GOI ตอนที่ 69 ไพ่ใบสุดท้าย! ฝูงวานรปีศาจ!
เมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยจบ คลื่นระลอกเสียงอึงคะนึงกึกก้องดังมาจากพฤกษาแมกไม้หนาทึบประดุจกองทัพขนาดใหญ่เคลื่อนพลข้ามผ่าน!
ฉินหลิงหยานและคนอื่นเผยสีหน้าตกตะลึง ด้วยความเข้าใจในเทือกเขาไร้ขอบเขตของพวกนาง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคลื่นเสียงนี้หมายถึงสิ่งใด!
ไม่นานนักตัวตนของภัยพิบัติก็ปรากฎกาย!
วานรปีศาจแกร่งกล้าวิ่งออกมาจากป่าตัวแล้วตัวเล่า เป้าหมายของมันชัดเจนเลยว่าเป็นทั้งสองกลุ่มในสนามรบ!
วานรปีศาจคือสัตว์อสูรระดับพิสุทธิ์ที่อยู่รวมกันเป็นฝูง และจ่าฝูงจะอยู่ในระดับวิญญาณเป็นอย่างน้อย!
“หนี! ให้ศิษย์ห้องคนเถื่อนไปก่อน! ศิษย์พี่ ท่านรีบกลับไปที่สถาบันเพื่อขอกำลังช่วยเหลือ!”
ฉินหลิงหยานเป็นคนแรกที่มีฟื้นคืนสติกลับมา นางแบกความรับผิดชอบทั้งหมดไว้บนบ่า ประโยคสุดท้ายนางพูดกับเหอเมิ่งเพราะเขาคือผู้ที่ว่องไวที่สุดในหมู่ทุกคน
แต่ในวินาทีต่อมา ฉากที่น่าตื่นตระหนกพลันปรากฎ
ฝูงวานรหยุดโดยพร้อมเพรียงหลังจากล้อมรอบพวกเขา พวกมันยืนนิ่งจ้องมองมาด้วยสายตาดุร้าย ไม่นานนักวานรปีศาจที่ร่างกายใหญ่โตกว่าตัวอื่นก็ค่อยๆ เดินเข้ามาเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวเฟยก่อนจะก้มหัวลง
“หยวน ลำบากเจ้าแล้ว”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยิ้มอย่างอ่อนโยนให้หยวน จ่าฝูงของวานรปีศาจ หลังจากหยวนตอบรับด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้น ป๋ายเสี่ยวเฟยหันกลับมามองพวกฉินหลิงหยาน
“ขออภัยที่ทำให้ตกใจ ศิษย์พี่หญิง คำพูดของท่านน่าซาบซึ้งเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้ เพียงท่านยอมรับความพ่ายแพ้ การประลองก็จะสิ้นสุดลง”
เมื่อครู่ ปฏิกิริยาตอบสนองตามสัญชาตญาณของฉินหลิงหยานคือการปกป้องศิษย์ห้องคนเถื่อนในขณะที่นางอยู่ด้านหลังคอยยื้อเวลา ความคิดอ่านที่แยกแยะเรื่องส่วนตัวและส่วนรวมเพียงพอให้ทุกคนรู้สึกนับถือ ไม่เว้นแม้แต่ป๋ายเสี่ยวเฟย...
ในอีกด้าน เหตุผลที่ฝูงวานรปีศาจเต็มใจรับฟังคำขอของป๋ายเสี่ยวเฟยเป็นเพราะชะตาผูกเงื่อนกรรมของพวกเขาเข้าด้วยกัน ในช่วงเวลาแห่งลิขิตนั้น สัตว์อสูรระดับพิสุทธิ์สองตัวได้ไล่ล่าฝูงวานรปีศาจ ขณะที่พวกมันต้อนหยวนจนมุม ป๋ายเสี่ยวเฟยที่ปรากฎตัวขึ้นพร้อมเสี่ยวเอ้อ
เป็นบทละครของเสือกลืนอัสนีอีกครา ป๋ายเสี่ยวเฟยประสบความสำเร็จในการข่มขวัญสัตว์อสูรสองตนและสร้างความประทับใจลึกล้ำให้แก่ฝูงวานรปีศาจ
เหตุผลที่ป๋ายเสี่ยวเฟยเต็มใจยื่นมือช่วยเหลือเป็นเพราะแม่สี่ของเขาเคยเอ่ยไว้ว่าสัตว์อสูรเผ่าพันธุ์วานรมักจะตอบแทนบุญคุณเสมอและพวกมันสื่อสารได้ง่ายที่สุดสำหรับมนุษย์
คือคำตอบว่าทำไมป๋ายเสี่ยวเฟยตัดสินใจเสี่ยงช่วยเหลือฝูงวานรปีศาจจากอันตราย ในยามนี้กล่าวได้ว่าการกระทำครั้งนั้นคุ้มค่าเหลือเกิน!
