บทที่ 188 จอมยุทธจากอาณาจักรเป่ยเหลียง
บัดนี้เจียงอี้ได้กลายเป็นจอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่เต็มตัวแล้ว ดังนั้นเหรียญตราที่เขาได้รับจึงเป็นสีแดงซึ่งเทียบเท่ากับสองคะแนน
“ถ่ายเทแก่นแท้พลังลงไปในเหรียญเพื่อให้มันจดจำเจ้านาย นอกจากนี้พวกเจ้ายังสามารถใช้มันในการตรวจสอบผู้ที่ถือครองเหรียญตราคนอื่นๆได้ในรัศมีสามร้อยกว่าเมตร”
“ค่ายกลเคลื่อนย้ายจะทำหน้าที่ส่งตัวพวกเจ้าไปยังสถานที่ต่างๆแบบสุ่ม ซึ่งทำให้พวกเจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการถูกล้อมสังหาร สงครามราชอาณาจักรย่อยจะใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น หลังจากที่เวลาหมดลง พวกเจ้าที่ยังรอดชีวิตอยู่จะถูกเคลื่อนย้ายออกมาโดยอัตโนมัติ… เอาล่ะ เข้าไปกันได้แล้ว!”
ทหารหลวงของจักรวรรดิกล่าวอธิบายขั้นตอนพื้นฐาน
เจียงอี้ครุ่นคิดบางเรื่องอยู่ในใจ จากนั้นเขาก็เดินไปหยิบเหรียญตราและเดินเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายอย่างไม่ลังเล
ประกายแสงสีขาวนวลสว่างวาบ เมื่อเจียงอี้ลืมตาขึ้น เขาก็ทำการสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบในทันที เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีจอมยุทธคนอื่นๆอยู่ใกล้ๆ เขาก็รีบเคลื่อนตัวไปยังภูเขาหินซึ่งอยู่เบื้องหน้า
เขาหลบซ่อนตัวอยู่บริเวณนั้นและทำการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมอย่างละเอียด มันมีทั้งพื้นที่รกร้าง เนินเขาเล็กๆซึ่งดูๆไปแล้วก็คล้ายคลึงกับสุสานราชันย์สวรรค์หมื่นมังกรอยู่ไม่น้อย
ท้องฟ้าขมุกขมัว ไม่ปรากฏการคงอยู่ของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์หรือแม้แต่หมู่ดาว มีเพียงแสงสว่างเล็กน้อยและกลิ่นสาบเลือดซึ่งตลบอบอวลไปทั่ว
เจียงอี้เองก็ไม่ทราบแน่ชัดว่ามีเข่นฆ่ามากมายเท่าไหร่กันแน่ในสถานที่แห่งนี้
“เอาเป็นว่าให้เหรียญตราอันนี้จดจำข้าเป็นเจ้านายก่อน จากนั้นก็ค่อยออกตามหาศัตรู!”
เจียงอี้ถ่ายเทแก่นแท้พลังลงไปและเริ่มสัมผัสถึงการเชื่อมต่อระหว่างเข้ากับเหรียญตราได้ในไม่ช้า จากนั้นเขาก็ใช้มันในการสำรวจศัตรูที่อยู่รอบๆ
เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ เขาก็เก็บเหรียญตราลงไปในไข่มุกวิญญาณเพลิงทันที หากว่าไม่มีเหรียญอยู่บนร่าง ก็จะไม่มีใครสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้
เจียงอี้เปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมสีดำพร้อมกับใช้หน้ากากหมาป่าปกปิดใบหน้าเอาไว้ จากนั้นก็เริ่มออกเดินทาง
พรึ่บ!
หลังจากที่วิ่งมาไกลหลายกิโลเมตร เขาก็นำเหรียญตราขึ้นมาและใช้มันตรวจสอบ เมื่อรับรู้แล้วว่าไม่มีศัตรูอยู่ใกล้ๆ เขาก็ออกเดินทางอีกครั้ง
หลังจากที่ออกห่างจากจุดเดิมห้ากิโลเมตร เจียงอี้ก็สังเกตเห็นว่าภูมิประเทศได้มีการเปลี่ยนแปลง มันไม่ใช่ป่าอีกต่อไปแต่เป็นทะเลทราย
ใช่แล้ว ทะเลทราย!
เขาไม่กล้าที่จะเหยียบเข้าไปในทันทีเพราะจะตกเป็นเป้าหมายได้ง่ายเนื่องจากไม่มีที่กำบัง เขาไม่ได้กลัวที่จะเผชิญหน้ากับศัตรู แต่เขาแค่ไม่อยากตกอยู่ในสภาพที่โดนล้อมกรอบ
“หืม?”
เมื่อเจียงอี้นำเหรียญตราออกมาสำรวจศัตรู เขาก็พบว่ามีจุดสีแดงสองจุดปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของเขา
มีคนอยู่ที่นี่!
