่างก็มีพลังเพียงพอจะทำลายเมืองใหญ่ๆได้เลย เดม่อนลอร์ดคือผู้ที่มีมานาจำนวนมหาศาลอย่างผิดปกติ เหมือนๆกันกับฉัน
"ดอร์ตู!"
[ข้าดอร์ตู กำลังป้องกันการโจมตีทั้งหมด]
แม่น้ำโลหะได้กระจายออกไปบนท้องฟ้าและรับกระสุนมานาทั้งหมดเอาไว้ น้ำเสียงจากเดม่อนลอร์ดได้เพิ่มระดับความดังขึ้น
[ใช่แล้ว พลังนี่แหละ! พลังนี่ดูน่าสนใจเหมือนกัน!]
เศษหินได้เริ่มลอยขึ้นจากบนพื้น มานาสีดำของเดม่อนลอร์ดได้คลุมหินที่เรืองแสงเอาไว้ภายใต้แสงจันทร์ที่เสริมพลังพวกมัน พ่อได้พุ่งเข้าใส่เดม่อนลอร์ดในทันที
"นายจะพูดมากไปแล้ว!"
[ฉันไม่ได้สนใจในตัวนาย]
หลังจากพูดจบเดม่อนลอร์ดได้ปล่อยพลังเวทย์ของเขาออกไปใส่พ่อ ฉันได้ทำลายพวกมันไปในทันที และพ่อก็แทงหอกเข้าใส่เดม่อนลอร์ดได้สำเร็จ
ดูเหมือนการโจมตีของพ่อจะรุนแรงพอจะคุกคามเดม่อนลอร์ดได้ทำให้เดม่อนลอร์ดได้ยื่มมือออกมาเพื่อป้องกันการโจมตี
ในเวลาเดียวกันฉันก็ได้ใช้มานาที่ขโมยมาจากเดม่อนลอร์ดเสริมพลังให้กับแม่น้ำโลหะและยิงออกไปใส่เดม่อนลอร์ด
[ฟู่]
เดม่อนลอร์ดได้สูดหายใจออกมา หลังจากนั้นก้อนหินที่ลอยอยู่ก็พุ่งออกมาทุกทิศทางในทันที แม่น้ำโลหะไม่อาจจะป้องกันหินพวกนี้ได้ โชคดีที่ว่าสุมิเระได้ก้าวออกมาใช้พลังอะธีน่า เอจิส ป้องกันเราเอาไว้
"น่ารำคาญ!"
[ตอนนี้ถึงตาฉันถามบ้างแล้ว]
เดม่อนลอร์ดได้สร้างดาบที่ทำจากพลังงานปีศาจสีดำขึ้นและรับหอกของพ่อเอาไว้
[ใครเป็นคนบอกเรื่องนั้นกับนาย?]
"นายก็น่าจะรู้อยู่แล้วนะ"
ฉันได้เงยหน้าขึ้นมา มีบางอย่างเข้ามาในความคิดฉันอยู่ครู่หนึ่ง และแสงที่เปล่งมาจากดวงจันทร์สีน้ำเงินก็ได้เริ่มเปลื่ยนไปเป็นสีเลือด
[เรสปิน่า! นังผู้หญิงนั่นทรยศฉัน]
"ก็ฉันมีเสน่ห์มากกว่าเจ้านายคนเก่าของเธอไงล่ะ"
หลังจากตอบกลับไปเล่นๆ ฉันก็ได้สำรวจพลังเวทย์จากแสงจันทร์ พ่อยังคงโจมตีเดม่อนลอร์ดต่อไป และไม่นานสุมิเระก็ได้เข้าไปร่วมด้วยพร้อมกับหอกอะธีน่าของเธอ เดม่อนลอร์ดที่รู้ว่ามือเดียวไม่อาจจะป้องกันทั้งสองคนได้ เขาก็เรียกเอามีดสั้นแปลกๆออกมาในอีกมือหนึ่งเพื่อรับการโจมตีจากสุมิเระ
"ระวังด้วย มีดสั้นนั่นจะดูดวิญญาณของเรา!"
[เยี่ยม นายรู้ข้อมูลเป็นอย่างดีเลย!]
