GOI ตอนที่ 65 ฉินหลิงหยานมาตามสัญญา!
เหตุการณ์ที่หน้าประตูสถาบันไม่ได้ทำให้พวกเขามาสาย ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความคาดหวังเมื่อเรียนจบคาบทฤษฏี
เสวี่ยอิ่งได้แจ้งท่านเจ้าสถาบันไปแล้ว ยกเว้นแต่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น พวกเขาจะได้ข่าวคราวจากฉินหลิงหยานในไม่ช้า หลังจากนั้นจะเป็นเวลาทดสอบการฝึกฝนทั้งเดือนของพวกเขา!
“หัวหน้าห้อง เจ้าคิดว่าจะมีคนระดับปรมาจารย์มาหรือไม่?”
ชีเว่ยเดินมาข้างกายป๋ายเสี่ยวเฟย นัยน์ตาโตทอประกายแสงพลางจ้องไปที่เขา ในห้องคนเถื่อน มีเพียงป๋ายเสี่ยวเฟยและสือเฉินเท่านั้นที่ควบคุมกำราบนางได้ พวกที่เหลือไม่อาจเป็นคู่ปรับฝีปากของนาง...
“พวกเรายังมีโอกาสชนะถึงแม้จะมีคนระดับปรมาจารย์ ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจริงจังมากเท่าใด”
ในหนึ่งเดือนนี้ ครึ่งแรกฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนรากฐาน ครึ่งหลังฝึกประมือกับเสวี่ยอิ่งเต็มกำลังวันเว้นวัน
ในตอนแรก พวกเขาไม่อาจต่อต้านได้แม้แต่น้อย แต่พอเวลาผ่านไป พวกเขาก็เริ่มขัดขืนได้เรื่อยๆ จนบางคราถึงกระทั่งได้เปรียบ ในความคิดของพวกเขา ปรมาจารย์ไม่ใช่ตัวตนที่เกินเอื้อมอีกต่อไป!
“ยังไม่ได้เลือกกลยุทธ์ต่อสู้ใช่หรือไม่?”
ชีเว่ยเอ่ยสายตาแฝงความสงสัย นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่นางมาหาเขา
“เราจะตัดสินอีกทีหากไม่มีอะไรผิดพลาด”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยิ้ม คำพูดของเขาทำให้ทุกคนผ่อนคลายเพราะหากมีป๋ายเสี่ยวเฟยเป็นผู้คิดค้นกลยุทธ์ โอกาสได้รับชัยชนะจะมากกว่าเดิมอย่างน้อยสามในสิบส่วน!
ทุกคนพูดคุยสัพเพเหระไปเรื่อย มีเพียงหลินหลีที่นั่งเงียบอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวเฟย ขณะที่โม่ข่าและคนอื่นแข็งแกร่งขึ้นมากในหนึ่งเดือนมานี้ หลินหลีมีการแสดงออกทางสีหน้ามากกว่าเดิม อย่างน้อยใบหน้าของนางก็ไม่แข็งทื่อราวท่อนไม้อีกต่อไป
เช่นเดียวกับความไว้เนื้อเชื่อใจที่เพิ่มพูนทุกวันและการที่นางพึ่งป๋ายเสี่ยวเฟยมากขึ้นเรื่อยๆ
“ข้าวเที่ยงมาแล้ว!”
ฟางเย่ที่ได้กลายมาเป็นผู้จัดการของห้องคนเถื่อนวิ่งมาอย่างตื่นเต้น หวังหาง ต้าหมิงและเสี่ยวหมิงอยู่ข้างหลังแบกของมากมาย คนที่มีความสุขที่สุดจากการปล้นหน้าประตูหลักไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฟางเย่ เป็นเพราะหากไม่ได้เงินก้อนนั้นเขาคงต้องขายหินชิงหลัวบ้างเป็นแน่แท้...
เมื่อเปิดกล่องอาหาร พืชผักหลายสีหลากชนิดพลันปรากฎขึ้นในครรลองสายตา ทั้งกลุ่มอดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหล
ถึงแม้เนื้อสัตว์อสูรจะอร่อย แต่ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องเบื่อหากกินไปสักเดือน ผักผลไม้คือสิ่งล้ำค่าที่สุดสำหรับห้องคนเถื่อน!
อาหารสำหรับสามสิบคนถูกแจกจ่ายและกวาดล้างภายในชั่วพริบตา ทั้งกลุ่มร้องไห้พลางเคี้ยวกินราวกับขอทานที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องมาหลายวัน...
