GOI ตอนที่ 66 ท่านเป็นคนให้ข้าเลือกเอง!
เสวี่ยอิ่งรู้สึกได้ว่าบรรยากาศแปลกประหลาดไปเรื่อยๆ พร้อมใบหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้นทุกวินาที นางรั้งความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะเอ่ยข้อแก้ตัวว่าจะไปพบท่านเจ้าสถาบัน นางเดินออกจากห้องราวกับกำลังวิ่งหนี
ใบหน้าหลินหลีเจือปนความเสียใจ ต่อจากเสวี่ยอิ่ง เป็นนางที่เดินมาข้างกายป๋ายเสี่ยวเฟย ถึงนางจะไม่ได้หัวไวนักแต่นางก็ยังมีสัญชาตญาณของผู้หญิง
“เจ้ากับพี่หญิงเสวี่ย...”
หลินหลีไม่ทันเอ่ยจบก็เป็นป๋ายเสี่ยวเฟยที่ยื่นมือมาลูบหัวของนางเบาๆ
“เด็กโง่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นระหว่างข้าและพี่หญิงเสวี่ย เจ้าจะยังคงเป็นเสี่ยวหลีหลีของข้าและข้าจะปกป้องเจ้าหากมีใครมารังแก”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเลิกคิ้วขึ้นพลางปลอบประโลมด้วยเสียงอ่อนโยน เขาไม่รู้ว่าผู้หญิงคนอื่นเอาใจง่ายเช่นนี้หรือไม่ แต่หลินหลีไม่อาจต้านทานเขาได้เลย...
“อืมมม...”
นางครางเสียงค่อยสีหน้าเสียใจพลันแปรเปลี่ยนกลายเป็นปีติยินดี เป็นข้อดีของการเป็นคนเรียบๆ พวกเขาพึงพอใจได้ง่าย!
“ขอโทษที่ขัดจังหวะพลอดรักของพวกเจ้า แต่พวกเจ้าควรจะออกมาได้แล้ว”
เสียงเย็นเยียบของฉินหลิงหยานดังมาจากนอกประตู ไม่มีเจตนาดีแม้แต่น้อย
ป๋ายเสี่ยวเฟยเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคยเมื่อมองไปยังต้นตอของเสียง ฉินหลิงหยาน ป๋ายเย่ เหอเมิ่งและศิษย์ปีสองจากกระบี่พิฆาตสองคนที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
รวมแล้วมีศิษย์พี่จากกระบี่พิฆาตสี่คนที่เชี่ยวชาญด้านต่อสู้ระยะประชิดและเหอเมิ่งที่เป็นศิษย์สายลอบสังหารจากคมมีดซ่อนเร้น พูดอีกอย่างคือเป็นการยากมากที่คนทั้งสี่จะร่วมมือกันในสนามรบ เพราะพวกเขามีวิธีต่อสู้คล้ายคลึงเกินไป
เช่นเดียวกับยุคสมัยแห่งนักเชิดหุ่นที่สอง การมีนักเชิดหุ่นสายเดียวกันจำนวนมากทำให้พวกเขาสูญเสียความยืดหยุ่นไป แต่ก็ผลักดันจุดเด่นถึงขีดสุด สำหรับพวกฉินหลิงหยานทั้งห้าแล้วมันคือพลังโจมตี
“มิเป็นไร มิเป็นไร พวกเราทั้งสองมีเวลาเยอะแยะ มิอาจให้ศิษย์พี่หญิงหลิงหยานต้องรอคอยได้”
ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่เผยความรู้สึกกระดากปากแม้แต่น้อยตอนเขากล่าว และเขาไม่ได้มีทีท่าหวาดเกรงต่อนักเชิดหุ่นระดับสูงทั้งห้า สำหรับหลินหลี หากนางเคลื่อนไหวตอนนี้ นางไม่กล้าบอกว่าสามารถจัดการกับทั้งห้าได้ แต่สองนั้นง่ายดายแน่นอน
ไม่มีใครคาดคิดว่าเหอเมิ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังไม่อาจรักษาความสงบได้อีกต่อไป เมื่อเขาเห็นป๋ายเสี่ยวเฟย แสงสีม่วงพลันปรากฎตัวข้างหน้าป๋ายเสี่ยวเฟย มือของเหอเมิ่งบีบลำคอของชายหนุ่ม
“ไอ้หนู หนอนกลืนกำเนิดของเจ้ายังสบายดีหรือไม่!?”