ยิ่งกว่านั้น ที่เสี่ยวเอ้อไม่ได้อยู่กับป๋ายเสี่ยวเฟยเมื่อเริ่มต่อสู้เป็นเพราะมันไปคุยกับหยวน มนุษย์มีภาษามนุษย์และสัตว์อสูรก็มีภาษาของสัตว์อสูร เสี่ยวเอ้อจึงเป็นนักแปลที่ดีที่สุดของป๋ายเสี่ยวเฟย...
“เจ้าเรียกพวกมันมา?”
ฉินหลิงหยานมีสีหน้าแปลกประหลาดเล็กน้อย ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นเพราะโทสะหรืออย่างอื่น
“ใช่ อย่างไรเสียศิษย์พี่หญิงบอกเพียงว่าอาจารย์ไม่อาจเข้าร่วมได้ แต่ไม่เคยพูดถึงสัตว์อสูร”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยิ้มเปิดเผยอัตลักษณ์ร้อยเล่ห์อีกครา ฉินหลิงหยานก่นด่าอยู่ในใจ
‘ข้าไม่ได้พูด!’
‘แต่คนปกติที่ไหนจะไปคิดว่าเจ้าจะขอความช่วยเหลือจากสัตว์อสูร!’
‘เจ้ามีสัตว์อสูรมากมายเป็นกองหนุนแต่เจ้ากลับสู้กับพวกเราตั้งนาน? สนุกมากนักหรือที่ได้ปั่นหัวพวกเราเล่น!?’
ความคิดนับไม่ถ้วนโหมกระหน่ำอยู่ในใจนาง ฉินหลิงหยานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด นางคิดไว้ตั้งแต่แรกว่าจะสั่งสอนป๋ายเสี่ยวเฟยสักครา แต่ดูเหมือนนางก็ยังตกหลุมพรางของป๋ายเสี่ยวเฟยอยู่ดี...
แต่จะให้ทำอย่างไรไ?
ป๋ายเสี่ยวเฟยเป็นเหมือนกล่องที่เต็มไปด้วยกับดัก! ผู้ใดที่เข้าไปเปิดจะเจอกับดักอันแล้วอันเล่าออกมาต้อนรับ แล้วใครจะไประมัดระวังตัวได้ตลอดเวลา!
“ศิษย์พี่หญิงหลิงหยาน ในความเป็นจริง เรื่องเข้าใจผิดระหว่างเราไม่ใช่สิ่งที่มิอาจแก้ไขได้ เมื่อกลับไปข้าจะประกาศโดยทันทีว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นข้าเป็นคนผิดทั้งหมด และข้าจะไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้ แน่นอนว่าข้าหวังว่าพวกท่านจะเก็บบางอย่างเป็นความลับเพื่อพวกเราได้เช่นกัน”
ป๋ายเสี่ยวเฟยแลจริงใจเป็นอย่างมาก และถึงแม้เขาจะถือไพ่เหนือกว่า เขาไม่มีทีท่าจะบดขยี้ทั้งห้าให้จมดิน
ฉินหลิงหยานนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง อีกสี่คนที่เหลือจ้องมองนางรอคอยการตัดสินใจ แม้แต่เหอเมิ่งก็ไม่เว้น
เขาไม่เต็มใจเป็นอย่างมาก แต่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฝูงวานรปีศาจที่จะสังหารเขา นอกจากนั้นถึง แม้เขาจะตายและทางสถาบันต้องการจะตรวจสอบ ป๋ายเสี่ยวเฟยก็จะไม่ถูกคาดโทษ...
“แต่พวกเราแพ้การประลองนี้ ใช่หรือไม่?”
ทุกคนประหลาดใจกับคำถามของนางเพราะไม่มีใครเข้าใจว่านางหมายความเช่นใดกันแน่
“ศิษย์พี่หญิง ท่านดูถูกศัตรูของท่าน ท่านยังเห็นพวกเราเป็นแค่กลุ่มศิษย์ใหม่ระดับฝึกหัด และท่านมองข้ามเรื่องที่พวกเราแข็งแกร่งขึ้น ในขณะเดียวกันท่านไม่ได้คำนึงถึงแผนการที่ข้าเตรียม มิฉะนั้นต่อให้เราฝึกหนักมากเพียงใด หากท่านไม่ได้ให้ข้าเป็นคนเลือกสถานที่ประลอง ด้วยความสามารถด้านการต่อสู้ที่พวกท่านเผยให้เห็น พวกเราย่อมมิอาจรับมือ”
ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ได้ตอบคำถามของฉินหลิงหยาน หากแต่วิเคราะห์การประลองครานี้แทน สีหน้าของทุกคนผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยเมื่อเขาเอ่ยจบ
เป็นคำตอบที่ดี
เขายอมรับข้อเท็จจริงและไม่ได้ทำให้พวกฉินหลิงหยานเสื่อมเสียเกียรติยศ
“อย่าให้ข้ารู้ว่าเจ้าเอาชื่อข้าไปแอบอ้างหลอกลวงผู้อื่นอีก!”
