ตอนที่แล้วบทที่ 334 - คลื่นลูกสุดท้าย (4) [02-03-2021]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 336 - คลื่นลูกสุดท้าย (6) [06-03-2021]

บทที่ 335 - คลื่นลูกสุดท้าย (5) [04-03-2021]


บทที่ 335 - คลื่นลูกสุดท้าย (5)

รีไววอร์ลได้อยู่ในตำแหน่งสำคัญของโลกอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว

ในอดีต กลุ่มผู้พิทักษ์หรือองค์กรรัฐบาลอื่นๆได้ติดตามการกระทำของรีไววอร์ลอย่างใกล้ชิด และสื่อมวลชนทุกชนิดต่างก็วิเคราะห์ในสถานการณ์กันอย่างวุ่นวาย แต่ในตอนนี้รีไววอร์ลเพียงแค่ต้องพูดออกไปก็จะได้สิ่งที่ต้องการกลับมาแล้ว จริงๆระดับความสำคัญได้พุ่งไปจนถึงระดับที่น่าหวาดกลัวแล้ว

ฉันเพิ่งมารู้เอาในตอนฉันได้กลับมาจัดการงานบนโลก ท่ามกลางงานที่ฉันต้องทำ สิ่งแรกที่ต้องแก้ไขเลยก็คือการปะทุของดันเจี้ยนที่จะเกิดขึ้นในเวลาต่ำกว่าสองเดือน

เพราะเคียร่าทำให้ราได้รู้ว่าการปะทุของดันเจี้ยนในครั้งที่สี่นี้จะไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ ในคราวนี้ปีศาจจากทวีปลูก้าจะบุกเข้ามาที่โลกโดยตรง

ถึงแม้ว่าเราจะหยุดพวกมันไม่ให้พวกมันมาไม่ได้ แต่การได้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้ทำให้เราได้มีเวลาเตรียมตัวรับมือ

อย่างแรกฉันได้เรียกสมาชิกรีไววอร์ลทุกคนที่ว่างอยู่มาที่บ้านกิลด์ และระหว่างรอฉันได้ฝึกใช้เวทย์มิติ หลังจากผ่านไปประมาณ 10 นาที ประตูห้องประชุมก็ได้ถูกเปิดขึ้นและฮวาหยาก็ได้เดินเข้ามา

ครั้งก่อนที่เจอกันฉันได้ยินมาว่าเธอกำลังไปบียอนด์ชั้นที่ 24 ฉันสงสัยว่านี่เธอยอมตายเพื่อที่จะมาประชุมครั้งนี่หรือป่าวนะ หากไม่นั่นมันก็หมายความว่าเธอได้เคลียร์ชั้นนั้นได้ในระยะเวลาสั้นๆ! นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอดูเหนื่อยมากสินะ

"ชิน เคียร่าได้เดินฮัมเพลงไปทั่วพร้อมอวดออกมาอย่างภูมิใจ นายทำอะไรลงไปงั้นหรอ?"

"ฮวาหยา ไม่ใช่ว่าเธอควรพูดเรื่องที่สำคัญกว่านั้นหรอกหรอ?"

"จริงด้วยสิ"

ฮวาหยาได้เปลื่ยนท่าทีของเธอไปและถอนหายใจออกมา เสียงถอนหายใจของเธอฟังดูเหมือนพนักงานเงินเดือนวัยกลางคนที่ไม่ได้รับขึ้นเงินเดือนมานานแล้ว

เธอได้พูดออกมาด้วยสีหน้าน่าสงสาร

"พรของชินไม่ได้อยู่นานนัก มอบพรให้ฉันอีกทีนึงสิ พรที่แข็งแกร่ง"

"ฉันรู้นะว่าเธออยากหนีจากความจริง แต่นี่มันไม่ตลกเลย... มานี่มา"

"อื้อ!"