หลินหลีที่ตั้งใจจะเคลื่อนไหวทันทีที่เหอเมิ่งขยับตัวแต่เป็นป๋ายเสี่ยวเฟยที่หยุดนางไว้
ปฏิกิริยาของเหอเมิ่งอธิบายทุกอย่าง เขาเข้าใจแล้วว่าสิ่งใดเกิดขึ้นกับหนอนกลืนกำเนิดในวันนั้น...
ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่สนใจเหอเมิ่งแม้แต่น้อย นัยน์ตาทั้งสองจับจ้องที่ฉินหลิงหยานด้วยใบหน้าแดงก่ำก่อนจะเอ่ยอย่างยากลำบาก
“ศิษย์พี่หญิง... หลิงหยาน...นี่หรือวิธีการ...ของท่าน?”
“ศิษย์พี่ เรายังมีโอกาสอีกมาก”
เสียงของฉินหลิงหยานไม่เย่อหยิ่งและไม่ได้เคารพนอบน้อม ถึงแม้เหอเมิ่งจะเป็นศิษย์ปีสาม แต่นักเชิดหุ่นระดับสูงไม่คู่ควรให้นางประจบสอพลอ
เหอเมิ่งแค่นเสียงเย็นชาก่อนจะปล่อยป๋ายเสี่ยวเฟยลงอย่างไม่เต็มใจ ประกายแสงอำมหิตแวบผ่านดวงตาเขาไป
“จะสู้ที่ไหน? อย่าให้พวกเราต้องเสียเวลา”
เสียงเย็นชาของฉินหลิงหยานดังขึ้น นางรู้สึกใจร้อนเล็กน้อย ยิ่งนางอยู่กับป๋ายเสี่ยวเฟยเท่าไหร่นางยิ่งไม่สบายตัวราวกับว่ากำลังถูกหลอก...
“เทือกเขาไร้ขอบเขต”
เมื่อเขากล่าว พวกฉินหลิงหยานตกตะลึงกันถ้วนหน้า
“ศิษย์พี่หญิงหลิงหยาน ท่านไม่คิดจะกลับคำใช่หรือไม่? ท่านบอกข้าเองว่าให้ข้าเลือกสถานที่ตอนเที่ยง อีกอย่างสหายของข้าอยู่ที่นั่นกันหมด หรือท่านอยากเปลี่ยนใจแล้ว? หรือพวกท่านทั้งหมดไม่กล้าไป?”
ถึงแม้นี่จะเป็นการยั่วยุอย่างโจ่งแจ้ง แต่พวกฉินหลิงหยานไม่อาจปฏิเสธได้
“จะอันตรายสักเพียงใดเชียวหากเจ้ากล้าไป? อย่าฝันว่าเจ้าจะมีโอกาสหากวางหลุมพรางพวกข้า เพราะมดก็ยังเป็นมดอยู่ดี!”
ผู้กล่าวครานี้เป็นศิษย์ปีสองข้างหลังฉินหลิงหยาน โทสะบนใบหน้าของเขาไม่น้อยไปกว่าเหอเมิ่งแม้แต่น้อย ราวกับว่าป๋ายเสี่ยวเฟยได้ทำลายหลุมศพบรรพชนของเขาไป...
“ข้าดีใจที่ศิษย์พี่พูดเช่นนี้ ไปกันเถิด”
เมื่อเขากล่าว ป๋ายเสี่ยวเฟยจูงมือหลินหลีเดินออกไปทางประตูที่พวกฉินหลิงหยานยืนอยู่ เป็นเวลานี้เองที่ทั้งห้าได้สังเกตเห็นหลินหลีผู้ซึ่งยืนแอบอยู่ข้างหลังป๋ายเสี่ยวเฟย ทั้งหมดตกตะลึงในเวลาเดียวกัน
“ศิษย์พี่ ท่านขยับให้ข้าหน่อย”
เมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ย พวกป๋ายเย่พึมพำตอบกลับก่อนจะแยกตัวให้ป๋ายเสี่ยวเฟยผ่าน ทั้งหมดนี้สายตาของพวกเขาจับจ้องหลินหลีไม่วางตาถึงขนาดที่พวกเขาไม่กระพริบตากันเลยทีเดียว!
“อนิจจา กลุ่มคนน่าสงสาร พวกเขาไม่ได้เจอโฉมสะคราญมากี่ชาติแล้ว?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยบ่นพึมพำแต่เขาได้ลืมไปแล้วว่าเขาอยู่ในสภาวะใดเมื่อเจอหลินหลีคราแรก และน้ำลายนั้น...
