GOI ตอนที่ 70 คาบชุมนุม
หลังจากเล่ยซานรับเอาป๋ายเสี่ยวเฟยมาจากมือเสวี่ยอิ่ง เขายกป๋ายเสี่ยวเฟยที่สวมใส่เสื้อนักเรียนที่ชุ่มโชกด้วยเลือดขึ้นสูง ประกายสายฟ้าขนาดเล็กปรากฎขึ้นบนนิ้วหัวแม่มือของเล่ยซาน จากนั้นเขาปัดลงอย่างแผ่วเบา บาดแผลประสานตัวทันทีเมื่อได้รับผลของสายฟ้า
ต่อมา ยาโอสถสีทองปรากฎขึ้นกลางฝ่ามือ เมื่อเขาป้อนยาให้ป๋ายเสี่ยวเฟย สีหน้าซีดเซียวเปลี่ยนเป็นแดงซ่านด้วยความเร็วที่เห็นได้จากตาเปล่า
ในอีกด้าน เสวี่ยอิ่งและคนอื่นเหม่อมองอย่างโง่งมเพราะจากความเข้าใจของทุกคนในโลกภายนอก เล่ยซานคือจักรพรรดิอัสนีผู้สูงส่งน่าเกรงขาม ไม่มีใครสักคนคิดว่าเขาจะสามารถรับบทบาทเป็นแพทย์สนามได้ด้วย!
“เอาล่ะ เหลือแค่ปลุกให้เขาตื่นเท่านั้น”
เล่ยซานเอ่ยพึมพำ ฝ่ามือของเขาห่อหุ้มด้วยประกายสายฟ้ามากมาย
“อาจจะรุนแรงไปบ้าง แต่ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สนใจเรื่องหยุมหยิม ไอ้เด็กเหลือขอ”
เสียงของเล่ยซานยังไม่ทันจางหายไปจากอากาศก็เป็นฝ่ามือของเขาที่แนบไปยังอกของป๋ายเสี่ยวเฟย ในวินาทีต่อมา ร่างไร้สติของป๋ายเสี่ยวเฟยพลันชักกระตุกอย่างบ้าคลั่ง ถึงแม้จะเป็นเพียงสามวินาที แต่ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่พลางมองฉากตรงหน้า
“รุนแรงจริงๆ...”
“ใคร!?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยที่ยังคงชักกระตุกพลันเบิกตาโพลง เมื่อเขาเห็นใบหน้าเล่ยซานในระยะเผาขน ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มก่อนจะตกลงไปบนพื้น
“ปู่ ทำไมไม่รับข้า!?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยลูบหลังพลางลุกขึ้นยืน เขาลืมเรื่องที่เขาเพิ่งเคาะประตูสู่ยมโลกไปจนหมดสิ้น
“เจ้าทำได้ดี”
เล่ยซานเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ทักษะความสามารถในการเปลี่ยนบทสนทนาคือหนึ่งในความภาคภูมิใจของเขา
“แค่พูดจะไปมีประโยชน์อันใด? ทำไมไม่ให้รางวัลข้าเสียหน่อย? อาจเป็นหุ่นเชิดระดับทองคำม่วงหรือยาระดับสูง ข้าจะไม่ปฏิเสธแน่”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเรียกร้องรางวัลจำนวนมหาศาล เขาจะไม่ปล่อยให้โอกาสดีหลุดลอยแน่
แต่เล่ยซานไม่ใช่คนร่ำรวยและเขาไม่มีความคิดจะติดกับดักตื้นๆ
“ข้าเป็นแค่ชายชราจนๆ ไม่มีสิ่งของที่เจ้าเอ่ยถึง แต่หากเจ้าทิ้งผลลัพธ์ที่ดีในการสอบสุดท้ายของศิษย์ใหม่ ข้าอาจใช้อำนาจช่วยได้”
เล่ยซานหัวเราะเอ่ยปัดในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะวางเหยื่อล่อไว้ให้ป๋ายเสี่ยวเฟย
“ปู่ขี้เหนียว ข้าจะจำคำของท่านไว้ เมื่อถึงเวลาท่านห้ามทำตัวไร้ยางอายเด็ดขาด มิเช่นนั้นข้าจะประกาศให้ทุกคนในสถาบันชิงหลัวรับรู้ถึงด้านไม่ดีของท่าน!”
ภายในสถาบันชิงหลัว คงมีแค่ป๋ายเสี่ยวเฟยที่กล้าข่มขู่เล่ยซาน...