เมื่อฉันได้ให้พรกับเธอตามที่เธอต้องการ สีหน้าเธอก็สดใสขึ้นมา แต่ดูเหมือนเธอจะไม่พอใจแค่การได้พรเท่านั้นทำให้เธอเธอเข้ามากอดฉัน

เมื่อเทียบกับส่วนสูงแล้ว น้ำหนักของเธอเบามากๆ เบาจนฉันต้องเป็นกังวลกับเธอ ฮวาหยาได้กระซิบออกมาเบาๆราวกับจะยืนยันในความคิดของฉัน

"ชิน ฉันรู้ว่าชินรีบอยู่... แต่ว่าฉันขออยู่แบบนี้ซักพักนะ"

"ได้สิ"

"หุหุ เป็นอ้อมแขนที่น่าเชื่อถือต่างกับการกระทำเลยนะ"

"เงียบน่า"

มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ฮวาหยาจะทำตัวเอาแต่ใจได้ และเพราะแบบนี้ฉันจึงยินดีที่ช่วยเธอได้

ในตอนนี้เองประตูก็ได้ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง

"อืมม"

คนที่เดินเข้ามาในจังหวะนี้นั่นก็คือวอร์คเกอร์ เพราะฮวาหยายังอยู่ในอ้อมกอดของฉันทำให้เธอไม่ได้รู้เลยว่าใครเดินเข้ามา เมื่อวอร์คเกอร์มองเข้ามาเห็นฉัน เขาได้แสยะยิ้มออกมาทันที

"ดูเหมือนฉันจะเข้ามาผิดจังหวะนะ"

"นั่งลงแล้วอยู่เงียบๆไปเลยวอร์คเกอร์"

ฮวาหยาได้พึมพัมออกมาโดยไม่หันไปมองหรือดึงตัวออกไป หากว่าเป็นวันอื่นๆมันก็คงจะไม่แปลกเลยหากเธอยิงบอลเพลิงเข้าใส่เขา วอร์คเกอร์ดูจะรู้เรื่องนี้ดีทำให้เขาได้นั่งลงไปด้วยรอยยิ้มแห้งๆ

"ดูแลเธอให้ดีนะคังชิน เมื่อไหร่ที่เธอไม่ได้อยู่ตรงหน้านาย เธอจะดูอ่อนล้าหมดแรงมากๆเลยล่ะ หากว่านายทิ้งเธอไป นายคงได้ตกนรกแน่"

"มันจะไม่มีวันเกิดขึ้น นายไปเป็นห่วงเรื่องโซฟีเถอะน่า"

"อะไรนะ?"

จากนั้นโซฟีก็ได้เดินเข้ามาผ่านประตูที่เปิดอยู่ ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น แต่ยุย รูเดีย เยอึน พ่อและสมาชิกคนอื่นๆก็ได้เดินเข้ามาพร้อมๆกัน ยุยได้ขมวดคิ้วขึ้นมาเมื่อได้เห็นฉันับฮวาหยา และในที่สุดฮวาหยาก็ถอนตัวออกมาพร้อมบ่นพึมพัมอีกครั้งหนึ่ง

ฉันได้ใช้มือที่ว่างอยู่หยิบเอกสารที่เคียร่าค้นคว้าขึ้นมา

"อย่างที่ได้บอกไป ฉันอยากที่จะคุยกับทุกๆคนเรื่องการปะทุของดันเจี้ยนที่กำลังจะมาถึง ทุกๆคนน่าจะรู้เรื่องความสามารถในการเห็นอนาคตของเคียร่าใช่ไหม?"

เพราะแบบนี้ฉันก็ได้อธิบายถึงเรื่องการที่ทวีปลูก้าได้มาซ้อนทับเข้ากับโลก ทุกๆคนได้ฟังเรื่องนี้ด้วยความมึนงง

ซ้อนทับกับโลก มันเหมือนกันกับเหตุการณ์ดันเจี้ยนที่เปลื่ยนเป็นพื้นที่ดันเจี้ยนหากปล่อยทิ้งเอาไว้ ดินแดนพวกนั้นจะไม่สามารถเปลื่ยนแปลงกลับคืนมาได้ตลอดกาล

"ระ รอเดี๋ยวสิ"

โซฟีได้พูดออกมาด้วยสีหน้าเหมือนกำลังปวดหัวอย่างรุนแรง

"การปะทุ... การทำนาย?"

"โซฟี นี่อาจจะน่าตกใจเล็กๆนะ แต่ว่า..."

