GOI ตอนที่ 72 ล้างแค้นต่อสิ่งเล็กๆ !
!
ก่อนที่หวังเย่และจางฮ่าวจะทันได้เหวี่ยงหุ่นเชิดในมือ ฉิงหนานที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งพลังเข้าสู่ขาวิ่งด้วยความเร็วที่มากกว่าไปยังพวกเขา!
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้หวังเย่และจางฮ่าวที่ต้องการจะจำกัดทางหนีของฉิงหนานเป็นอันต้องตกตะลึงสับสน นี่คือปฏิกิริยาปกติของคนเมื่อเผชิญหน้ากับความแตกต่างระหว่างสิ่งที่คิดและความเป็นจริง แถมความจริงนี้ยังเป็นไปในทิศทางตรงข้ามสุดขั้วเสียด้วย!
จึงทำให้ก่อนที่ทั้งสองจะปรับตัวได้ทัน หมัดขวาของฉิงหนานก็ได้ ‘แนบชิด’ กับใบหน้าซีกซ้ายของหวังเย่
ในวินาทีต่อมาพลันเกิดเสียงดังปัง หวังเย่ล้มลงไปนอนบนพื้น และจางฮ่าวที่วิ่งอยู่ข้างหลังหวังเย่เบิกตากว้างเท่าไข่ห่านมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะคิดเรื่องตอบโต้ฉิงหนาน สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้มีเพียงอธิษฐานไม่ให้ถูกอัดเป็นรายต่อไป!
“ไว้เจอกัน!”
ฉิงหนานใช้เวลาครึ่งวิพูดสองคำออกมา พร้อมกับที่เขาหมุนตัว หมัดฮุกต่อยอย่างแม่นยำไปที่ท้ายทอยของจางฮ่าว
ง่ายดายและรวดเร็ว
ฉิงหนานเอาชนะศัตรูสองคนด้วยสองหมัด เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่าฉิงหนานคือนักเชิดหุ่นสายจู่โจมระยะไกล เอ่อ...ไม่สิ ต้องพูดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าฉิงหนานเป็นนักเชิดหุ่น ...
เมื่อการต่อสู้จบลง หนึ่งร้อยกว่าคนในที่นี้ตกตะลึงกันถ้วนหน้า
“นี่คือการประลองของสองลุมหนึ่ง!?”
“จากห้องเรียนธรรมดาปะทะห้องคนเถื่อน!?”
“นักเชิดหุ่นสายจู่โจมระยะไกลปะทะนักเชิดหุ่นสายพิฆาต!?”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“เจ้าอยู่ระดับนักสู้?”
ใบหน้าของอาจารย์เฝิงเต็มไปด้วยความตะลึงเช่นกัน แต่สมองของเขายังทำงานได้ดีอยู่
“อาจารย์ ข้าได้กล่าวไปแล้วว่าข้าเป็นนักเชิดหุ่น”
ฉิงหนานยิ้มพลางมองอาจารย์เฝิง
“สายพิฆาต?”
ความตื่นเต้นปรากฎขึ้นบนใบหน้าของอาจารย์เฝิง เขาราวกับต้องการจะพาฉิงหนานไปที่บ้าน
“อาจารย์ อย่างที่ข้าเอ่ยไว้ ข้าเป็นสายจู่โจมระยะไกล”
มันชัดเจนเป็นอย่างมากว่าฉิงหนานต้องการจะเล่นละครให้จบ และมันยากลำบากสำหรับเขาที่ต้องปั้นหน้าเคร่งขรึมเช่นนี้
“แต่เจ้า...”
เป็นครั้งแรกที่อาจารย์เฝิงรู้สึกว่าความรู้ของเขาขาดตกบกพร่องเพราะเรื่องนี้อยู่นอกเหนือความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับนักเชิดหุ่นไปมาก
“อาจจะเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถทนได้กับการถูกทุบตีเล็กๆ น้อยๆ... บ้านเกิดของข้าใช้แรงมากกว่านี้อีกเมื่ออัดลิงพวกนั้น”
มุมปากของฉิงหนานกระตุก เขาไม่อาจทนต่อการแสดงปาหี่ได้อีกต่อไป...
