GOI ตอนที่ 64 ในเมื่อเจ้ารุกรานข้า ข้าก็จะทำลายทุกอย่างของเจ้า!
เพื่อไม่ให้เสียเวลา ป๋ายเสี่ยวเฟยส่งสัญญาณให้หวู่จื๋อและพวกใช้ ‘บางอย่าง’ เพื่อปลุกศิษย์พี่ทั้งหกขึ้นมา
การตอบสนองของพวกเขาหลังจากตื่นขึ้นคือขัดขืน แต่เมื่อถูกอัดอย่างมี ‘มนุษยธรรม’ ไปหลายครา ทั้งหมดเริ่มเข้าใจถึงสถานการณ์ของตนเอง ป๋ายเสี่ยวเฟยคือมีด และพวกเขาคือเนื้อ...
“จะคุยกันดีๆ ได้หรือยัง?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยนั่งยองข้างกายหวังมู่ เผยรอยยิ้มขี้โกงของพ่อค้า
“ไอ้หนู เจ้าจะต้องชดใช้สำหรับเรื่องในวันนี้!”
จนกระทั่งตอนนี้หวังมู่ก็ยังเชื่อว่าป๋ายเสี่ยวเฟยและพวกพึ่งพาการลอบจู่โจมในการเอาชนะ ขอเพียงพวกเขามีเวลาให้เตรียมตัว พวกเขาย่อมสั่งสอนป๋ายเสี่ยวเฟยได้
“ดูเหมือนว่าจะไม่ได้!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยจบสามคนที่ล้อมรอบศิษย์พี่ที่เหลืออีกห้าคนก็ง้างมือทุบตีทันที เสียงร้องโหยหวนดังไม่รู้จบ...
“จะคุยกันดีๆ ได้หรือยัง?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยถามมีสีหน้าเช่นเดิม หวังมู่ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงมองป๋ายเสี่ยวเฟยด้วยสีหน้าโกรธแค้นชิงชัง
“อนิจจา ศิษย์พี่ เหตุใดท่านต้องเป็นเช่นนี้?”
เมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยพูดจบ เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอีกครา มีเพียงหวังมู่ที่ไม่ถูกอัด
“พูดมา!”
หวังหมู่เอ่ยก่อนที่ป๋ายเสี่ยวเฟยจะทันได้ถามคำถามเดิม
หวังมู่ไม่ได้สนใจว่าอีกห้าคนที่เหลือจะถูกอัดหรือไม่ แต่ถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง ชื่อเสียงของเขาจะเสียหาย มันคือสิ่งที่เขากลัว
“ท่านเอากระเป๋าของข้าไป ข้างในมีกรงเล็บหมีทลายพสุธา หินชิงหลัวห้าพันก้อน ส่วนผสมยาระดับสูงสามสิบชิ้น เหรียญอเมทิสต์ห้าแสนเหรียญ ท่านคืนให้ข้าได้หรือไม่?”
ในขณะที่ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยสิ่งของหลายอย่างในคราเดียว สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อยราวกับสิ่งที่เขาเอ่ยคือเรื่องจริง
“ไอ้เด็กเหลือขอ ข้าไปเอา...”
หวังมู่ยังไม่ทันเอ่ยจบเสียงร้องโหยหวนก็ดังจากด้านข้าง ใบหน้าของทั้งห้าไม่ต่างอันใดไปจากหมูในเวลานี้...
“ดูสิ พวกเจ้าทุกคนเต็มใจทำตามที่เขาสั่ง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยากซื้ออิสระของพวกเจ้าคืน! อย่างไรเสีย เขาก็ไม่ใช่คนถูกอัดนี่”
ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ได้ทำอะไรหวังมู่ แต่คำพูดของเขาเจ็บแสบยิ่งกว่าถูกทุบตี
“เหลวไหล!!!”
หวังมู่พยายามสุดความสามารถเพื่อบอกปัด แน่นอนว่าทั้งห้าถูกอัดอีกครา...
