เซียนเหนือวิถี บาทที่ 133 (ฟรี)
บาทที่ 133
“ช่างน่าละอายที่ต้องใช้อุบายแย่งตัวเจ้ามาเป็นคนของสำนักหมื่นอสูรด้วยการยกตำแหน่งผู้อาวุโสสำนักให้ พร้อมทั้งผลประโยชน์มากมาย แต่นี่ก็เป็นเรื่องจำเป็นในเมื่อพวกเจ้าเป็นผู้ทรงความรู้ในเรื่องของการฟักไข่สัตว์อสูร ซึ่งพวกเราแม้ว่าจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับสัตว์อสูร แต่ก็น่าละอายที่ต้องปล่อยให้สัตว์อสูรจำนวนมากต้องสูญหายไปจากป่าแห่งนี้ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก” เขากล่าวด้วยจิตใจของนักอนุรักษ์
“ข้าเข้าใจเจตนาของท่าน การได้ทำประโยชน์เพื่อสรรพสัตว์โดยรวมนั้นย่อมสมควรสนับสนุนอยู่ ดังนั้นพวกข้าจึงรับข้อเสนอที่ท่านเสนอไว้โดยไม่ลังเล มิถือว่าเป็นสิ่งที่น่าละอายแต่อย่างใด อีกอย่างพวกเราล้วนได้รับประโยชน์กันไม่น้อย” หงเซียวกล่าว
“นี่คือตราสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเจ้าเป็นผู้อาวุโสของสำนักหมื่นอสูร ส่วนคนที่เหลือ….” เจ้าสำนักหมื่นอสูรยื่นส่งตราให้กับหงเซียว ก่อนกล่าวอย่างครุ่นคิด
“ท่านเจ้าสำนักอย่าคิดมาก ท่านสามารถสอบถามความสมัครใจว่าพวกเขายินดีที่จะเป็นศิษย์สำนักหมื่นอสูรได้เลย” หงเซียวหัวเราะ
“เช่นนั้นรึ หากเป็นเช่นนั้น ข้าอยากทราบความสมัครใจของพวกเจ้าว่ามีใครสนใจที่จะเป็นศิษย์สำนักหมื่นอสูรหรือไม่” เจ้าสำนักหันไปหาคนอื่นๆพร้อมกับกล่าวถาม
หญิงสาวทั้งเจ็ดมองหน้ากันก่อนที่หนึ่งในนั้นจะกล่าวว่า “พวกเรามีความสนใจอยู่ เพียงแต่ว่าดูเหมือนการหลอมเลือดอสูรนั้นจะทำให้สรีระของพวกเราเปลี่ยนไปเป็นน่าเกลียด...”
“นั่นมิมีปัญหาใด หมิวหมิว หลิวหลิว เข้ามา” เจ้าสำนักตะโกนเรียกคนเข้ามาในห้อง
หญิงสาวสองคนเดินเข้ามาในห้อง เธอทั้งคู่ดูสวยงามเป็นอย่างยิ่ง หนึ่งดูสง่าดุจพญาหงส์ หนึ่งดูสูงส่งดุจกระเรียนกลางไพร
“เป็นอย่างไร” เจ้าสำนักหมื่นอสูรถามบรรดาหญิงสาวที่ตอนนี้หลงไหลไปกับเสน่ห์ของหญิงสาวสองคนตรงหน้าไปจนหมดแล้ว
“แล้ว.. แล้วจะมีปัญหาอะไรกับวิชาของนิกายเซียนมารที่พวกเราฝึกหรือไม่” อีกคนถามด้วยความกังวล
“นั่นมิมีปัญหาใด” หงเซียวเป็นคนตอบแทน “เพราะว่าวิชาปราณของนิกายเซียนมารเป็นเหมือนเกราะที่หุ้มร่าง ในขณะที่วิชาหลอมเลือดอสูรควรจะเป็นวิชาที่เกี่ยวพันกับร่างกายโดยตรง ซึ่งควรจะมีผลกับปราณดั้งเดิมของพวกเจ้ามากกว่า”
“เจ้าพูดถูก วิชาหลอมเลือดอสูรจะมีผลกระทบกับร่างกายและปราณดั้งเดิม นั่นหมายความว่าระดับของพวกเจ้าจะลดลงไป แต่ก็สามารถฝึกปรือกลับคืนมาได้โดยเร็ว และอย่างที่พวกเจ้าเคยได้ยินมา วิชาของสำนักหมื่นอสูรฝึกจนถึงเขตร่างปราณได้ง่ายมากกว่าของสำนักอื่น” เจ้าสำนักเสริม