สุมิเระได้ใช้เอจิสโจมตีเข้าใส่กรามเดม่อนลอร์ด กรามของเดม่อนลอร์ดได้เริ่มกลายเป็นหินไปในทันที ขณะที่เดม่อนลอร์ดดูเหมือนจะมึนงงอยู่ จู่ๆเยอึนก็ปรากฏตัวขึ้นจากด้านหลังเขา เธอได้สะบัดมีดสั้นเข้าใส่คอเดม่อนลอร์ดในทันที แต่ในไม่อย่างเธอก็พูดขึ้นอย่างสงสัย
"ชิน ฉันคิดว่าเขาเป็นตัวปลอม!"
[เธอรู้ได้ยังไงกันนะ?]
เดม่อนลอร์ดได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งโดยไร้อาการบาดเจ็บ เขาได้ถืออาวุธที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้พร้อมทั้งมีรอยยิ้มหน้ารำคาญบนใบหน้า
"ชิน นี่ก็ตัวปลอมเหมือนกัน!"
"เข้าใจแล้ว"
เดม่อนลอร์ดได้กลุ่มคลื่นกระสุนมานาออกมาอีกครั้ง ในคราวนี้กระสุนมานาแกร่งมากยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ซะอีก ฉันจำเป็นต้องสั่งการดอร์ตูและใช้พลังของริยูป้องกันอย่างเร่งด่วน
[ฮีโร่ นายรู้คุณค่าของพลังของตัวนายเองไหม?]
เดม่อนลอร์ดอีกคนหนึ่งไดปรากฏตัวขึ้นมา จากนั้นก็อีกคน และอีกคน แต่ล่ะคนต่างก็มีมานาจำนวนมหาศาล และฉันก็ต้องจ้องไปที่พวกเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
[ฮีโร่ นายรู้ไหมว่าทำไมนายถึงได้เกิดขึ้นมาพร้อมกับพลังนั่น?]
"ฉันไม่รู้"
ฉันได้ตอบกลับไป จริงๆแล้วฉันก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาพูดเลย ฉันกำลังกังวลเรื่องการฆ่าเขามากกว่าอีก ฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเคียร่าถึงได้บอกให้ฉันเก็บพลังของพระศิวะเอาไว้
... เดียวนะ ฉันเพิ่งจะคิดเรื่องอะไรบางอย่างได้...?
[ฮีโร่ นายรู้ไหมว่าพลังนั่นมีไว้เพื่ออะไร?]
"ฉันรู้ว่ามันไม่ได้มีไว้เพื่อนายแน่ๆ"
"ชิน ให้ฉันจัดการบนพื้นดินเอง ชินไปทำอะไรที่ต้องทำเลย"
ในที่สุดเยอึนก็ใช้พลังของเทพเจ้าของเธอ ร่างกายของเธอได้ถูกออร่าสีทองปกคลุม และแขนที่มีอาวุธทรงพลังก็ได้งอกออกมา
[หืมมม!?]
"ฉันจะจัดการเจ้าพวกนี้เอง"
เธอได้ใช้พลังของทั้งพระแม่กาลีกับพลังของพระแม่ทุรคาอย่างน่าทึ่ง แต่ว่าเธอไม่ใช้ทั้งสองพลังรวมกัน แต่เธอได้โอนพลังศักดิ์สิทธิ์ของพระแม่กาลีเข้าไปในอาวุธของพระแม่ทุรคาเพื่อเสริมพลังให้กับอาวุธ เพราะความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกันของเทพเจ้าทั้งสองถึงได้ทำให้เรื่องนี้เป็นไปได้ แต่ว่าเยอึนก็ยังน่าทึ่งอยู่ดีที่ทำมันได้
แต่ไม่ว่ายังไง สิ่งสำคัญก็คือเยอึนจะสามารถจัดการกับร่างโคลนเดม่อนลอร์ดที่โผล่ออกมาจากพื้นดินได้ ร่างโคลนได้เพิ่มขึ้นมานับสิบและแต่ล่ะร่างต่างก็สร้างกระสุนพลังมานาจำนวนนับไม่ถ้วนจนเต็มท้องฟ้า ยังไงก็ตามเยอึนได้พุ่งเข้าใส่โดยไร้ซึ่งความลังเลใดๆ
มือจำนวนนับไม่ถ้วนได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเพื่อจัดการกับกระสุนมานาพวนี้
"ในท้ายที่สุด พวกนายก็เป็นแค่ร่างโคลน!"