เขารีบเก็บเหรียญตรากลับไปและกระโดดขึ้นในบนต้นไม้ในทันที จากนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ด้านหน้าเพื่อคอยสังเกตการณ์
ฟึ่บบบ!
พายุทรายม้วนตลบเข้ามาใกล้ ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างเงาสองร่าง เมื่อเศษฝุ่นเริ่มเบาบางลง ความเร็วของพวกมันน่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง เพราะเพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ พวกมันก็มาถึงยังที่ที่เจียงอี้เคยยืนอยู่แล้ว
ดูจากการแต่งกายก็พอจะเดาได้ว่าทั้งสองคนนี้น่าจะมาจากอาณาจักรทางตอนเหนือและยังเป็นจอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่!
จิตสังหารแวบผ่านม่านตาของเจียงอี้ แต่เขายังไม่ได้ลงมือทันทีและหลบซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบเพื่อรอให้สองคนนั้นเข้ามาใกล้กว่านี้
“เอ๊ะ? เมื่อครู่ข้ายังจับสัญญาณของคนผู้หนึ่งได้อยู่เลย มันหายไปไหนแล้ว?”
ชุดเกราะของอาณาจักรเป่ยเหลียงและอาณาจักรเป่ยหมางมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ของอาณาจักรเป่ยหมางจะเรียบง่ายและคล่องตัว ส่วนของอาณาจักรเป่ยเหลียงนั้นจะดูสง่างามกว่าเล็กน้อย
จอมยุทธทั้งสองคนนี้สวมชุดเกราะสีเงินซึ่งถูกออกแบบมาอย่างเรียบหรู เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกมันจะต้องเป็นคนของอาณาจักรเป่ยเหลียง!
ทันทีที่เจียงอี้สัมผัสถึงพวกมัน พวกมันเองก็สัมผัสถึงเจียงอี้ได้เช่นกัน โชคดีที่เขารวดเร็วพอที่จะเก็บเหรียญตรากลับเข้าไปในไข่มุกวิญญาณเพลิงแทบจะในทันที จึงทำให้สองคนนั้นไม่สามารถสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของเขาอีกต่อไป
ฝ่ายตรงข้ามทำการตรวจสอบบริเวณโดยรอบอย่างละเอียดและชะลอฝีเท้าลงเมื่ออยู่ใกล้กับต้นไม้ที่เจียงอี้ซ่อนตัวอยู่
สี่สิบเมตร…
สามสิบเมตร…
ยี่สิบห้าเมตร…
ทันทีที่พวกมันเข้ามาในระยะสิบเมตร เจียงอี้ก็กระโจนออกมาจากต้นไม้ราวกับเสือดาว เขากวัดแกว่งดาบสีดำกลางอากาศและพุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รีรอ
เพลงดาบพิรุณโปรยปราย—พิรุณคิมหันต์โหมกระหน่ำ!
“ห๊ะ?!”
ก่อนที่จอมยุทธทั้งสองจากอาณาจักรเป่ยเหลียงจะรู้ตัว เงามัจจุราชก็ได้เยื้องกรายเข้ามาใกล้แล้ว แต่ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาทั้งชีวิต อย่างน้อยพวกเขาก็ชักดาบออกมาเพื่อป้องกันตัวตามสัญชาตญาณ
ฟับบบ!
แต่น่าเสียดาย เสียงกระทบกันของโลหะที่สมควรจะเกิดขึ้นกลับไม่ปรากฏขึ้น มีเพียงเสียงของอาวุธอันแหลมคมที่เฉือนผ่านวัตถุบางอย่าง ดาบของฝ่ายศัตรูถูกดาบเกล็ดทมิฬของเจียงอี้ตัดผ่านได้อย่างง่ายดายโดยไร้แรงต่อต้านและตรงไปยังส่วนลำคอ
ฟับบบ!
หนึ่งศีรษะถูกสะบั้นขาดกลางอากาศ ส่วนอีกคนมีปฏิกิริยาเร็วพอที่จะถอยหนีได้ทัน แต่โชคร้ายนักที่หน้าไม้สังหารเทพในมือของเจียงอี้ถูกลั่นไกออกไปแล้ว
เมื่อไม่สามารถเตรียมรับมือกับอาวุธสังหารชิ้นที่สองได้ทัน ร่างของคนผู้นั้นก็ถูกศรมรณะเจาะทะลุก่อนที่จะกระอักเลือดออกมา ร่างอันไร้วิญญาณของเขาล้มลงกับพื้นพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความสบสนปนหวาดกลัว
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เจียงอี้ก็ทำการค้นศพของอีกฝ่ายและนำเหรียญตราสีแดงสองชิ้นออกมาก่อนที่จะจากไปอย่างรวดเร็ว
สี่คะแนน!
