เซียนเหนือวิถี บาทที่ 130 (ฟรี)
บาทที่ 130
พวกเขาพากันไปยังร้านอาหารใกล้เคียงกับบริเวณนั้นก่อนที่จะนั่งพูดคุยกันเป็นกลุ่มใหญ่
“บอกกล่าวกับพวกท่าน พวกเราเคยมีมังกรสีชาดอยู่ในป่าแห่งนี้ แต่จากการต่อสู้กับฝ่ายที่อ้างตัวเป็นธรรมะนั้น ทำให้มังกรสีชาดที่พวกเรามีอยู่นั้นบาดเจ็บหนักไม่อาจที่จะทำอะไรได้นอกจากออกไข่ ซึ่งตอนนี้ก็มีกว่ายี่สิบฟอง แต่นอกเหนือจากนี้กระทั่งฟักไข่เองก็ยังทำไม่ได้ หากมังกรเพลิงสีชาดตัวนี้สิ้นชีพไป มังกรเพลิงสีชาดก็คงสิ้นสูญไปจากป่าแห่งนี้” เสือดำมารกล่าว นอกจากเสียงที่ห้าวและพูดจาแบบตรงไปตรงมาแล้ว ก็ดูไม่มีพิษภัยใด
หงเซียวเริ่มเข้าใจในสำนักหมื่นอสูรขึ้นมาบ้าง เขาคาดว่าคนสำนักหมื่นอสูรส่วนใหญ่ก็คงเป็นเช่นนี้ เช่นเดียวกับสัตว์อสูร บ้างก็ตรงไปตรงมา บ้างก็อาจจะเจ้าเล่ห์เพทุบายตามรูปแบบของสัตว์อสูรที่ตนเองหลอมเลือดด้วย ซึ่งหากเปรียบกับมนุษย์แล้วก็ดูจะมีความซับซ้อนของจิตใจน้อยกว่า อาจจะค่อนข้างซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาเสียด้วยซ้ำไป
“สำนักของพวกเราตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลป่าแห่งนี้ให้มีสัตว์อสูรหลากหลายสายพันธุ์ รักษาสมดุลระหว่างมนุษย์และสัตว์ และช่วยเหลือสัตว์ไม่ให้ถูกมนุษย์รุกรานจนสูญสิ้นไป และพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันได้” เสือดำมารเซียวหลีกล่าวต่อ
หงเซียวฟังดูแล้วเขาก็คิดไปว่า หากว่าเป็นเช่นนี้สำนักนี้ไม่ควรที่จะจัดอยู่ในฝ่ายอธรรม ควรจะถือเป็นกลุ่มนักอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าเสียมากกว่า และที่ทำให้สำนักนี้ดูใจกว้าง นั่นก็เพราะว่าต้องการเผยแพร่อุดมการณ์ของตนเองออกไป
พรึบพรึบ เสียงนกกระพือปีกดังมาและไม่นานนักนกตัวใหญ่สีดำก็ร่อนลงกลางถนน
“โอ ท่านผู้อาวุโสมาเอง” เซียวหลีกล่าว พร้อมกับโบกมือออกไปจากหน้าต่างของร้านอาหาร “ทางนี้ท่านผู้อาวุโส”
ชายชราคนหนึ่งโบกชายเสื้อสีดำ ตอนแรกพวกหงเซียวมองไม่เห็นจวบจนกระทั่งอีกฝ่ายร่อนแยกออกจากหลังนกเหมือนกับขนนกที่ปลิวออกมา โฉบเข้ามาในร้านอาหารราวกับนกตัวใหญ่อย่างรวดเร็ว เขามีร่างผอมเกร็งดูคล้ายกับนกสีดำตัวนั้นมาก
เสือดำมารเซียวหลีตรงเข้าไปทักทาย “ท่านผู้อาวุโสหวี่หัง พี่ท่านนี้ชื่อกุ่ยสู่เซียว เขายินดีจะฟักไข่มังกรเพลิงสีชาดให้กับพวกเราแลกกับการให้พวกเขาเข้าไปอ่านตำราในชั้นคัมภีร์ของพวกเรา” เขากล่าวสรุปอีกครั้ง
“กุ่ยสู่เซียว หากเจ้าฟักไข่มังกรเพลิงสีชาดให้พวกเราทั้งหมดยี่สิบเจ็ดฟอง พวกเรายินดีที่จะให้พวกเจ้าเข้าไปศึกษาวิชาอื่นในนั้นนอกจากวิชาหลอมเลือดของสำนักหมื่นอสูร เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง” ผู้อาวุโสหวี่หังกล่าว “แต่ถ้าเจ้าต้องการศึกษาวิชาหลอมเลือดของสำนักหมื่นอสูรแล้ว เจ้าก็ต้องมีข้อเสนอมากกว่านั้น”
“ตกลง แต่ในระหว่างที่ข้าฟักไข่นี้ พวกเราต้องการเนื้อสัตว์อสูรและแก่นปราณสำหรับเลื่อนระดับด้วย” หงเซียวกล่าว
“นั่นไม่มีปัญหา พวกเราจะจัดหาให้เจ้า” ผู้อาวุโสกล่าว
เมื่อเห็นว่าทุกฝ่ายตกลงกันแล้ว ขณะที่กำลังจะออกไปจากร้านอาหาร จิวหูก็กล่าวขึ้นกับหงเซียวว่า “นายท่าน ข้า...”