“ไม่ว่าจะเหลวไหลหรือไม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้า แต่ขึ้นอยู่กับพวกเขาต่างหาก”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเย้ยหยัน มองไปดูหวังมู่พลางยืดแขนขวาออกไป
“คืนกระเป๋าของข้าได้หรือยัง?”
หวังมู่ลังเลเล็กน้อยเมื่อได้ยินเพราะหากเขาเปิดปากเขาสามารถพูดได้อย่างเดียว มิเช่นนั้นอีกห้าคนต้องโดนทุบตีอีกแน่
หากเขาตอบตกลง เขาไม่มีทางหาหินชิงหลัวห้าพันก้อนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงส่วนผสมยาระดับสูง แต่เขามีเหรียญอเมทิสต์จำนวนมาก อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนในอันดับชื่อเสียง เงินที่ทางบ้านให้เขามาไม่ใช่จำนวนน้อยๆ
“ใจโลเลมิใช่นิสัยที่ดี!”
คำพูดของป๋ายเสี่ยวเฟยเป็นคำสั่งให้คนอื่นอัดพวกศิษย์พี่ หวู่จื๋อและพวกที่รู้สึกสนุกกับสถานการณ์พลันยกหมัดและขาขึ้นทุบตีทั้งห้าจนพวกมันร้องไห้หามารดา
“ข้าจะให้! ข้าจะให้เจ้า!!”
หวังหางกัดฟันกรอดเอ่ยอย่างยากลำบาก นัยน์ตาทั้งสองที่จ้องมองป๋ายเสี่ยวเฟยราวกับมีเปลวเพลิงแห่งโทสะที่พร้อมจะพวยพุ่งออกมาได้ทุกเวลา
“หากเจ้าพูดไวกว่านี้ ‘สหาย’ ทั้งห้าของเจ้าก็คงไม่ต้องทรมาน”
ป๋ายเสี่ยวเฟยจงใจกล่าวเน้นคำว่า ‘สหาย’ ใบหน้าหวังมู่บิดเบี้ยวด้วยความโกรธ เขาเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนถูกอัดเสียอีก...
“แต่ข้าไม่มีหินชิงหลัวและส่วนผสมยาระดับสูง ใช้เหรียญอเมทิสต์แทนได้หรือไม่?”
หวังมู่พยายามอย่างหนักเพื่อปรับเสียงให้ราบเรียบพลางข่มกลั้นเพลิงโทสะในใจเพราะเขาได้ตัดสินใจที่จะจ่าย มันไม่คุ้มที่จะให้ป๋ายเสี่ยวเฟยกระทำสิ่งที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับชื่อเสียงของเขา
“แน่นอน แต่ราคาจะสูงกว่าของตลาดครึ่งหนึ่ง”
เมื่อเจอข้อเรียกร้องของป๋ายเสี่ยวเฟย หวังมู่ได้แต่กล้ำกลืนความเสียดายอย่างเงียบเชียบ
ท้ายที่สุด ภายใต้ ‘วิธีคำนวน’ ของป๋ายเสี่ยวเฟย หวังมู่จ่ายไปทั้งหมด 1,600,000 เหรียญอเมทิสต์ แต่เป็นเพราะป๋ายเสี่ยวเฟยไม่มีการ์ดอเมทิสต์ ทั้งหมดจึงเป็น ‘ฝ่ายจัดการเงิน’ ฟางเย่ที่เก็บไว้...
“ยินดีที่ได้ร่วมทำธุรกิจ ข้าจะให้ของขวัญหนึ่งชิ้นก่อนก่อนจากไป”
ป๋ายเสี่ยวเฟยตบใบหน้าทั้งขาวทั้งนุ่มของหวังหมู่เบาๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
“สตรีถอยไป เด็กๆ มาต้อนรับแขกของพวกเรา!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเดินไปด้านข้าง เขานำผู้หญิงทั้งหมดกลับไปยังห้องเรียนก่อนในขณะที่หวู่จื๋อและ ‘ผู้ชาย’ คนอื่นล้อมรอบหวังมู่
การทุบตีที่เขาติดค้างไว้ถูกจ่ายคืนทั้งหมดภายในเวลาห้านาที แต่ไม่มีใครทำอันใดกับใบหน้าของเขา อย่างไรก็ตามเสื้อผ้าอาภรณ์ของหวังหมู่ถูกฉีกกระชากออกหมด...