“ไม่ได้เจอกันหนึ่งเดือน ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้ายังกินเช่นนี้อยู่!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยกำลังทานอาหารอย่างเบิกบานใจเสียงเย็นชาของฉินหลิงหยานก็ดังขึ้นมา ในชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนหยุดขยับตะเกียบในมือ
“ข้าก็คิดอยู่แล้วเชียวว่าใคร นั่นมันศิษย์พี่หญิงหลิงหยานมิใช่หรือ สือขุย ไปเอาเก้าอี้มาให้นาง!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเช็ดปากรีบลุกขึ้นเอ่ยราวกับพวกเขาสนิทชิดเชื้อกันอย่างมาก
“ไม่จำเป็น ความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ได้ดีถึงขนาดมานั่งคุยด้วยกันได้ ข้าเพียงมาบอกให้เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมเพราะเราจะจบทุกอย่างในคืนนี้!”
ฉินหลิงหยานเก็บสีหน้าดูถูกเหยียดหยามออกไป ที่ปรากฎขึ้นใหม่คือความมุ่งมั่น
“ศิษย์พี่หญิง ท่านให้เวลาพวกเราอีกสองวันมิได้หรือ?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเผยสีหน้าลำบากใจราวกับหวังว่า ‘จบ’ ที่ฉินหลิงหยานพูดถึงจะไม่มีวันมา
“ข้าให้เวลาหนึ่งเดือนเพื่อเตรียมพร้อมแล้ว เจ้ายังต้องการอะไรอีก? หรือเจ้าอยากมีชื่ออยู่ในอันดับค่าหัว?”
ฉินหลิงหยานแค่นเสียงเย็นชาเผยสีหน้าดูหมิ่นให้ป๋ายเสี่ยวเฟย
“ที่ไหน? ต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่? ศิษย์พี่หญิง ท่านคงไม่ได้จัดฉากวางแผนรอให้ข้าเดินไปตกหลุมพลางหรอกนะ?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเผ่ยมีสีหน้าราวกับเขาเป็นผู้ถูกกระทำ
“ข้าจะต้องวางแผนอันใดเพื่อจัดการเจ้า? นอกจากนัดประลองตอนหกโมงเย็นแล้วที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเจ้า แต่อย่าได้วางแผนเล่นลูกไม้ มิเช่นนั้นเจ้าจะทรมานยิ่งกว่าเดิม!”
ฉินหลิงหยานตักเตือนในคำพูดแต่ภายในใจนางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ในระหว่างหนึ่งเดือนมานี้นางได้ให้ความสนใจกับป๋ายเสี่ยวเฟยมากและจากข่าวคราวที่รวบรวมมา นางพบว่าป๋ายเสี่ยวเฟยไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน นางจึงหวาดเกรงว่าป๋ายเสี่ยวเฟยจะมีเล่ห์กลที่นางไม่รู้ซ่อนไว้อยู่
หนึ่งหรือสองคราอาจเป็นเพียงความบังเอิญ แต่สามถึงสี่ครั้งแปลว่ามีบางสิ่งผิดไป!
ป๋ายเสี่ยวเฟยข่มกลั้นความรื่นรมย์ในใจ เขาเผยสีหน้าเป็นกังวล
“ยืดเวลาออกไปไม่ได้จริงๆ หรือ?”
ฉินหลิงหยานกลอกตาอย่างเหลืออด
“เจ้าจะไม่มีทางชนะด้วยความสามารถของเจ้า!”
นางไม่ได้เสียเวลากับป๋ายเสี่ยวเฟยอีกต่อไป ฉินหลิงหยานหันหลังกลับเมื่อเอ่ยเช่นนี้
ทั้งกลุ่มตะโกนอย่างกราดเกรี้ยวทันทีเมื่อนางจากไป
บ้างก็ด่าทอว่านางเย่อหยิ่ง บ้างก็ขำขันกับความโฉดเขลา ถึงกับมีบางคนที่วางแผนเตรียมฉลองชัยชนะในคืนนี้
สำหรับพวกเขาแล้ว ฉินหลิงหยานได้ทำพลาดครั้งใหญ่ นางประเมินป๋ายเสี่ยวเฟยต่ำเกินไป!