เขารีบเก็บเหรียญตราสีแดงเข้าไปในไข่มุกวิญญาณโดยพลัน จากนั้นก็พยักหน้าให้กับตัวเองด้วยความพึงพอใจ ดูเหมือนว่าการล่าคะแนนสะสมจะไม่ได้ยุ่งยากมากนัก
เมื่อปราศจากพลังของแก่นแท้พลังสีดำ ดาบเกล็ดทมิฬก็ไม่สามารถถูกยกระดับจนมีอานุภาพเทียบเท่ากับสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังคงเป็นสิ่งประดิษฐ์ระดับวิญญาณซึ่งไม่ใช่อะไรที่สิ่งประดิษฐ์สามัญธรรมดาจะเทียบได้
ที่สำคัญที่สุด เจียงอี้ยังคงมีสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ควบคุมมิติอย่างไข่มุกวิญญาณเพลิงซึ่งทำให้ศัตรูไม่อาจสัมผัสถึงตำแหน่งของเขาได้โดยง่าย
สิ่งประดิษฐ์ประเภทมิตินั้นหาได้ยากยิ่ง คนธรรมดาไม่มีวันที่จะได้ครอบครองมัน ดังนั้นทางฝ่ายศัตรูเองก็คงไม่คิดว่าจะมีใครนำมันออกมาใช้เยี่ยงนี้ สิ่งนี้จึงกลายเป็นข้อได้เปรียบของเจียงอี้ไปโดยปริยาย
เจียงอี้ไม่ได้เข้าไปยังทะเลทรายและเลือกที่จะมุ่งหน้าไปยังทิศของป่าเขา การเดินทางบนทะเลทรายก็เปรียบเสมือนการฆ่าตัวตาย แม้ว่าความเร็วของหมาป่าจันทราสีเงินจะเป็นเลิศ แต่มันก็ไร้ประโยชน์เมื่อถูกศัตรูล้อมกรอบสังหาร
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะเข้าไปในป่าเพื่อหลบซ่อนตัวและต้องทำให้มั่นใจว่าตัวเองไม่ตกเป็นเป้าของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยว
เจียงอี้เดินทางต่อไปเรื่อยๆโดยใช้เหรียญตราสัมผัสถึงสัญญาณของศัตรู เห็นได้ชัดว่าที่ราบหินผลึกมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด เพราะเขาเดินทางมาเกือบสามสิบนาทีแล้ว แต่ก็ไม่พบเจอศัตรูเลยแม้แต่คนเดียว
จุดประสงค์ของสงครามราชอาณาจักรคือการเข่นฆ่าให้ได้มากที่สุด แต่เจียงอี้ก็ยังคงมีข้อยกเว้นบางอย่าง นอกเหนือจากศิษย์พี่ศิษย์น้องจากสำนักจิตอสูร สมาชิกตระกูลจ้านและตระกูลเฉียน คนที่เหลือทั้งหมดถือว่าเป็นศัตรู!
“หืม? มีเหวอยู่ด้านหน้า?”
เมื่อเจียงอี้ข้ามผ่านภูเขาลูกเล็ก เขาก็มองเห็นหุบเหวยักษ์เบื้องหน้า เขามองลงไปด้านล่างด้วยความหวาดเสียวและทำได้เพียงแค่ลอบกลืนน้ำลาย
แม้ว่าที่ราบหินผลึกจะถูกเรียกว่าที่ราบ แต่มันก็มีภูมิประเทศที่พิเศษและแปลกประหลาดมาก หรือว่าข้าจะต้องเปลี่ยนเส้นทางอีกแล้ว? หุบเหวนี้ดูเหมือนว่าจะมีความลึกที่ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีทางเลยที่จะข้ามผ่านมันไปได้
“ลืมไปเสียเถอะ… ดูเหมือนว่าข้าจะต้องหยุดเคลื่อนไหวโดยไม่รู้ทิศทางเสียแล้ว สงครามราชอาณาจักรใช้เวลาตั้งหนึ่งเดือน รอให้พวกมันเข่นฆ่ากันเองสักสองสามวันจะเป็นอะไรไป? เมื่อพวกมันเข่นฆ่าจนพอใจแล้ว ข้าก็จะลงมือและเป็นผู้รับผลประโยชน์คนสุดท้าย ฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้ผุดความคิดอันชั่วร้ายขึ้นมาในหัว สงครามราชอาณาจักรเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะค้นหาจอมยุทธคนอื่นๆ นอกจากนี้พวกมันส่วนใหญ่น่าจะมีเหรียญตราแค่ชิ้นเดียว
ที่ราบหินผลึกกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะค้นหาพวกมันทีละคน ทำไมไม่สู้ให้พวกมันฆ่ากันก่อน แล้วค่อยลงมือสังหารคนที่เหลือรอดภายหลัง? วิธีการนี้จะทำให้สามารถรวบรวมเหรียญตราจำนวนมากได้ในเวลาอันสั้น!