ฉันสงสัยว่ามันได้เริ่มขึ้นตอนไหน ตอนที่ฉันเชี่ยวชาญวงจรเพรูต้า และสร้างร่างใหม่ขึ้นมา? หรือตอนที่ฆ่าราชาสรรพสัตว์? ฉันไม่รู้เลยว่าตอนไหนที่มันเป็นแบบนั้น แต่ว่ามีจุดหนึ่งที่มั่นใจได้คือเหมือนฉันจะได้รับสัญชาตญาณบางอย่างมา นอกไปจากนี้สัญชาตญาณนี้จะแข็งแกร่งเป็นพิเศษเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับพลังแห่งโลก ฮีโร่ และศัตรูของโลก

มันไม่ได้เหมือนกับพลังในการเห็นอนาคตของเคียร่า ฉันเชื่อว่านี่มันเกิดขึ้นเองจากระดับพลังของฉันที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะยังไงสัญชาตญาณนี้ของฉันมันทรงพลังมาก ฉันได้พูดถึงข้อความที่สัญชาตญาณของฉันส่งมาออกไป

"นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว"

"ครั้งสุดท้าย?... อ่า"

โซฟีกับคนอื่นๆที่ยังไม่แน่ใจกับสถานการณ์ได้หน้าซีดลงไป จากนั้นฉันได้แสดงแผนที่โลกออกมา นี่คือผลจากการสำรวจและวิเคราะห์ของซัคคิวบิที่ใช้เวลาไปอย่างมหาศาล

"พวกเราไม่รู้ว่าทวีปลูก้าใหญ่ขนาดไหน ไม่รู้ด้วยว่ามอนสเตอร์บนโลกนั้นมีขนาดใหญ่แค่ไหน แต่ว่าเราได้พบกฏของ 'การบุกรุก' ในก่อนหน้านี้"

"นั่นมันคือ?"

"ดันเจี้ยนจะไม่ปรากฏขึ้นซ้ำในจุดเดิม"

เพราะแบบนั้นฉันได้ปรับเปลื่ยนจอภาพไป พื้นที่ส่วนหนึ่งในแผนที่ได้เริ่มเปลื่ยนเป็นสีแดง เยอึนที่มองดูแผนที่อยู่ได้ถามออกมาอย่างมึนงง

"ไม่ใช่ว่าเคียมีเหตุการณ์ดันเจี้ยนเกิดขึ้นในย่านยองดึงโพมากกว่าหนึ่งครั้งหรอกหรอ?"

"พื้นที่ของมันไม่ได้ซ้อนทับกันแค่ใกล้เคียเพียงเท่านั้น สำหรับที่อื่นๆก็เช่นเดียวกัน ต่อให้ดันเจี้ยนทั้งสองแห่งในย่านยองดึงโพกลายเป็นเหตุการณ์ดันเจี้ยนไป พวกมันก็ไม่อาจจะหลอมรวมเข้าด้วยกันได้"

"แล้วถ้างั้น..."

พื้นที่กว่า 60% บนแผนดีได้เปลื่ยนไปเป็นสีแดง ฉันได้หยักหน้าและพูดต่อไป

"พื้นที่เหล่านี้คือพื้นที่ที่ทวีปลูก้าจะเข้ามาซ้อนทับ มอนสเตอร์และปีศาจจะเริ่มบุกมาจากพื้นที่สีแดงพวกนี้"

จนมาถึงตอนนี้เราได้ทำลายเหตุการณ์ดันเจี้ยนไปแล้วมากมาย เมื่อคิดจากความเร็วที่เกิดเหตุการณ์ดันเจี้ยน และการที่ผู้ใช้ความสามารถคนอื่นๆไม่ให้ความร่วมมือ ความสำเร็จนี้ของพวกเราช่างน่าชื่นชมจริงๆเลย แต่ถึงแบบนั้นเราก็จัดการได้ครอบคลุมไปได้ไม่ถึงแม้กระทั่งครึ่งโลก

"นี่มันบ้าอะไรเนี้ย..."

"ไม่มีโลกไหนที่จะเผชิญหน้ากับอะไรแบบนี้ได้หรอกนะ"

รูเดียได้เห็นด้วยกับข้อสังเกตของคนอื่นๆด้วยรอยยิ้มแห้งๆ

"ฉันได้คิดถึงเรื่องนี้มาซักพักแล้ว เหตุการณ์ดันเจี้ยนได้เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไปบนโลกและมีจำนวนมากเกินไปอีกด้วย ในตอนที่ทวีปลูก้าถูกบุก ปีศาจไม่ได้เคลื่อนย้ายแผ่นดินของโลกพวกเขามาเลย พวกปีศาจก็แค่ข้ามเข้ามาในโลกของเราเท่านั้นเอง"

"ทวีปพาแนนก็ไม่ได้เจอกับเรื่องพวกนี้เหมือนกัน โลกนายจะโชคร้ายอะไรแบบนี้? แต่ฉันก็ยอมรับนะที่ในโลกนี้โชคดีที่มีคนอย่างเจ้าชาย..."