“หากพวกเราเป็นศิษย์สำนักหมื่นอสูร จะมีความขัดแย้งใดกับนิกายเซียนมารหรือไม่” หญิงสาวอีกคนกล่าว
“ถ้าเจ้าไม่พูดออกไป ข้าคิดว่าปัญหานี้ก็คงไม่ต้องพูดถึง อีกอย่างพวกเจ้าคงไม่ใช่ศิษย์ระดับสูงของนิกายใช่หรือไม่” เจ้าสำนักกล่าว
“ใช่แล้ว ถ้าเช่นนั้นข้ายินดีที่จะเป็นศิษย์สำนักหมื่นอสูรควบไปกับการเป็นศิษย์นิกายเซียนมาร” หญิงสาวคนเดิมตัดสินใจ
“เยี่ยมมาก คนที่เหลือ พวกเจ้าตัดสินใจว่าอย่างไร” เจ้าสำนักยิ้ม
“ข้ายินดีเป็นศิษย์ทั้งสองสำนัก”
“ข้ายินดี”
บรรดาหญิงสาวต่างพากันกล่าวตกลง มีเพียงจินหลินและเด็กสาวทั้งสามที่นิ่งเงียบ โดยมีจิวหูนั่งกระสับกระส่าย
หงเซียวหันไปทางจินหู กล่าวว่า “เจ้ามิสนใจเป็นศิษย์สำนักหมื่นอสูรรึ”
จิวหูตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ “ข้ามีสิทธิ์รึ นายท่าน”
“เจ้าไม่ได้เป็นลูกน้องข้า หรือทาสของข้า เจ้าสามารถเลือกวิถีทางของเจ้าได้ ไม่เกี่ยวข้องกับข้า” หงเซียวกล่าว
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอสมัครเป็นศิษย์สำนักหมื่นอสูร” จิวหูกล่าว
“แล้วสี่คนนี้...” เจ้าสำนักหันมาทางสี่เด็กสาว
“พวกเราไม่สนใจ พวกเราเป็นเด็กในปกครองของพี่ชาย” จินหลินยิ้มและกล่าวแทนทุกคน
เจ้าสำนักหันไปมองผู้อาวุโสสำนักคนใหม่ด้วยสายตาบอกว่า เจ้าหลอกเด็ก ชั่วอึดใจก่อนจะพูดว่า “เช่นนั้นรึ”
หงเซียวเพียงยิ้มและโบกพัดด้วยท่าทางหล่อเหลาของคุณชายเจ้าสำอาง ราวกับจะตอบว่า คุณชายอย่างข้าย่อมต้องหลอกหญิงสาวทั้งมวลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวรุ่นหรือเด็กสาวเยาว์วัย
“ถ-ถ้าเช่นนั้น ผู้อาวุโสหง ข้าก็จะไม่ขอรบกวนเวลาท่านแล้ว แต่ศิษย์สำนักคนใหม่จำเป็นต้องลงทะเบียนกันก่อน ข้าจะพาพวกเจ้าไปยังชั้นหนึ่งเพื่อทำเรื่องเป็นศิษย์สำนัก” เจ้าสำนักดูท่าจะตะลึงไปกับท่าทางของหงเซียวชั่วขณะ ก่อนจะทำความเข้าใจ และกล่าวออกมา
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว” หงเซียวกล่าว พร้อมกับทำท่าคำนับ โดยมีสี่เด็กสาวทำท่าคำนับตามก่อนจะก้าวตามไปด้านหลังหงเซียว
ในเมื่อเข้าได้ป้ายผู้อาวุโสแล้ว เขาก็พาสี่เด็กสาวเดินขึ้นไปยังชั้นคัมภีร์เฉพาะชั้นยี่สิบเอ็ด ซึ่งเป็นชั้นที่ก่อนหน้านี้เขาถูกห้ามขึ้นไป
เขาเรียนรู้วิชาหลอมเลือดสัตว์อสูร เช่นเดียวกันสี่เด็กสาวก็เรียนรู้ด้วย และที่นี่ก็ยังมีเก็บความรู้เรื่องสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไว้ด้วย ซึ่งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นเขาเคยอ่านพบจากเทพนิยายนิทานปรัมปรา แต่ไม่คิดว่าที่นี่จะมีบันทึกถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ด้วย