หงเซียวเพียงยิ้มกล่าวสั้นๆว่า “มากับพวกเรา”
จิวหูเกิดความตื่นเต้นขึ้นมาโดยพลัน ประสานมือกล่าวว่า “ขอบคุณนายท่าน”
พวกเขาพากันเดินทางออกนอกเมือง และวิ่งเข้าไปในป่าติดตามสัตว์อสูรที่วิ่งอยู่เบื้องหน้า มีเพียงจิวหูที่วิ่งติดตามอย่างยากลำบากจนหงเซียวต้องใช้ลมช่วยพยุงเอาไว้ อีกฝ่ายจึงค่อยวิ่งได้สบายขึ้น
พวกเขาวิ่งเข้าไปในทางด่านสัตว์ ที่เป็นทางเดินประจำของสัตว์ป่า ซึ่งตัดกันมากมายหลายเส้นทางทั้งวกไปวนมา ดังนั้นหากไม่มีสัตว์อสูรพวกนี้นำทาง พวกเขาเชื่อว่าต่อให้เข้ามาอีกหลายครั้งก็ยังเดินทางไปไม่ถูก
วิ่งอยู่ครึ่งวัน ทางด่านสัตว์ก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นถนนดิน และถนนศิลา ขณะที่ต้นไม้ก็ยิ่งสูงใหญ่และดิบทึบยิ่งขึ้น สุดท้ายเขาก็เห็นประตูที่จัดสร้างขึ้นด้วยท่อนซุงขนาดมหึมา ขณะที่ต้นไม้รอบข้างหนาแน่นจนไม่มีทางเดินและเปลี่ยนไปเป็นเหมือนกับกำแพงต้นไม้
เมื่อผ่านประตูเข้าไป ด้านในกลับเป็นพื้นที่โล่งกว้าง มีต้นไม้อยู่ประปราย เมื่อมองกลับไปยังกำแพงก็เห็นว่ามันคือต้นไม้ขนาดยักษ์ที่งอกรากฝังอยู่กับพื้นเบียดชิดติดกัน
พื้นที่ด้านในนี้กว้างมาก และมีรั้วทำด้วยท่อนไม้ขนาดใหญ่วางอยู่บนพื้น ด้านในรั้วแต่ละพื้นที่จะมีสัตว์อสูรอยู่จำนวนหนึ่งเดินไปมาอยู่ภายในนั้น และมีบ้านพักอาศัยอยู่ในพื้นที่เหล่านั้น
รั้วนี้เหมือนกับเครื่องหมายกำหนดอาณาเขตมากกว่าที่จะเป็นรั้วอย่างจริงจัง ในเมื่อสัตว์อสูรส่วนใหญ่แล้วสูงใหญ่ เมื่อวางรั้วนี้ลงกับพื้น ก็เหมือนเราวางหมอนข้างไว้ข้างตัวขณะที่กำลังนั่ง ซึ่งเราสามารถข้ามไปได้อย่างสบายตลอดเวลาหากว่าต้องการ
พวกเขาวิ่งไปตามเส้นทางมุ่งลึกเข้าไปข้างใน ตอนนี้หงเซียวชักจะมั่นใจว่านี่เป็นองค์กรปกป้องสัตว์มากกว่าจะเป็นฝ่ายอธรรมหรือฝ่ายธรรมะ
เส้นทางจบลงที่อาคารที่ใหญ่ที่สุด สร้างจากท่อนไม้ใหญ่กว่ายี่สิบคนโอบนับพันต้น
เพราะว่าต้นไม้นับพันต้นนี้ถูกตั้งขึ้นแล้วยึดเข้าด้วยกัน จึงกลายเป็นเหมือนกับตึกระฟ้าที่จัดสร้างด้วยไม้ หงเซียวแหงนมองและประมาณความสูงว่าน่าจะมีความสูงถึงพันเมตร ซึ่งนับว่ายิ่งใหญ่มากสำหรับยุคนี้ จนทุกคนที่เพิ่งมาถึงต่างพากันมองด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง โดยมีสายตาของคนของสำนักหมื่นอสูรมองดูพวกเขาด้วยความพึงพอใจกับสีหน้านี้
ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาก็เคยมีสีหน้าแบบนี้มาก่อนยามเมื่อมาถึงที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก ได้เป็นศิษย์ของที่นี่
เสือดำมารเซียวหลีนำหงเซียวและพวกไปพบกับผู้อาวุโสหวี่หังที่ได้บินมารอพวกเขาอยู่แล้วที่หน้าอาคารระฟ้านี้ ซึ่งผู้อาวุโสก็ได้พาหงเซียวและพวกเข้าไปในอาคารซึ่งแบ่งเป็นชั้นๆด้วยพื้นไม้ซุง
ชั้นล่างสุดก็คืองานบริการ ผู้อาวุโสหวี่หังได้ทำการแจ้งให้เจ้าหน้าที่จัดเตรียมสถานที่และป้ายประจำตัวแขกให้กับพวกหงเซียวทุกคน พร้อมกับสิทธิ์ในการเข้าออกพื้นที่ชั้นคัมภีร์ยกเว้นคัมภีร์หวงห้าม จากนั้นผู้อาวุโสหวี่หังก็ได้พาหงเซียวและพวกติดตามเจ้าหน้าที่จัดเตรียมสถานที่ไป
พวกเขาเดินลัดเลาะไปตามทางแยกย่อยระหว่างท่อนซุงที่วางเป็นอาณาเขตอยู่ จนในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็พาพวกเขาเข้าไปยังอาณาเขตที่มีขนาดกว้างใหญ่เช่นเดียวกับอาณาเขตอื่น และกล่าวว่า “ที่นี่จะเป็นที่พำนักของพวกท่านทั้งสิบสามคน อาคารที่อยู่ตรงกลางพื้นที่นั้นมีห้องทั้งหมดสิบห้าห้อง น่าจะเพียงพอกับพวกท่านทุกคน”
“นับว่าเพียงพอ” หงเซียวกล่าว
“ส่วนสำหรับอาหารและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆนั้น จะจัดส่งให้ทุกเช้า หากพวกท่านต้องการสิ่งใดเพิิ่มเติมสามารถบอกพวกเราได้ในตอนเช้านั้นเลย ซึ่งหากเป็นเรื่องเร่งด่วนหรือสำคัญใดพวกเราจะจัดส่งให้หลังจากนั้นภายในหนึ่งชั่วโมง และถ้าไม่ได้เป็นเรื่องเร่งด่วนพวกเราจะจัดส่งมาพร้อมกับสิ่งของยามเช้าในวันถัดไป” เจ้าหน้าที่กล่าวต่อ
“เข้าใจแล้ว” หงเซียวรับคำ
“ถ้าท่านไม่มีคำถามอะไรแล้ว ข้าก็จะขอตัวลา” เจ้าหน้าที่กล่าว ก่อนจะหันกายจากไป
ในพื้นที่นั้นเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่มีพื้นที่อาจจะถึงด้านละห้าร้อยเมตรหรือครึ่งกิโลเมตรจากการประเมินของพวกเขา นับว่าคนของสำนักหมื่นอสูรนั้นใช้ชีวิตอย่างอิสระเป็นอย่างมาก
พวกเขาทะยานไปยังบ้านที่ตั้งอยู่กึ่งกลางอาณาเขตนั้น เมื่อมองไกลๆจะเห็นว่ามีสัตว์อสูรเดินอยู่ในอาณาเขตที่อยู่รอบข้าง ในขณะที่อาณาเขตนี้ไม่มีสัตว์อสูรแม้แต่ตัวเดียว ผิดแล้ว อย่างน้อยควรจะนับว่ามีมังกรเพลิงสีชาดของจินหลินอยู่หนึ่งตัว
ไม่นานนักพวกเขาก็ถึงตัวบ้าน บ้านนี้ถูกจัดสร้างขึ้นด้วยท่อนซุงทั้งหลังซึ่งแต่ละท่อนมีขนาดใหญ่เท่ากับต้นขา เป็นบ้านสองชั้น ชั้นล่างเป็นห้องโถงใหญ่ ห้องน้ำ และห้องครัว หลังบ้านเป็นบ่อน้ำ ชั้นบนเป็นห้องสิบสองห้อง มีห้องใหญ่สองห้อง และห้องเล็กอีกสิบห้อง
สองห้องใหญ่ถูกหงเซียวและสี่สาวจับจอง แน่นอนว่าไม่มีใครแย่งพวกเขา ในเมื่อห้องเล็กมีถึงสิบห้องเพียงพอให้คนแปดคนที่เหลือพัก
เนื่องจากว่าหงเซียวมัวแต่วุ่นวายจนไม่มีเวลาที่จะสร้างร่างจิตเทียมใหม่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ดังนั้นเวลานี้เขาจึงใช้ห้องใหญ่ห้องหนึ่งเป็นที่ทำการโคจรพลังเซียนสร้างร่างจิตเทียม สิ่งที่จำเป็นในการสร้างดวงไฟเพื่อฟักไข่ของมังกรเพลิงสีชาด
แม้ว่าชีพจรเซียนจะไม่จำเป็นในการโคจรพลังเซียน แต่มันก็ใช้เป็นที่กักเก็บพลังเซียนยามไม่ใช้งานและกลั่นกรองคุณภาพของพลังเซียนให้มีความบริสุทธิ์ที่สูงกว่าเดิมได้ และเมื่อหงเซียวมีชีพจรเซียนในร่าง ถึงแม้ว่าจะเป็นจุดเดียวกันสามจุดและเป็นชีพจรเซียนที่แสนอ่อนแอ อีกทั้งเป็นชีพจรเซียนที่ไม่ตรงกับวิชาเซียนที่เขาใช้ แต่ก็สามารถช่วยกักเก็บพลังเซียนได้เท่ากับชีพจรเซียนปกติจุดเดียวได้ แม้ว่าจะไม่สามารถเพิ่มความบริสุทธิ์ได้มากนัก
ร่างจิตเทียมที่หงเซียวสร้างขึ้นมาใหม่นี้แข็งแกร่งขึ้น เขาสามารถสร้างเป็นร่างจิตเทียมที่มีรูปร่างเห็นชัดเจนได้ด้วย หงเซียวเริ่มเห็นคุณค่าของชีพจรเซียนแม้ว่าจะเป็นชีพจรเซียนที่อ่อนด้อยแค่ไหนก็ตาม
แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้สร้างให้แตกต่างจากแบบเดิม เขาชอบให้มันไร้รูปไร้ร่างมากกว่า และเขาพบว่าเมื่อใช้พลังเซียนที่ผ่านการกลั่นกรองจากชีพจรเซียนจนมีความบริสุทธิ์ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เมื่อใช้พลังหมอกปีศาจวิญญาณกลับไม่สามารถมองเห็นวิญญาณในร่างจิตเทียมได้อีกต่อไป
แม้จะรองรับพลังปราณได้แค่ระดับหนึ่งเขตชีพจรปราณเท่ากัน แต่ก็สามารถรองรับปริมาณพลังปราณได้มากกว่าเกือบเท่าตัว สร้างความแปลกใจให้กับหงเซียวยิ่งนัก และทำให้หงเซียวตระหนักถึงความสำคัญของชีพจรเซียน
อา เขาจะต้องสร้างชีพจรเซียนให้ได้ จะต้องสร้างชีพจรเซียนที่แข็งแกร่งสามารถพัฒนาไปในระดับสูงต่อไปได้ ไม่ใช่ติดอยู่แค่ระดับแรกของเซียนแบบชีพจรที่อยู่ในร่างของเขาตอนนี้
อย่างน้อยชีพจรเซียนระดับชิวเยว่ก็ยังดี