ฉินหลิงหยานยอมประนีประนอม เสียงเย็นชาของนางขจัดก้อนหินที่ทับอกทุกคนออกไป มีเพียงเหอเมิ่งที่ยังจ้องป๋ายเสี่ยวเฟยไม่วางตา
ต่างจากฉินหลิงหยาน ความเกลียดแค้นของเขามาจากการถูกหลอกเหมือนคนโง่...
“ศิษย์พี่หญิงไม่ต้องเป็นกังวลไป การแอบอ้างชื่อคนอื่นเป็นสิ่งที่คนไร้ที่พึ่งพิงทำ แตกต่างจากข้าในยามนี้”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยิ้มพลางกวาดตามองไปที่ศิษย์ห้องคนเถื่อนรอบกาย ทั้งหมดเริ่มหัวเราะคิกคักคนแล้วคนเล่า
พวกเขารู้ว่าป๋ายเสี่ยวเฟยกำลังพูดถึงใคร
“ข้าหวังว่าเจ้าจะทำได้อย่างที่พูด ไป!”
ฉินหลิงหยานไม่ได้เผยสีหน้าเป็นมิตรให้ป๋ายเสี่ยวเฟยตลอดเวลาที่พวกเขาสนทนากัน นางนำทางคนอื่นเดินผ่านไปยังเส้นทางที่วานรปีศาจเปิดทางให้
ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่กังวลว่าทั้งห้าจะเล่นตุกติกแม้แต่น้อยเพราะวานรปีศาจจะไม่ให้โอกาสพวกเขา
หลังจากกลุ่มทั้งห้าหายไปจากครรลองจักษุ ไม่มีผู้ใดทราบว่าใครเป็นคนเริ่ม แต่เสียงโห่ตะโกนร้องดีใจดังก้องจากทั้งกลุ่มของป๋ายเสี่ยวเฟยราวกับเป็นโรคระบาด กระทั่งวานรปีศาจยังคำรามอย่างตื่นเต้นไปด้วย
สัตว์อสูรเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียบง่าย หากพวกมันนับเจ้าเป็นเพื่อนแล้ว เมื่อเจ้าดีใจมันก็จะดีใจตามไปด้วย
“ไปศาลายากัน?”
หลินหลีมองป๋ายเสี่ยวเฟยอย่างกระวนกระวาย นางยังคงกังวลถึงบาดแผลของเขา และที่นางได้รับกลับมาคือแววตาอ่อนโยนหาที่เปรียบมิได้
“ไม่ต้องกังวล ดวงข้าแข็งจะตายไป บาดแผลเล็กๆ แค่นี้จะ...”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยังไม่ทันเอ่ยจบก็เป็นเขาที่ล้มตัวลงไปยังเบื้องหน้าเข้าสู่อ้อมกอดของหลินหลีทำให้เขาได้สัมผัสบางอย่างหนึ่งคู่ที่แสนนุ่ม น่าเสียดายที่เขาไร้สติในเวลานี้...
“ป๋ายเสี่ยวเฟย!”
หลินหลีร้องเสียงหลงขึ้นมา ก่อนที่ศิษย์ห้องคนเถื่อนจะวิ่งมาถึง เรือนร่างหนึ่งพลันปรากฎขึ้น ความกระวนกระวายของนางไม่ด้อยไปกว่าหลินหลีแม้แต่น้อย
“ให้ข้าดู!”
คือเสวี่ยอิ่ง นางอยู่กับเล่ยซานมองดูการต่อสู้ตั้งแต่ต้นจนจบ นางรีบวิ่งมาทันทีเมื่อเห็นป๋ายเสี่ยวเฟยหมดสติ
“เขาเสียเลือดมากเกินไป! หยุดเลือดแล้วรีบเตรียมตัวกลับสถาบัน!”
เสวี่ยอิ่งที่ปกติจะเยือกเย็นอยู่ตลอด ในยามนี้นางกังวลไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างมาก นางสงบใจลงได้เมื่อได้ยินเสียงของเล่ยซาน
“ให้ข้าจัดการเอง”