“อัด...ลิงพวกนั้น?”
อาจารย์เฝิงฉงนสงสัย เขาไม่เข้าใจว่าฉิงหนานหมายความอย่างไร
“ข้ามาจากดินแดนตอนใต้ ที่นั่นมีลิงป่าอยู่มาก และพวกเราอัดลิงพวกนั้นยามว่างเพื่อฝึกฝน”
ฉิงหนานเหวี่ยงหมัดพลางเอ่ย ท่วงท่าที่เขาแสดงออกมาเป็นอันเดียวกับท่าอัดทั้งสอง
“อาจารย์ หากไม่มีสิ่งใดอีก ข้าจะกลับไปแล้ว”
‘ข้าไม่อาจแสดงได้อีกต่อไป ไม่งั้นข้าทนไม่ไหวจริงๆ แน่...’
“อ๊ะ...? โอ้...! แค่ก แค่ก! ไปเถิด...”
อาจารย์เฝิงรู้ตัวว่าตนได้ประพฤติตนไม่เหมาะ เขารีบปรับเปลี่ยนสีหน้าก่อนจะเอ่ยอนุญาตให้ฉิงหนานกลับไป
‘หากข้าพูดกับเขาต่อไป ข้าต้องติดกับดักแน่’
อาจารย์เฝิงคิดเช่นนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจยาวเยือก
“มีใครอยากแสดงความสามารถอีกหรือไม่?”
อาจารย์เฝิงเอ่ยถาม สายตาของเขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองห้องคนเถื่อน
แค่ฉิงหนานคนเดียวก็ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงความคิดเกี่ยวกับห้องคนเถื่อนได้แล้ว เขาคาดหวังว่าห้องคนเถื่อนจะสามารถสร้างความประหลาดใจให้เขาได้อีก!
“สือเฉิน จู๋ซือซือ พวกเจ้าไป”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเปิดปากอีกครั้ง หากกล่าวกว่าการแสดงเมื่อครู่เป็นเพียงสร้างความประทับใจ เช่นนั้นครั้งนี้เขาก็มีเป้าหมายอื่น
สายจู่โจมรวดเร็วและสายพิฆาตเป็นสองสาขาที่อยู่ภายใต้กระบี่พิฆาต หากทั้งสองสามารถได้รับการรับรองจากอาจารย์เฝิง ทุกอย่างจะไปได้ด้วยดีสำหรับพวกนาง
อีกอย่าง ป๋ายเสี่ยวเฟยมั่นใจมากว่าทั้งสองจะทำสำเร็จ
สายตาของอาจารย์เฝิงเปล่งประกายเจิดจรัสเมื่อพวกนางเอ่ยแนะนำตัวเอง
“พวกเราจะประลองกับห้องนี้ ขอลองหน่อยเถิดว่าพวกเจ้าจะมีฝีมือสักแค่ไหน!”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนี้ ความโกลาหลมีให้เห็นทุกที่
‘ทั้งห้อง...!?’
คนอื่นอดไม่ได้ที่จะหันไปมองว่าสือเฉินและจู๋ซือซือเลือกคนมากเท่าใด
14... 15... 16...
18!
ทั้งสิบแปดคน!
หมายความว่าหากทั้งสองฝ่ายปะทะกัน สองนางนี้จะต้องต่อสู้กับเก้าคนด้วยตัวคนเดียว!
บ้าไปแล้ว! สองดรุณีพวกนี้บ้าไปแล้ว!
ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งสักเพียงใด เจ้าไม่อาจบ้าบิ่นเช่นนี้ได้!
ทั้งหมดมีความคิดนี้อยู่ในใจ เสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ดังขึ้นรอบด้าน สายตาที่พวกเขามองไปยังสือเฉินและจู๋ซือซือแฝงไว้ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
ในอีกด้าน เหตุผลที่ทั้งสองเลือกห้องนี้เป็นอะไรที่ง่ายมาก
เมื่อทุกคนกำลังดูถูกห้องคนเถื่อน ห้องนี้ ‘มีส่วนร่วม’ มากที่สุดและพูดแรงที่สุด!
ใครร้ายมาก็ร้ายกลับคือหนึ่งในนิสัยของห้องคนเถื่อน!