เมื่อพวกฉินหลิงหยานฟื้นคืนสติ ป๋ายเสี่ยวเฟยและหลินหลีได้เดินจากไปแล้ว ทั้งห้ารีบไล่ตามป๋ายเสี่ยวเฟยไปทันที ในขณะเดียวกันทั้งหมดเลือกที่จะปิดปากเงียบไม่พูดถึงกิริยาไม่เหมาะสมเมื่อครู่ แต่ใบหน้าของหลินหลีได้ประทับลงไปในใจของทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ฉินหลิงหยาน!
เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ประตูหลัก ป๋ายเสี่ยวเฟยหยิบสัญลักษณ์ออกนอกสถาบันที่เสวี่ยอิ่งให้มา ซึ่งจะหมดอายุในวันรุ่งขึ้น จากนั้นจึงพาคนอื่นเหยียบย่างเข้าไปในเทือกเขาไร้ขอบเขต
พอออกจากสถาบันแล้ว ป๋ายเสี่ยวเฟยกับหลินหลีราวกับได้หวนคืนสู่บ้านเกิด พวกเขาวิ่งอย่างรวดเร็วไปยังจุดหมาย
เป็นเวลานี้เองที่ทั้งห้านัยน์ตาหดลงและรู้ว่าป๋ายเสี่ยวเฟยได้เตรียมตัวมาบ้าง
ไม่นานนักสีหน้าพวกเขาก็กลับเป็นปกติเพราะไม่ว่าป๋ายเสี่ยวเฟยจะเตรียมตัวมากเช่นไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเติมเต็มความห่างชั้นของพลัง
แต่ความคิดนี้หายไปพร้อมเวลา เมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยวิ่งผ่านผืนป่าเข้าไปข้างในเทือกเขาไร้ขอบเขตลึกขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกโดยสัญชาตญาณ
ไม่มีใครบ้าบิ่นเช่นห้องคนเถื่อนที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาไร้ขอบเขตทั้งเดือน ขนาดศิษย์จากสถาบันชิงหลัวยังไม่รู้เรื่องเทือกเขาไร้ขอบเขตมากไปกว่าคนอื่นในทวีป มันคือสถานที่ต้องห้าม เต็มไปด้วยอันตราย!
โชคดีที่ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ได้เข้าไปนานนัก เขาหยุดลงก่อนที่ทั้งห้าจะทนไม่ไหว
สถานที่ที่พวกเขาหยุดคือพื้นดินว่างเปล่าในป่า ด้านข้างมีแม่น้ำสายเล็ก โดยรอบมีหน้าผาที่ยื่นขึ้นไปด้านบนเล็กน้อยป้องกันไม่ให้มองและไม่ให้ออกนอกบริเวณ
โม่ข่าและพวกยืนรออยู่ข้างแม่น้ำในขณะที่เสี่ยวเอ้อวิ่งมาหาอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นป๋ายเสี่ยวเฟย มันเห่าสองคราสีหน้าต้องการรางวัลมีให้เห็นทุกที่
แต่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกฉินหลิงหยานที่จะเข้าใจว่ามันบอกอะไรกับป๋ายเสี่ยวเฟย
“ไม่ต้องห่วง จะมีรางวัลให้เจ้าเมื่อพวกเรากลับไป”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยิ้มวางเสี่ยวเอ้อลงก่อนจะหันไปมองกลุ่มฉินหลิงหยานทั้งห้า ในเวลานี้พวกศิษย์พี่ไร้ซึ่งความเย่อหยิ่งมั่นใจที่มีในตอนแรกจนหมดสิ้น
พวกเขาไม่เห็นความกังวลหรือตื่นตระหนกบนใบหน้าของศิษย์ห้องเรียนคนเถื่อนแม้แต่น้อย และเทือกเขาไร้ขอบเขตราวกับเป็นอาณาเขตของพวกเขา
“พวกเรามีทั้งหมดสิบหกคน ศิษย์พี่หญิงหลิงหยาน พวกเราสามารถเริ่มได้เลยหากท่านไม่มีปัญหา!”
เมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยพูดจบ ศิษย์ห้องคนเถื่อนข้างหลังเขาก้าวเข้ามาข้างหน้าโดยพร้อมเพรียง จิตวิญญาณต่อสู้พวยพุ่งจากทุกคน!