“ตกลง”
เล่ยซานตอบกลับ กล่าวได้ว่าเขาสงบ‘ความกังวล‘ ในใจของป๋ายเสี่ยวเฟย
“พวกเจ้าทั้งหมดทำได้ดีมากและเปลี่ยนมุมมองทัศนคติที่ข้ามีต่อห้องคนเถื่อน ข้าหวังว่าผลงานของพวกเจ้าในอีกสองเดือนจะดียิ่งขึ้น!”
เล่ยซานหันกลับมามองคนที่เหลือ ประโยคสั้นๆ ปลุกใจทุกคนให้อยู่ในสภาวะตื่นเต้น
การยอมรับจากเจ้าสถาบัน!
อย่างไรเสีย มีคนนับไม่ถ้วนที่ไม่เคยได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าสถาบันสักคำหลังจากเรียนครบสี่ปี!
แต่เป็นเพราะความตื่นเต้นนี้เองที่ไม่มีใครตอบกลับเล่ยซานไป...
“เอาล่ะ สายมากแล้ว พวกเจ้าควรรีบกลับสถาบันเพราะยังต้องเรียนคาบชุมนุมพรุ่งนี้ พวกเจ้าไม่ได้เรียนไปมากในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา และหากพวกเจ้าไม่สามารถเรียนชดเชยได้ครบ พวกเจ้าจะไม่มีสิทธิ์ได้เข้าร่วมการสอบสุดท้าย”
เล่ยซานยิ้มก่อนจะเดินไปหาเสวี่ยอิ่ง
“ข้าไม่ได้มองเจ้าผิดไปจริงๆ ถึงแม้เจ้าจะพิเศษ แต่ข้าต้องยอมรับว่าเจ้าประสบความสำเร็จสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมา”
เสวี่ยอิ่งรู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างมาก นางเผยสีหน้าเคารพนอบน้อมที่ยากจะได้เห็นพลางก้มหัวลงเล็กน้อย
“ทุกสิ่งมิอาจเกิดขึ้นได้หากท่านเจ้าสถาบันไม่อนุญาต”
“เฮ้ เฮ้ เฮ้! พวกท่านทั้งสองเลิกชมกันไปมาได้หรือยัง? ในเมื่อปู่ให้พวกเรากลับได้แล้ว จะยังรออันใดอยู่อีก? ให้ฝูงหมาป่ามากินพวกเราหรือ!?”
หลังจากเอ่ยคำอำลากับหยวน ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่อาจทนได้อีกต่อไป เขาอยากนอนมากแล้ว...
“โอ้ไม่นะ! ข้าถูกไล่เสียแล้ว ไว้เจอกันคราวหน้าศิษย์ทั้งหลาย!”
เรือนร่างของเล่ยซานหายตัวไปพร้อมกับเสียงหัวเราะดังลั่นนภาและประกายสายฟ้า ทักษะเรียบง่ายแค่นี้ก็เพียงพอให้ทุกคนตกตะลึง
“เจ้าโง่รึ! ใช่หรือไม่!? เจ้ารู้ไหมว่าโอกาสที่จะได้พูดคุยกับท่านเจ้าสถาบันหาได้ยากเพียงใด!? แต่เจ้ากลับไล่เขาไป!? เจ้านั่นแหละที่ควรจะไปให้ไกลๆ!!”
เสวี่ยอิ่งตบหัวป๋ายเสี่ยวเฟยครั้งแล้วครั้งเล่า ‘โทสะ’ ของนางทำให้ศิษย์ทุกคนในห้องคนเถื่อนโห่ตะโกนหัวเราะ ในอีกด้าน ‘ผู้รับเคราะห์’ อย่างป๋ายเสี่ยวเฟยก่นด่าสาปแช่งตนเองที่ไม่ยอมเลือกสหายมาแบ่งปันความทุกข์ก่อนจะเอ่ยไล่เล่ยซาน...
เป็นค่ำคืนที่เงียบสงบ หลังจากทุกอย่างจบลง ศิษย์นักเรียนห้องคนเถื่อนนอนหลับปุ๋ยบนเตียงนุ่ม ทุกคนล้วนรู้สึกราวกับไม่ได้สัมผัสมันมาเป็นเวลาแรมปี ไม่มีใครที่ไม่นอนหลับเป็นตาย
พวกเขาเหนื่อยล้ามากเหลือเกิน!
ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือฟ้าเฉกเช่นทุกวัน แต่ป๋ายเสี่ยวเฟยที่มีนิสัยนอนตื่นสายและไม่ได้พยายามแก้ไขในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมากลับเป็นคนแรกที่ตื่นก่อนทุกคน ทำให้เขาได้สัมผัส ‘ความรื่นรมย์’ ของการปลุกผู้อื่น
“พี่ใหญ่เฟย ท่านควรหลับนานกว่านี้อีกหน่อย และอย่าปลุกพวกเราอีก...”
โม่ข่าเดินบนเส้นทางสู่ห้องเรียนในใจยังมีความหวาดกลัวของใบหน้าที่เสี่ยวเอ้อแปรเปลี่ยนในยามเช้า ไม่ว่าเขาจะพยายามหนักเท่าใดก็ไม่อาจลบใบหน้านั้นออกจากใจไปได้
สือขุยและหวู่จื๋อที่อยู่ข้างๆ ผงกศีรษะแข็งขันแสดงความเห็นด้วยเพราะประสบการณ์ของพวกเขาเป็นเช่นเดียวกับโม่ข่า...
“จากความกล้าหาญของเจ้า หนึ่งเดือนในเทือกเขาไร้ขอบเขตช่างสูญเปล่าเสียจริง”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเย้ยหยันแสดงความเหยีดหยามใส่พวกเขา พวกโม่ข่าไม่กล้าโต้แย้ง ไม่ใช่เพราะพวกมันหวาดกลัว แต่เป็นเพราะยิ่งเถียงป๋ายเสี่ยวเฟยมากเท่าใดก็ยิ่งทำให้เขาระรื่นใจมากขึ้น และผลลัพธ์คงไม่ต้องให้เอ่ยถึง!
ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้พวกเขาจะขมขื่นอยู่เล็กๆ แต่พวกเขาจะทำอย่างไรได้!
พวกป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ได้สายเท่าใดนัก แต่ก็ยังอดทานข้าวเช้าอยู่ดีและเมื่อเข้าห้องเรียนไปแล้วถึงค่อยรู้ว่าพวกตนเป็นกลุ่มสุดท้าย...
“อาหารเช้าของเจ้า”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเพิ่งนั่งลงก็เป็นหลินหลีที่ยื่นกล่องอาหารสรรสร้างจากรัก โม่ข่าและคนอื่นน้ำลายไหลเยิ้มเป็นแถบๆ
“ข้าไม่มีโฉมสะคราญ จะมีก็แต่กล่องข้าวสามกล่อง พวกเจ้าอยากได้หรือไม่?”
ฟางเย่ปรากฎกายประดุจดั่งทวยเทพมากเมตตา โม่ข่าและคนอื่นส่งสายตาเคารพนพนอบเป็นอย่างยิ่ง
“พี่ใหญ่เย่ ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องเป็นหัวหน้าฝ่ายโลจิสติกที่ดีที่สุดของเรา!”
ฟางเย่ไม่มีโอกาสได้เอ่ยคำใดเพราะเขาสังเกตุเห็นว่ากล่องข้าวในมือได้ถูกสามหมาป่าผู้หิวโหยช่วงชิงไปเสียแล้ว ชีเว่ยและดรุณีคนอื่นในห้องหัวเราะคิกคักอยู่ภายหลัง
“พวกเจ้าทั้งหมดหยุดสิ่งที่ทำและออกมาข้างนอก!”
ทั้งสี่เพิ่งได้กินไปสองคำใหญ่ๆ ก็เป็นเสียงที่คุ้นเคยดังแว่วมาจากภายนอกห้องเรียน ทุกคนตอบสนองโดยทันที อีกหนึ่งนิสัยที่ติดมาจากช่วงเวลาในเทือกเขาไร้ขอบเขต
“พวกเรามีคาบชุมนุมในช่วงเช้า พูดให้เข้าใจง่าย มันคือการเรียนแลกเปลี่ยนกับอีกเก้าห้อง แต่เป็นชนิดที่แลกเปลี่ยนกันด้วยกำปั้น พวกเจ้าทั้งหมดเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่?”
สุ้มเสียงของเสวี่ยอิ่งเย็นเยียบ นัยน์ตาคู่นั้นกวาดมองทุกคน นางเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายจำนวนมาก
ฉิงหนานถูมือเข้าหากันถามด้วยความคาดหวัง
“พี่หญิงเสวี่ย พวกเราต้องอัดพวกมันเท่าใดจึงจะพอ?”