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นก็คือสัตว์ที่มีชีพจรเซียน เกิดขึ้นมาด้วยความสามารถของเซียน และสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวแรกที่บันทึกไว้ในตำรานี้ก็คือ มังกรสุวรรณอัคคี ซึ่งดูอย่างไรก็แทบจะเหมือนกับมังกรเพลิงสีชาด ต่างกันตรงที่ว่ารูปวาดนั้นวาดตัวของมันเป็นสีทองทั้งตัว และมีรายละเอียดบางประการที่แตกต่างจากมังกรเพลิงสีชาด
และนี่ช่วยตอกย้ำความคิดของเขาเกี่ยวกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
เด็กสาวพากันพลิกดูตำราสัตว์อสูร ต่างพากันคิดว่าจะหลอมเลือดของสัตว์ตัวไหนดี ต่างพากันเลือกเฟ้นไม่หยุด
“ทุกคนหยุด ข้ายังไม่ต้องการให้ทุกคนหลอมเลือดสัตว์อสูร ข้ามีความคิดที่ดีกว่านั้น” หงเซียวกล่าว
ทุกคนพากันหยุดเลือกตั้งใจฟังหงเซียว
“แต่นี่ยังเป็นแนวความคิด ต้องรอให้ข้าทำการพิสูจน์ก่อน จึงจะบอกได้” หงเซียวกล่าวสร้างความผิดหวังให้กับบรรดาเด็กสาว
“ว้า พี่ชายหลอกให้พวกเราดีใจเก้อ” จินหลินกล่าว
“ยังไงก็ตาม อย่าเพิ่งหลอมเลือดสัตว์อสูรนะ” หงเซียวกล่าว
“แต่ว่า---” จินหลินต้องการจะกล่าว
“ไหนว่าเจ้าต้องการเป็นคนในปกครองของข้า ถ้าเจ้าปฏิเสธก็หมายความว่าเจ้าไม่ต้องการแล้ว” หงเซียวขู่
“แต่.. แต่ว่ายังไงพวกเราก็เชื่อฟังพี่ชาย” เธอเปลี่ยนคำพูด ทำให้สามสาวที่เหลือต่างพากันขำ
“พวกเจ้าขำอะไรกัน” จินหลินงอน
“พี่ชายช่วยพวกเราด้วย” สามสาวโอดครวญ
“จินหลิน น้องเคยเห็นพี่ชายเลือกของที่ด้อยให้พวกเธอหรือเปล่า” หงเซียวกล่าว
“ไม่เลย พี่ชายเลือกแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้พวกเรา” เธอตอบ
“แล้วเลือดอสูรล่ะ คิดว่าพี่ชายจะเลือกสิ่งที่ด้อยมาให้เราหรือยังไงกัน” เขาถามเสียงอ่อนโยน
“ข้า… ข้าเชื่อฟังพี่ชาย” จินหลินลุกขึ้นเข้าไปกอดคอเขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้จากทางด้านหลัง เปลี่ยนเป็นสร้างความอิจฉาให้กับสามเด็กสาวแทน
“น้องหลิน ที่นี่เป็นที่สาธารณะ ข้าคิดว่า เจ้ากลับไปนั่งที่เดิมจะดีกว่านะ” เหมยเหมยพยายามกล่าวเสียงเรียบ แต่กลับปิดแววอิจฉาไม่มิด
“แบร่ๆ” จินหลินแลบลิ้นใส่อีกฝ่าย แต่ไม่ยอมปล่อยมือออกจากคอของหงเซียว
ผู้แต่ง: ใกล้ถึงตอนจบภาคมนุษย์แล้วครับ ตอนสุดท้ายเป็นบทที่ต่อจากบาท 148 ความลำบากในการค้นหาวิชาเซียนจะสิ้นสุดลงแล้ว และจะเข้าสู่ความเป็นเซียนเสียที