เยอึนได้เริ่มเคลื่อนไหวออกมา มานาได้ระเบิดขึ้นตามจุดต่างๆที่ร่างโคลนยืนอยู่ สุมิเระได้ยืนปกป้องฉันเอาไว้ด้วยโล่ของเธอ และพ่อก็จัดการโจมตีร่างโคลนที่กำลังบินไปหาสุมิเระ
[ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!]
เดม่อนลอร์ดได้หัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ ฉันไม่อาจจะบอกได้ว่าร่างโคลนคนไหนที่กำลังหัวเราะอยู่ แต่ในเวลาเดียวกันร่างโคลนจำนวนมากก็ถูกการโจมตีของเยอึนลบหายไป
[มนุษย์นี่น่าสนใจจริงๆ พวกนายต่างไปจากมนุษย์ที่ฉันได้เจอในทวีปลูก้า! เหล่าคนที่อ้างตัวว่าเป็นเทพเจ้า การรับเอาพลังจากซากศพในอดีตพวกนี้ ใครจะไปคิดถึงกันล่ะ?]
"ไม่สำคัญหรอกว่าเทพเจ้าจะเกิดขึ้นมาหรือถูกสร้างขึ้น สิ่งสำคัญก็คือพวกเขาแข็งแกร่ง พวกเขามีผู้คนบูชานับพันล้านคน และตำนานของพวกเขาก็มีมาจนถึงทุกวันนี้"
ฉันได้เริ่มเปิดใช้พลังของพระศิวะ หนึ่งในเทพเจ้าที่ทรงพลัง ดวงตาสีแดงได้ปรากฏขึ้นมาตรงกลางหน้าผากของฉัน
[โง่เขลา! โง่เขลาจริงๆ! กล้ามาใช้พลังจอมปลอมนี่สู้กับฉันงั้นหรอ? ฮีโร่ หากนายคิดจะทำแบบนั้นนั่นมันคือหายนะสำหรับนาย! เทพเจ้าน่ะคือคนแบบฉันต่างหาก!]
ดวงจันทร์ได้ส่องแสงออกมา แสงที่เปล่งประกายจากดวงจันทร์สีแดงเข้มได้สาดส่องลงมาที่ร่างโคลนเดม่อนลอร์ดและพวกเรา แสงเหล่านี้ดูเหมือนอยากจะบังคับฉีกกระชากร่างของฉันออกมา
[ฉันได้กลืนกินวิญญาณนับพันล้านลงไปและเปลื่ยนให้กลายมาเป็นมานาของฉัน! หากว่านี่ไม่ใช่พลังของเทพเจ้าแล้วจะเป็นอะไรได้อีก!?]
เดม่อนลอร์ดได้ตะโกนออกมา การกลืนกินวิญญาณมนุษย์ 2.3 พันล้านคนได้ทำให้ดวงจันทร์สีแดงสาดแสงออกมาอย่างเจิดจ้า แค่แสงที่ส่องลงมาก็เป็นการโจมตีที่ทรงพลังแล้ว
กระจกยักษ์ของดอร์ตูที่ฉันสร้างขึ้นในทวีปลูก้าเทียบกันไม่ติดเลย พลังแห่งวิญญาณที่ไม่อาจจะลอกเลียนแบบได้ พลังวิญญาณนับพันล้านได้ทำดวงจันทร์คือเครื่องมือสุดแสนจะชั่วร้าย
[นายคิดว่าจะใช้ดวงตานั่นทำลายดวงจันทร์ได้งั้นหรอ? ฮ่าฮ่าฮ่า!]