เมื่อจัดการกับทุกสิ่งแล้ว หวู่จื๋อและพวกหลบหนีจากจุดเกิดเหตุ และเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องเก็บมาคิด
อย่างไรเสียป๋ายเสี่ยวเฟยก็ไม่คิดว่าทั้งห้าที่เหลือจะช่วยหวังมู่!
“ท่านเจ้าสถาบัน เราจะไม่ขัดขวางพวกเขาหรือ!?”
ภายในห้องทำงานของเจ้าสถาบัน เฟ่ยกวงสือยืนอยู่ข้างหลังเล่ยซาน หน้าจอที่คล้ายคลึงกับสระน้ำปรากฎข้างหน้า ฉากภายในเผยทุกสิ่งทุกอย่างที่ห้องคนเถื่อนกระทำ
“คนพวกนั้นพยายามเล่นบทเป็นโจรก่อน เจ้าจะให้ข้าขัดขวางได้อย่างไรเมื่อพวกมันถูกป๋ายเสี่ยวเฟยตอบโต้? สองมาตรฐาน? สถาบันชิงหลัวไม่มีธรรมเนียมเช่นนั้น!”
เล่ยซานแค่นเสียงเย็นชา ใบหน้าเผยความไม่สบอารมณ์ แต่เมื่อเขานึกถึงเรื่องป๋ายเสี่ยวเฟย สีหน้านั้นแปรเปลี่ยนกลายเป็นรอยยิ้มอย่างว่องไว
“แต่พวกเขาไม่ทำเกินไปหน่อยหรือ? หากพวกเราไม่สั่งสอน จะทำอย่างไรถ้าพวกเขาก่อเรื่องใหญ่โตกว่าในอนาคต? อีกทั้งหวังมู่ผู้นั้นยังเป็นนายน้อยแห่งตระกูลขุนนางจากจักรวรรดิม่านเมฆา ตระกูลของเขาไม่อาจดูแคลนได้!”
เฟ่ยกวงสือรู้ว่าเล่ยซานรู้สึกไม่ดี แต่เขายังรวบรวมความกล้าเอ่ยข้อกังวลในใจ
“ฮึ่ม! เจ้าหมายความว่าสถาบันชิงหลัวของข้ากลัวตระกูลขุนนางจากจักรวรรดิม่านเมฆา?”
โทสะของเล่ยซานเมื่อครู่ไม่ชัดเจนมากนัก แต่ครานี้ไม่มีทางที่เฟ่ยกวงสือจะเมินเฉยได้อีก
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ท่านเจ้าสถาบัน!!!”
เฟ่ยกวงสือรีบปฏิเสธทันควัน ในหัวโล้นของเขารีบคิดถึงคำพูดแก้ตัว แต่เล่ยซานไม่มีความคิดจะรีรอ
“พอได้แล้ว เลิกทำให้ข้ารำคาญ ออกไปซะ”
หลังจากเล่ยซานเอยสั่ง เฟ่ยกวงสือรีบถอยห่างออกมา เมื่อเขาเดินถึงประตูเสียงของเล่ยซานก็ดังขึ้นอีกครา
“เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจสิ่งที่ป๋ายเสี่ยวเฟยทำ และอย่าให้ข้ารู้ภายหลังว่าเจ้ากระทำในสิ่งที่ไม่ควร”
เหงื่อเย็นเยียบไหลผ่านหน้าผากของเฟ่ยกวงสือ เขาตอบรับก่อนจะรีบหายตัวไปจากครรลองสายตาของเล่ยซาน
“มีคนรุกรานเจ้า เจ้าจึงทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของมัน ไอ้หนู หากเจ้าสามารถคงนิสัยเด็ดเดี่ยวยามเจ้าออกจากสถาบันได้ เช่นนั้นข้า เล่ยซาน จะมอบโชคลาภอันยิ่งใหญ่ให้เจ้า!”
และในสถานที่ที่ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่รู้ มีสมบัติตกลงมาจากฟ้า...