“เอาล่ะ เงียบเสียงเสียที เรายังต้องเตรียมการก่อนที่คาบเที่ยงจะเริ่มเพราะนางไม่เหลือเวลาให้เรามากนัก!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยบอกให้ทุกคนเงียบ ใบหน้ามีความมั่นใจถึงชัยชนะก่อนจะแจกแจงหน้าที่ให้ทุกคน
ไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่มีอารมณ์ฟังคาบเรียนในช่วงเที่ยง ในสมองพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความมุ่งหวังรอคอยถึงการประลองยามดึก ในอีกด้าน ป๋ายเสี่ยวเฟยผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เขาถามนู่นนี่กับอาจารย์ที่สอนเพราะเขาไม่เคยได้เรียนทฤษฏีในหุบเขาวีรบุรุษ!
เวลาไหลผ่านไปอย่างแช่มช้า ไม่นานนักระฆังเป็นตัวส่งสัญญาณว่าเวลาของคาบเรียนได้จบลง เมื่ออาจารย์ใส่แว่นที่สอนเรื่องสงครามเอ่ยจบคาบ ทั้งหมดลุกขึ้นยืนทำความเคารพก่อนจะวิ่งออกจากห้องเรียน มีเพียงป๋ายเสี่ยวเฟยและหลินหลีที่ยังอยู่
ไม่นานนักเสวี่ยอิ่งที่ไปพักผ่อนอยู่ที่ใดไม่มีใครทราบก็เดินเนิบนาบเข้ามา นางผ่อนคลายขึ้นเมื่อเห็นรรอยยิ้มบนใบหน้าป๋ายเสี่ยวเฟย
“ทุกอย่างพร้อมแล้วหรือ?”
มันไม่ใช่คำถามแต่นางเอ่ยเพราะความเป็นห่วง
“เกือบแล้ว ไม่มีใครทำได้สมบูรณ์แบบหรอก”
ป๋ายเสี่ยวเฟยแย้มยิ้ม เขาไม่รู้ว่าควรทำสีหน้าเช่นใดดีในขณะนี้ อย่างไรเสียหลินหลีก็อยู่ที่นี่
ในหนึ่งเดือนที่พวกเขาอยู่ในเทือกเขาไร้ขอบเขตทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่ส่วนใหญ่เพียงเพื่อฝึกประลองหรือคุยเล่นในป่า และ ‘เหตุการณ์พิเศษ’ ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นไม่ได้ปรากฎขึ้นอีก
ทั้งคู่ไม่อาจอธิบายได้ว่าพวกเขาอยู่ในสถานะเช่นไร แต่ไม่มีทางที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเป็นความสัมพันธ์บริสุทธิ์ระหว่างศิษย์อาจารย์...
“ท่านเจ้าสถาบันจะรับชมด้วย ฉะนั้นอย่าทำเกินเลย”
เสวี่ยอิ่งเอ่ยเตือนอย่างระมัดระวัง นางไม่ได้กลัวว่าป๋ายเสี่ยวเฟยจะพ่ายแพ้เพราะขนาดนางยังเชื่อมั่นแบบหลับหูหลับตาในตัวป๋ายเสี่ยวเฟย
“นั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้า หากข้าไม่เล่นแรง ข้าคงจะเป็นคนที่ถูกอัดจนเละ”
แผนการคือสิ่งที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่มีความคิดที่จะยั้งมือแม้แต่น้อย...
“ข้าสืบมาแล้ว ฉินหลิงหยานผู้นั้นคือลูกสาวคนโตของมาร์ควิสหยุนเชิงแห่งจักรวรรดิสื่อจิง เจ้าควรออมมือไว้บ้างเพราะเจ้าไม่ได้อยู่ในสถาบันชิงหลัวตลอดชีวิต และเจ้าต้องคิดถึงอำนาจต่างๆ เมื่อเจ้าออกจากไป”
ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ได้กล่าวอันใดกับคำเตือนของเสวี่ยอิ่ง เขาเดินช้าๆ ไปอยู่ตรงหน้านางจ้องมองไปยังนัยน์ตาคู่นั้น
“ข้าจะจำใส่ใจไว้”
เสวี่ยอิ่งอดไม่ได้ที่จะเหม่อมองป๋ายเสี่ยวเฟยเมื่อได้ยินสุ้มเสียงอ่อนโยน ใบหน้ากล้าหาญไม่เกรงกลัวใครของนางแดงซ่านเล็กน้อย...