เดม่อนลอร์ดได้หัวเราะออกมา ยังไงก็ตามฉันได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
"นายมันไม่ใช่เทพเจ้า นายไม่ได้เป็นคนสร้างดวงจันทร์ขึ้นมา นายก็แค่นำมันมาเท่านั้นแหละ"
ฉันยอมรับว่าเขาทรงพลังมากๆ เขาได้ใช้พลังเวทย์ของเขาเอาดวงจันทร์มาจากทวีปลูก้า ไม่เพียงเท่านั้นเขายังเอามันมาไว้ภายในดันเจี้ยนนี้ที่เขาสร้างขึ้นมา ภายในดันเจี้ยนนี้ไม่ได้ดูใหญ่เลย แต่ว่าดวงจันทร์ได้ปฏิเสธซึ่งทฤษฏีใดๆ ดวงจันทร์คือสิ่งที่อยู่ไกลเกินกว่าที่พลังของเราจะส่งไปถึง แต่ว่าดวงจันทร์สามารถจะส่งพลังมาถึงพวกเราได้อย่างง่ายดาย
เพราะแบบนั้นฉันถึงจำเป็นต้องมีพลังของพระศิวะ ฉันรู้สึกถึงมันได้ในทันทีที่ฉันใช้งาน คุณสมบัติที่มันอธิบายว่าเป็นพลังที่จะทำลายทุกอย่าง ดวงตานี้จะทำลายพื้นที่ทั้งหมดรวมไปถึงดวงจันทร์ ปัญหาเดียวก็คือฉันไม่อาจจะแยกพรรคพวกออกจากเป้าหมายได้
เมื่อรู้ได้แบบนี้ดวงตาที่สามได้ปิดลงอย่างช้าๆ ฉันได้พึมพัมออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
"นี่มันไม่ใช่ว่าเป็นพลังที่ไร้ประโยชน์หรอกหรอ?"
[รู้ถึงความล้มเหลวของตัวเองแล้วสินะ? ยอมแพ้แล้วงั้นหรอ? เพื่อนๆของนายยังมีพลังอยู่เลยนะ! ฉันสงสัยจะเลยว่าพวกเขาจะทนไปได้นานแค่ไหน]
แสงจันทร์ได้ดูดพลังมาจากสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก มันคล้ายๆกันกับพลังดันเจี้ยนที่เชอร์ราฟิน่ามี ถึงโดยพื้นฐานของพลังแล้วจะต่างกัน แต่ว่าโครงสร้างของมันคล้ายกันมากๆ
ไม่สิ ไม่ใช่แค่นั้น
[เธอได้สอนหลายๆอย่างให้กับฉัน โดยไม่ได้รู้เลยว่ามันจะแว้งกลับมากัดเธอ!]
"ไม่ ฉันไม่คิดแบบนั้นนะ"
ฉันได้ส่ายหัวและยื่นมือออกมา พร้อมๆกับการเคลื่อนไหวมือของฉัน โลหะเหลวของดอร์ตูก็ได้ก่อตัวขึ้นเป็นหอกยาวแหลมอย่างช้าๆ จากนั้นแสงสีทองจากมือของฉันก็ได้ปกคลุมหอกเอาไว้
"นายได้ใช้มันแล้ว นี่คือเป้าหมายของเธอตั้งแต่แรกแล้ว"
[ทำไมนายถึงคิดแบบนั้นกันล่ะ?]
พลังของเทพเจ้าได้ถูกเชอร์ราฟิน่าหล่อหลอมให้อยู่ในรูปแบบเหมาะสมก่อนที่จะถูกส่งมอบให้กับนักสำรวจ เพราะแบบนั้นจึงทำให้นักสำรวจสามารถที่จะใช้พลังพวกนี้ในฐานะของสกิลได้โดยไม่จำเป็นต้องมีความเหมาะสมใดๆ
แต่ว่านั่นไม่ใช่พลังที่แท้จริงของเทพเจ้า พลังของเทพเจ้าที่แท้จริงมีเพียงแค่แนวคิดที่เป็นเอกลักษณ์ของเทพเจ้าเท่านั้น เชอร์ราฟิน่าคือคนที่เปลื่ยนพลังทำลายของพระศิวะให้เป็นรูปแบบดวงตา เธอได้จัดการควบคุมพลังอันยิ่งใหญ่ของพระศิวะและพลังทำลายให้เป็นไปตามต้องการของเธอ
เทพเจ้าจะได้รับฉายาว่าเทพแห่งการทำลายล้างได้ยังไงกันหากว่าไม่สามารถจะแยกแยะสิ่งที่ต้องการทำลายได้?
พลังในรูปแบบดวงตาพระศิวะได้ถูกสกัดออกมาเป็นรูปแบบดั้งเดิมและถูกบีบอัดลงไปในหอกทองคำยักษ์ พลังของซุสก็เป็นเช่นเดียวกัน
"มอบพลังของพวกคุณให้ฉันยืมเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนี้ฉันจะไม่ใช้มันอีก"
ฉันได้กระซิบออกมา หอกที่มีพลังของซุสและพระศิวะได้เปล่งแสงจ้าออกมาและเปลื่ยนรูปร่างไปราวกับว่าคำพูดของฉันเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ในตอนนี้ดวงจันทร์สีแดงได้หยุดการทำงานลง ในที่สุดเยอึนก็ได้พักหายใจ ในขณะที่พ่อได้กัดฟันแทงหอกลงไปบนพื้น
"คุณชิน พลังเทพเจ้ากำลังหายไปแล้ว...!"
