บทที่ 192 แมลงพิษเขียว
การคาดเดาของเจียงอี้นั้นถูกต้องแม่นยำ ห้าร้อยกิโลเมตรทางตะวันออกเป็นหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งถูกครอบครองโดยกลุ่มคนที่มีจำนวนนับร้อย
จอมยุทธที่ผ่านไปผ่านมาต่างก็ต้องตกใจกลัวและหลีกเลี่ยงบริเวณนี้แทบจะทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสัมผัสได้ถึงสัญญาณของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวนับสิบที่อยู่ภายในนั้น
คนกลุ่มนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด นับตั้งแต่ที่เข้ามาในที่ราบหินผลึก พวกเขาก็ไม่ได้ออกล่าเหรียญตราและข้องแวะกับกลุ่มอื่นแต่อย่างใด แต่พวกเขากลับทำเพียงแค่ปกป้องสถานที่แห่งนั้นไปเรื่อยๆ
ฟึ่บ!
จอมยุทธผู้หนึ่งลงมาจากยอดเขาและวิ่งตรงไปยังตำแหน่งของชายหนุ่มสองคนที่สวมเสื้อผ้าในชุดหรูหราก่อนที่จะคุกเข่าลง
“องค์ชายสาม ประมุขน้อย เจียงอี้อยู่ห่างออกไปห้าร้อยกิโลเมตรทางทิศตะวันตกขอรับ แร้งวิญญาณที่ถูกส่งออกไปเห็นมันอยู่บนหลังของหมาป่ายักษ์สีน้ำเงินซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นสัตว์อสูรระดับสามขอรับ!”
“หมาป่ายักษ์สีน้ำเงิน? ระดับสาม?”
ดวงตาของจ่างซุนอู๋จี้และเซี่ยเถียนเป็นประกาย มุมปากของจ่างซุนอู๋จี้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันชั่วร้ายและกล่าว
“ในบรรดาสัตว์อสูรระดับสามทั้งหมด หมาป่าจันทราสีเงินครอบครองความเร็วสูงสุด นอกเหนือจากคนของสำนักจิตอสูร ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาทั่วไปจะครอบครองเครื่องรางสัตว์วิญญาณ และข้ายังได้ยินมาว่าเจียงอี้มีสัตว์วิญญาณประเภทหมาป่าอยู่ตัวหนึ่ง… อะไรมันจะเหมาะเจาะเช่นนี้?!”
“เร็วเข้า! ไม่ต้องสนใจว่าหมาป่าตัวนั้นจะสีอะไร แม้ว่าไอสารเลวนั่นจะถอนขนปีศาจหมาป่าจนหมด แต่มันก็ไม่มีทางที่จะรอดพ้นสายตาของแร้งวิญญาณไปได้! ไปล่าตัวมันมา!”
เซี่ยเถียนถูมือด้วยความตื่นเต้น เขาเองก็ไม่น้อยหน้าและรีบสั่งการคนของตนเอง “ใครก็ได้! ส่งนกพิราบสื่อสารไปหาแม่นางสุ่ยที บอกนางว่าพวกเราเจอเจียงอี้แล้ว ขอให้นางรวบรวมคนและเข้าล้อมไอ้เด็กเหลือขอนั่นซะ!”
“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน—!”
จ่างซุนอู๋จี้รีบโบกมือห้ามปราม “ก่อนที่เราจะยืนยันได้ ข้าว่าเรายังไม่ควรดึงแม่นางสุ่ยเข้ามาเกี่ยวข้อง หากว่าผิดตัวล่ะก็ ด้วยอารมณ์ของนาง นางคงจะอาละวาดเป็นแน่!”
“ข้าว่าเราควรที่จะตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อนพะยะค่ะ นอกจากนี้ ทางเราเองก็มีกำลังคนเหลือเฟือ ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานชีวิตของเจียงอี้จะต้องตกอยู่ในมือของพวกเรา หึหึ หากว่าสามารถนำศีรษะของมันไปเป็นของกำนัลให้กับแม่นางสุ่ยเชียนโหรวได้ นางคงจะยินดีปรีดาอยู่ไม่น้อย”
“แล้วยังมัวรออะไรอยู่อีกเล่า?!”
เซี่ยเถียนแทบจะระงับความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ ในเวลาเดียวกันเครื่องรางสัตว์วิญญาณของเขาก็ส่องสว่างพร้อมกับร่างของเสือดำยักษ์ที่ปรากฏออกมา
“ไปกันเลย!”
“มังกรน้ำแข็ง!”
จ่างซุนอู๋จี้เองก็เรียกสัตว์วิญญาณของตัวเองออกมาและกระโดดขึ้นไปบนหลังของมัน
“ให้แร้งวิญญาณคอยติดตามเจียงอี้ต่อไป… ส่วนพวกเจ้าทุกคน รีบเคลื่อนพลด้วยความเร็วสูงสุด ผู้ใดที่สามารถสังหารเจียงอี้ได้จะได้หนึ่งล้านตำลึงทองเป็นรางวัล!”
ไม่ว่าจะสมาชิกตระกูลจ่างซุนหรือคนของเซี่ยเถียน ในเวลานี้เลือดลมของพวกเขาสูบฉีด พวกเขาทั้งหนึ่งร้อยกว่าคนระเบิดพลังอันบ้าคลั่งออกมาซึ่งทำให้จอมยุทธที่อยู่ในบริเวณนั้นแตกตื่นและหวาดกลัว
เป้าหมายของสองทายาทตระกูลใหญ่ไม่ใช่ชัยชนะในสงครามราชอาณาจักร แต่มาเพื่อสังหารเจียงอี้โดยเฉพาะ!
จ่างซุนอู๋จี้ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลจ่างซุน เขาจำเป็นต้องกำจัดเจียงอี้เสียตั้งแต่ตอนนี้เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามในอนาคต
ตราบใดที่ชายคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ สถานะของเจียงนี่หลิวก็จะถูกสั่นคลอนได้ตลอดเวลา มารดาของเขามาจากตระกูลจ่างซุน ดังนั้นพวกเขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะสนับสนุนเขาให้ขึ้นสู่ตำแหน่งจอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตกให้ได้เร็วที่สุด
……
“บัดซบ!”
เจียงอี้วิ่งมานานกว่าหนึ่งชั่วโมงด้วยสภาพราวกับคนบ้า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงสังเกตเห็นว่ายังถูกแร้งวิญญาณตามอยู่ ตอนนี้เขามั่นใจว่าแล้วนกยักษ์ตัวนี้ถูกส่งมาโดยตระกูลจ่างซุนอย่างแน่นอน
ระหว่างทาง เจียงอี้พบเจอกับจอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่หลายต่อหลายคนซึ่งเขาสามารถสังหารพวกมันได้ในพริบตา แต่เป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าศัตรูอยู่ห่างออกไปไกลแค่ไหน ทำให้เขาไม่สามารถที่จะเสียเวลาได้
ด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อของหมาป่าจันทราสีเงิน ทำให้จอมยุทธมากมายที่หมายหัวเจียงอี้ ทำได้เพียงก่นด่าสาปแช่งเพราะไม่อาจตามความเร็วของพวกเขาได้ทัน
“หยุดก่อน!”
แม้ว่าเจียงอี้จะหลบหนีมาหลายร้อยกิโลเมตรแต่ก็ยังไม่อาจสลัดแร้งวิญญาณให้หลุดได้ ดังนั้นเขาจึงเก็บหมาป่าจันทราสีเงินกลับเข้าไปในเครื่องรางสัตว์วิญญาณเพราะตระหนักได้ว่ามันสะดุดตาเกินไป หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานเขาก็คงถูกล้อมโดยเหล่าศัตรูเป็นแน่
หลังจากที่วิ่งต่อมาได้อีกชั่วขณะหนึ่ง ภูมิประเทศก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง มันกลายเป็นที่ทุรกันดารซึ่งแทบจะไม่มีต้นไม้ให้เห็น หากเขาเผยตัวออกไป นกยักษ์ตัวนั้นจะต้องเพ่งเล็งเขาอย่างแน่นอน
“ข้าควรจะทำยังไงดี?”
สมองของเจียงอี้กำลังประมวลผลอย่างรวดเร็ว ต่อให้ไม่เห็นตัวแต่เขาก็เดาได้ว่าฝ่ายศัตรูกำลังไล่ล่ามาอย่างกระชั้นชิด หากว่าเขาไม่เดินทางต่อ อีกไม่นานก็คงจะถูกล้อม
“ใช่แล้ว… ใต้ดิน!”
เจียงอี้ฉุกคิดขึ้นมาได้ เขากวาดมองบริเวณรอบข้าง เมื่อหาสถานที่อันเหมาะเจาะได้แล้ว เขาก็ใช้ดาบเกล็ดทมิฬตวัดไปบนพื้นและขุดเป็นอุโมงค์ลงไปใต้ดิน
ในขณะที่เจียงอี้อยู่ใต้ดิน ความเร็วของเขาก็ลดลงมากแต่โชคดีที่แร้งวิญญาณไม่สามารถติดตามเขาได้อีกต่อไป
ความคิดนี้ไม่เลวเลย!
เมื่อแร้งวิญญาณสูญเสียร่องรอยของเขา มันก็ได้ทำแค่บินวนอยู่แถวป่าในบริเวณใกล้เคียง เมื่อพวกจ่างซุนอู๋จี้มาถึง เจียงอี้ก็ขุดอุโมงค์หนีไปหลายกิโลเมตรแล้ว จากนั้นเขาก็โผล่ขึ้นมาบนดินจากอีกด้านของป่าและรีบใช้หมาป่าจันทราสีเงินหลบหนีไปในทันที
“อู๋จี้ พวกเราจะทำยังไงกันดี? เจียงอี้มีหมาป่าจันทราสีเงินอยู่กับตัว การจะล้อมสังหารมันคงยากเกินไป!”
ไม่นานนักกลุ่มคนของตระกูลจ่างซุนก็ค้นหาอุโมงค์ที่เจียงอี้ใช้หลบหนีจนเจอ พวกเขาปล่อยให้แร้งวิญญาณสำรวจในรัศมีห้าสิบกิโลเมตรแต่เมื่อไม่พบเป้าหมายก็จำใจต้องหยุดการค้นหา เซี่ยเถียนเดินมาหาจ่างซุนอู๋จี้และกล่าวด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“น่าเสียดายที่แร้งวิญญาณเป็นสัตว์อสูรหายาก ไม่อย่างนั้นถ้าเราปล่อยมันครั้งละหลายๆตัว ไอ้เศษสวะเจียงอี้คงไม่มีทางหนีไปได้!”
จ่างซุนอู๋จี้ถอนหายใจด้วยความเสียดาย จากนั้นเขาก็ลดเสียงต่ำลงและกล่าว “ไม่มีทางเลือกแล้ว พวกเราต้องขอให้สุ่ยเชียนโหรวไปไหว้วานหยุนเฮ่อให้ลงมือให้ ตามข้อมูลที่ข้าได้รับมา หยุนเฮ่อมีแมลงพิษเขียวซึ่งเป็นแมลงเผ่าพันธุ์โบราณที่อาศัยอยู่ในป่าเขา หากว่ามีพวกมันอยู่ การตามล่าเจียงอี้ก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป”
“หยุนเฮ่อ?”
เซี่ยเถียนขมวดคิ้วและกล่าวปฏิเสธแทบจะในทันที “ไม่มีทาง! แม้ว่าสุ่ยเชียนโหรวจะกล่าวว่านางจะติดสอยห้อยตามใครก็ตามที่สามารถช่วยให้นางสังหารเจียงอี้ได้เป็นเวลาทั้งเดือน แต่มันจะต้องไม่ใช่หยุนเฮ่อผู้นี้!”
“มันเป็นองค์ชายของอาณาจักรเทียนเซวี่ยนซึ่งมีสถานะเฉกเช่นเดียวกับข้า หากไปขอให้มันช่วยก็ไม่เท่ากับว่าต้องยกสุ่ยเชียนโหรวให้กับมันรึ?”
“แม้ว่านางจะหยิ่งยโสและจองหอง แต่ก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กสาวไร้เดียงสา หากให้ไปอยู่กับคนพรรค์นั้น เกรงว่าอีกไม่นานก็คงจะต้องเสียความบริสุทธิ์ไป! แล้วแบบนี้ความพยายามของข้าจะไปมีความหมายอะไร?”
“อืม… นั่นก็จริง!”
จ่างซุนอู๋จี้พยักหน้าเห็นด้วยและรู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันที จนในที่สุดเมื่อคิดบางอย่างออก เขาก็กัดฟันแน่นและกล่าวเสนอออกมา
“เช่นนั้นเราก็ไม่ควรขอให้สุ่ยเชียนโหรวไปคุยกับหยุนเฮ่อ เอาแบบนี้ล่ะกัน ข้าจะนำเอาสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ออกมาชิ้นหนึ่ง ท่านเองก็นำของท่านออกมาชิ้นหนึ่ง”
“จากนั้นก็ใช้เป็นข้อต่อรองกับหยุนเฮ่อเพื่อที่จะไหว้วานให้เขาลงมือ หากทำเช่นนี้ผลงานก็ยังคงอยู่ในมือท่าน! ภายในหนึ่งเดือน ข้าเชื่อว่าองค์ชายสามคงจะเผด็จศึกแม่ม้าพยศนางนั้นได้!”
“เอางั้นก็ได้!”
เซี่ยเถียนไม่มีทางเลือก แต่ก็ต้องยอมรับว่าข้อเสนอนี้ดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว
“ส่งข้อความไปหาหยุนเฮ่อ เมื่อใดก็ตามที่ข้าได้ครอบครองสุ่ยเชียนโหรว เขาจะได้รับสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์เป็นรางวัล!”
จ่างซุนอู๋จี้รีบสั่งการ “ให้แร้งวิญญาณออกตามหาหยุนเฮ่อและถ่ายทอดข้อความให้กับเขา ขอให้เขานำแมลงพิษเขียวออกมาเพื่อช่วยตามล่าเจียงอี้ หลังจากที่ภารกิจเสร็จสิ้น เขาจะได้รับสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์สองชิ้นและแม่นางจิ้งจอกชั้นยอดสิบคน!”
ในเวลาเพียงแค่สี่ชั่วโมง แร้งวิญญาณของจ่างซุนอู๋จี้ก็ตามหาองค์ชายหกแห่งอาณาจักรเทียนเซวี่ยน,หยุนเฮ่อ จนเจอ
ตำแหน่งในปัจจุบันของเขานั้นช่างสะดุดตายิ่งนัก เพราะเขากำลังนั่งอยู่บนไหลของลิงยักษ์ที่สูงสิบเมตรและถูกรายล้อมไปด้วยผู้คุ้มกันนับร้อยซึ่งรวมไปถึงกลุ่มของสาวงามประมาณห้าสิบคนที่กำลังสวมสุดเกราะสีเขียว เห็นได้ชัดว่าพวกนางมาจากหอดาราสุ่ยเยว่!
แร้งวิญญาณโฉบลงมาและปล่อยวัตถุบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับหลอดดิ่งลงไปเบื้องล่าง หยุนเฮ่อคว้ามันไว้และเปิดดู ด้านในคือม้วนกระดาษ เมื่อเขาคลี่มันดู สีหน้าของเขาก็เผยให้เห็นความเย้ยหยันและชั่วร้าย
เขาหัวเราะกับตัวเองก่อนที่จะหันไปพูดกับสุ่ยเชียนโหรวที่นั่งอยู่บนไหล่อีกข้างของลิงยักษ์
“แม่นางสุ่ย ดูนี่สิ จ่างซุนอู๋จี้และเซี่ยเถียนจะขอให้ข้าช่วยพวกเขาไล่ล่าเจียงอี้! หึหึ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะจนตรอกแล้วจริงๆ”
“แต่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงไป หากองค์ชายผู้นี้ลงมือ เจ้ามั่นใจได้เลยว่าเจ้าจะได้แก้แค้นมันอย่างสาสม ข้าสัญญาว่าจะเด็ดหัวของเจียงอี้มาให้เจ้าภายในเวลาห้าวัน!”