เร็นก็เห็นด้วยกันกับรูเดีย เคนที่กำลังตกตะลึงก็ได้ส่งเสียงดังออกมา

"นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น... โลกของฉันเจอกับเหตุการณ์ที่คล้ายๆกัน มอนสเตอร์กับดินแดนของพวกมันได้ถูกย้ายมาอยู่ท่ามกลางพื้นที่ที่เต็มไปด้วยประชาชน นี่มันเป็นฉากที่น่าเศร้าจริงๆ"

"ฉากที่น่าเศร้า?"

"ไม่ต้องพูดหรอกนะ ฉันเข้าใจแล้ว ทุกๆคนก็อย่าได้ยินเลย"

ฉันได้พยายามห้ามพวกเขาเอาไว้ แต่เคนได้พูดต่อไปอย่างเด็ดเดี่ยว

"มันเรียบง่ายมาก มอนสเตอร์และวัตถุต่างๆจู่ๆก็ปรากฏขึ้นในที่ที่มนุษย์อาศัยอยู่ พูดให้ฉันก็คือด้านบนของพวกเรา ในตอนที่มีวัตถุปรากฏขึ้นมามันก็ไม่ได้เลวร้ายนัก หากว่าคนๆนั้นไม่ได้อยู่ผิดที่ผิดเวลา ก็คงไม่ตายแน่นอน แต่ว่าเมื่อมอนสเตอร์ได้ข้ามมา มันเป็นเรื่องที่่น่าเจ็บปวด มนุษย์ได้กลายร่างไปเป็นคิเมร่าก็เรื่องหนึ่งแต่ว่ามอนสเตอร์ก็จะได้รับสติปัญญามาเมื่อได้หลอมรวมเข้ากับมนุษย์อีกด้วย พวกมันได้กลายเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัว"

"อึก!"

"เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าอย่าไปฟัง"

ฉันได้ล้อเลียนวอร์คเกอร์ที่วิ่งออกไปจากห้องประชุมอย่างหน้าหน้าซีด... เดี๋ยวนะ วอร์คเกอร์เนี้ยนะ?

"ขะ ขอโทษ"

เพราะอะไรบางอย่างทำให้โซฟีได้ขอโทษออกมาแทนเขา เมื่อได้เห็นสีหน้ารู้สึกผิดและอับอายของเธอ ทำให้ฉันถามออกมาอย่างสงสัย

"โซฟี นี่เธอ..."

"อ่า ใช่แล้ว เขาเป็นเคาเว็ดซินโดรม(โรคแพ้ท้องแทนภรรยา)"

ทั้งห้องประชุมได้เงียบไปทันที เยอึนแค่แสดงความมึนงงออกมาด้วยความสงสัยว่าเคาเว็ดซินโดรมคืออะไร หลังจากรูเดียวได้กระซิบอธิบายกับเธอ เยอึนก็เงียบลงไป รูเดียมีความรู้เรื่องโลกมากกว่าเยอึนจนผิดคาดเลยนะ แต่ว่านั่นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว

ฉันได้รีบพูดเปลื่ยนบรรยากาศออกมาทันที

"ยะ ยินดีด้วยนะ"

"ขอบคุณค่ะ แต่ว่าที่ฉันไม่ได้บอกไปเพราะว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน..."

ฉันได้ถอนหายใจออกมา เมื่อได้เห็นสีหน้ารู้สึกผิดอย่างรุนแรงของเธอ ฉันมั่นใจว่าพวกเขาระวังตัวแล้ว แต่ว่าทุกๆอย่างก็ไม่ได้เป็นไปตามแผนสินะ

ฮวาหยาได้พูดออกมาเบาๆ

"นี่มันยอดเยี่ยมมาก"

"สุดยอดเลย"

"นี่มัน ยินดีด้วยนะโซฟี ฉันคิดว่าฉันจะเป็นคนแรกซะอีก น่าอิจฉาจังเลย"

"ใครเป็นคนพูด?"

"หา"

รูเดียได้หัวเราะเยาะออกมาและฮวาหยาได้ส่งเสียงโต้กลับไป เพราะพวกเธอนี่เองได้ทำให้บรรยายกาศน่าอึดอัดได้หายไป

"ฉันรู้นะว่าพลังของพวกเราทุกคนคือสิ่่งที่สำคัญ... ฉันขอโทษจริงๆ พวกเราระวังแล้ว พวกเรา..."