“อะไร? สองต่อสิบแปดพวกเจ้าก็ยังไม่กล้าสู้งั้นหรือ!? พวกเจ้าลังเลอันใดอยู่? ไอ้พวกขี้ขลาด!”
เสียงเย้ยหยันของโม่ข่าดังขึ้นมาในจังหวะนี้ และคนอื่นในห้องคนเถื่อนพร้อมใจกันส่งเสียงโห่ตะโกนออกมา
ในเรื่องยั่วยู โม่ข่าและพวกไม่คิดว่าตนด้อยกว่าใคร!
“ในเมื่อพวกเจ้าสองคนอยากตายมากนัก งั้นก็อย่าหาว่าพวกเราไม่ออมมือ!”
ศิษย์ชายคนแรกที่เอ่ยเหยียดหยันห้องคนเถื่อนแค่นเสียงเย็นชา ท่วงท่าอิริยาบถของมันเปลี่ยนเป็นจริงจังรอบกายปรากฎรังสีต่อสู้
ต่อมาก็เป็นอีกสิบเจ็ดคนที่ก้าวออกมาข้างหน้าตามๆ กัน แต่ดูจากตำแหน่งการยืนของพวกมันแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพวกมันถือได้ว่าไม่ลึกซึ้งมากนัก กระทั่งมีบางคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
เป็นข่าวดีสำหรับสือเฉินและจู๋ซือซืออย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรเสีย เมื่อจำนวนคนมากถึงจุดหนึ่ง พวกเขาจะต้องขัดแข้งขัดขากันเป็นแน่แท้ และหากกลุ่มนั้นไม่มีความร่วมมือที่ดี ท้ายที่สุดความแข็งแกร่งของพวกมันอาจจะอ่อนด้อยกว่าตอนแบ่งกลุ่มกันเล็กๆ ก็เป็นได้
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ทรายที่กระจัดกระจายกันไปมิอาจเทียบได้กับทรายไม่กี่ก้อนที่รวมเป็นปึกแผ่น!
“เริ่มได้หรือยัง?”
เมื่อนางเห็นทุกคนก้าวออกมาข้างหน้า สือเฉินถามเสียงใส มือกำกระบี่เพลิงผลาญในมือแน่น
“พวกเจ้าทั้งสองรับความตายเสียเถิด!”
ศิษย์ชายเมื่อครู่เปิดเผยหุ่นเชิดของตนออกมา มันคือหน้าไม้ที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก เขาเล็งไปที่สือเฉินทันที
ศิษย์คนอื่นเคลื่อนไหวตามเขา ทำให้ตำแหน่งยืนไร้ความเป็นระบบยิ่งกว่าเดิม ผู้ที่ต่อสู้ระยะประชิดบดบังวิถีโจมตีของสายระยะไกล ในขณะที่สายป้องกันขัดขวางการเข้าโจมตีของสายระยะประชิด...
มีสี่แห่งที่เป็นแบบนี้ และเมื่อจู๋ซือซือใช้ความเร็วอันน่าตื่นตระหนกออกมาเคลื่อนตัวไปถึงกลุ่มพวกมัน หลายคนกระทั่งยังจัดตำแหน่งไม่เสร็จด้วยซ้ำ
ในวินาทีต่อมา นักเชิดหุ่นสายโจมตีทางไกลถูกเตะกระเด็นโดยจู๋ซือซือ
แตรสงครามเปิดศึกถูกเป่าส่งสัญญาณเริ่มการต่อสู้ สือเฉินที่ช้ากว่าเล็กน้อยควงกระบี่ขึ้นเป็นแนวตั้งปัดศรที่ศิษย์ชายเย่อหยิ่งยิงออกมา ในขณะเดียวกันนางกระโจนเข้าหาเขา
ไม่ใช่เพราะนางอยากจะจัดการกับหัวหน้าก่อน นางแค่ต้องการล้างแค้นเท่านั้น!
ใช่แล้ว แค่นั้นจริงๆ !
นางเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นถึงเพียงนี้!!!
‘หากไม่พอใจก็มาหาข้าได้ แต่เจ้าต้องรับมือกระบี่ของข้ากับรองเท้าของจู๋ซือซือด้วย!’