สุมิเระที่ปกป้องฉันมาตลอดเวลาจากการกโจมตีของเดม่อนลอร์ดได้หันหน้ามาพูดกับฉันอย่างตกตะลึง ฉันได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
"ฉันยังมีพลังของเฮอร์มีสอยู่ ฉันต้องยืมพลังจากเขาเพื่อทำบางอย่าง"
[นายจะหยุดมันได้งั้นหรอ? นายอาจจะเข้าใจแล้ว แต่ว่านายก็น่าจะรู้นะว่าแค่เข้าใจมันก็แค่คำพูดที่ไร้ประโยชน์!]
ดวงจันทร์ก็แค่เสียพลังของมันไปแค่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่นานนักมันก็ยิงลำแสงออกมาราวกับจะไม่ยอมแพ้ ลำแสงแห่งความแค้นที่สร้างขึ้นจากวิญญาณนับพันล้านและมานา มันได้ถูกเพิ่มพลังและแรงกดดันขึ้นราวกัยจะกลืนกินสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
"ย่าาห์!"
ฉันได้ขว้างหอกออกไป ถึงแม้ว่าเสียงตะโกนของฉันมันจะดูน่าตลก แต่ว่าผลลัพธ์ของหอกมันชัดเจนมาก
ดวงจันทร์ได้หยุดส่องแสงของมันออกมา
[หืมม!?]
เป็นครั้งแรกเลยที่เดม่อนลอร์ดได้ส่งเสียงตกใจออกมา ในทันทีที่ดวงจันทร์บนท้องฟ้าได้แตกกระจายเป็นชิ้นๆ ยักษ์ก็ได้ปรากฏตัวออกมา นี่คือร่างจริงของเดม่อนลอร์ด
ดวงจันทร์คือวิธีการโจมตีของเขา และในเวลาเดียวกันก็เป็นวงเวทย์ที่ใช้ซ่อนตัวตนของเขา
เมื่อมองไปที่ดวงจันทร์เราก็ต้องเบิกตากว้างออกมา มันไม่ใช่เพราะเขามีร่างขนาดใหญ่เกินกว่าสิ่งมีชีวิตใดๆที่ฉันเคยเห็นมา แต่เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง
"เขาเป็นอะไรกัน?"
"...อย่างงี้นี่เอง"
พ่อได้หยักหน้าออกมา สุมิเระกับเยอึนก็เหมือนกัน ถึงทุกๆคนจะสับสนอยู่ แต่ในความสับสนก็มีความเข้าใจบางอย่างอยู่
"นี่นายยังไม่รู้ตัวหรอ?"
แม้กระทั่งเรสปิน่าก็อาจจะมีความรู้ความเข้าใจมากกว่าเดม่อนลอร์ด เธอสามารถจะลบล้างพลังของเชอร์ราฟิน่าได้อย่างสมบูรณ์ ในการต่อสู้ของเรากับเธอ นี่คือพลังพิเศษของเธอที่ทำให้เราต้องลำบากอย่างมาก ยังไงก็ตามวิธีของเดม่อนลอร์ดต่างออกไป
เขาได้สร้างดันเจี้ยนนี้ขึ้นมาด้วยพลังของเขาเองและเขาได้ทำให้เราใช้พลังของดันเจี้ยนที่นี่ไม่ได้ แม้ว่าเขาจะดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากพลังของดันเจี้ยน แต่จริงๆแล้วไม่ใช่แบบนั้น
"นายกำลังถูกพลังดันเจี้ยนเสริมพลังให้อยู่"
[...อะไรนะ!?]
ในตอนนี้เดม่อนลอร์ดมีพลังดันเจี้ยนมากยิ่งกว่านักสำรวจคนใด หรือก็คือพรรคพวกของฉันและฉันไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยงของพลังดันเจี้ยน มันเหมือนกับว่าได้มีใครบางคนวางแผนเอาไว้ให้เป็นแบบนี้
ใช่แล้ว นักสำรวจที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็จะพูดแบบนี้
ปีศาจนักสำรวจคนหนึ่งกำลังต่อสู้กับบอสมนุษย์หลายคน