"ฉันรู้แล้ว เธอไม่ต้องรู้สึกผิดไปหรอกนะ... แล้วท้องได้นานแค่ไหนแล้วล่ะ"

"สามเดือน แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ"

ฉันได้หลับตาลงและประกาศออกมา

"โซฟี ตอนนี้ไม่พักเถอะ"

"แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นอะไรนะ"

"ไม่ ไปพักเถอะ พวกเราไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เราจะไม่ให้เธอทำงานหนัก ไม่ต้องห่วงหรอก พวกเราจะให้วอร์คเกอร์ทำหน้าที่แทนเธอเอง"

"อ่า...."

โซฟีได้เงียบลงไป ในตอนนี้เองวอร์คเกอร์ได้เดินก้มหน้ากลับมา

ฉันได้พูดขึ้นมา

"ไม่แก้ตัวหน่อยหรอ?"

"ไม่ล่ะ"

"นายเตรียมตัวที่จะทำงานหนักได้เลย"

"ตามสั่งเลย..."

"ตอนนี้เรามาคุยเรื่องนี้กันดีกว่า พวกเราจะไม่ห้ามไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก แต่ว่าทุกๆคนจะต้องระวังให้ดีนะ..."

จากนั้นฉันก็เงียบลงไป ฮวาหยาพร้อมๆกับผู้หญิงทุกๆคนได้มองมาที่ฉันด้วยสามตาเป็นประกาย เมื่อเข้าใจถึงสิ่งที่พวกเธอกำลังคิดอยู่ ฉันได้เปลื่ยนสิ่งที่จะพูดออกไป

"... เร็นระวังเรื่องเลอบิคด้วยนะ"

"หืม เคาเว็ดซินโดรมนี่คืออะไร? ทำไมเลอบิคกับฉันต้องระวังด้วยล่ะ? มันเป็นโรคติดต่อถึงมนุษย์สัตว์ด้วยงั้นหรอ!?"

ดูเหมือนว่าฉันคงจะไม่ต้องห่วงเรื่องเลอบิคอีกแล้ว ฉันได้ถอนหายใจออกมาและปรบมือเป็นสัญญาจบการคุยเรื่องนี้

ยังไงก็ตามดูเหมือนเคนจะยังคงอย่างคุยเรื่องคิเมร่านั่นต่อ ทำให้เขามองมาที่ฉันและถามออกมา

"แล้วที่โลกไม่เคยเกิดอะไรแบบนั้นขึ้นเลยหรอ?"

"ไม่เคยเลย มอนสเตอร์ได้ปรากฏขึ้นบนโลกโดยที่ไม่ต้องผ่านเหตุการณ์ดันเจี้ยนเลย ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นโชคดีหรือเปล่า แต่ว่าไม่มีมอนสเตอร์ที่หลอมรวมกับมนุษย์ปรากฏขึ้นมาก่อนเลย หรือบางทีเราอาจจะแค่ไม่เคยเจอก็ได้"

"แล้วนายคิดว่ามันจะเป็นเหมือนเดิมในคราวนี้ไหม?"

"แน่นอนว่าไม่"

ฉันไดส่ายหัวออกมา

"นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องมารวมกันที่นี่ เพื่อป้องกันเหตุการณ์แบบนั้น"

"...นี่เราจะต้องจัดการโยกย้ายผู้คนในพื้นที่ขนาดใหญ่แบบนั้นงั้นหรอ?"

วอร์คเกอร์ได้พูดออกมาอย่างไม่มั่นใจ

"...ดูเหมือนจะต้องเป็นการย้ายถิ่นฐานของผู้คนครั้งใหญ่เลยล่ะ"

สุมิเระได้พูดเสริมขึ้นมา ฉันได้หยักหน้า

"พวกเราจะต้องติดต่อกับผู้พิทักษ์และรัฐบาลของแต่ล่ะประเทศโดยตรง"

แนะนี่คือสิ่งที่ฉันจะทำในวันนี้ ฉันได้ประกาศถึงความจำเป็นในการอพยพของมนุษยชาติ

ด้วยคำพูดประโยคเดียวจากฉันได้ทำให้เกิดการย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ขึ้นในวันถัดไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด