GOI ตอนที่ 62 ชาติกำเนิดของหลินหลี
ไม่นานนัก หมีทลายพสุธาวิ่งไปยังริมแม่น้ำ เมื่อมันลดความเร็วลง สือเฉินเดินออกมาพร้อมต้วนอีอีและจูนั่ว
“ป้องกัน!”
“ลับคม!”
แสงสีอ่อนจางลอยออกมาจากหุ่นเชิดของต้วนอีอีและจูนั่วไหลผ่านไปยังกระบี่ในมือสือเฉิน
หมีทลายพสุธายังคงอยู่ในอาการตกตะลึงเมื่อกระบี่เพลิงสีแดงแทงทะลุหัวใจของมัน การตะปบคราก่อนไม่ทิ้งความหวาดกลัวไว้ในใจสือเฉินแม้แต่น้อย
“จบแล้ว ทำได้ดีมากทุกคน!”
สือเฉินเผยรอยยิ้มจางพึงพอใจกับผลงานของตน
เหตุผลที่ป๋ายเสี่ยวเฟยให้พวกเขาทั้งสามอยู่กลุ่มเดียวกันเพราะหุ่นเชิดของพวกเขาเข้ากันได้ดี
กระบี่เพลิงของสือเฉินมีความสามารถระเบิดและทะลวง หุ่นเชิดตัวแรกของจูนั่ว นักเชิดหุ่นสายฟื้นฟูคือระฆังผู้พิทักษ์ มันสามารถกางโล่ป้องกันชั้นบางบนตัวของเป้าหมายเพื่อป้องกันการโจมตีที่ไม่ทะลุขีดจำกัดของมัน ส่วนหุ่นเชิดตัวแรกของต้วนอีอี นักเชิดหุ่นสายสนับสนุนคือคฑาจรรโลง สามารถเพิ่มสถานะความคม ความเร็วหรือน้ำหนัก
พูดง่ายๆ เมื่อดรุณีทั้งสามอยู่ด้วยกัน สือเฉินเป็นดั่งหวังหางที่ไม่กลัวตาย และยิ่งรุนแรงน่าหวาดเกรงกว่าหวังหางเสียอีก!
หลังจากสังหารหมีทลายพสุธาสองตัว ชายหนุ่มทำหน้าที่เป็นแรงงานแบกศพกลับค่ายพักอีกครา
ในขณะเดียวกันเสวี่ยอิ่งได้ก่อตั้งไฟเตรียมรอกินอุ้งเท้าหมี...
“พวกเราจะกลับสถาบันอย่างเป็นทางการพรุ่งนี้ และข้าเชื่อว่าฉินหลิงหยานผู้นั้นจะมาหาเรื่องพวกเจ้าในวันถัดมา ข้าหวังว่าทุกคนจะเตรียมตัวให้พร้อม”
สีหน้าพึงพอใจปรากฎให้เห็นทุกที่บนใบหน้า สุ้มเสียงที่เข้มงวดในเดือนก่อนไม่หลงเหลือแม้แต่น้อย
ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเสวี่ยอิ่งได้สั่งสอนทุกอย่างที่นางทำได้ให้กับทั้งสิบหก ผลลัพธ์จากการฝึกที่ปกติต้องใช้เวลาสามเดือนแต่ถูกบับอัดเหลือหนึ่งเดือนไม่ทำให้นางต้องผิดหวัง
“พี่หญิงเสวี่ยไม่ต้องเป็นกังวล พวกเขาก็แค่นักเชิดหุ่นระดับสูงไม่กี่คน เราไม่แพ้ยับเยินหรอก”
ฉิงหนานหัวเราะเจ้าเล่ห์ นิสัยใจคอเป็นมิตรสนิทกับคนง่ายเผยให้เห็น ในหนึ่งเดือนมานี้กล่าวได้ว่าน่ารื่นรมย์ไม่น้อยสำหรับเขา เวลาที่เขาถูกทรมานลดลงไปมากเพราะไม่ต้องอยู่กับจู๋ซือซือตลอดเวลา
“พี่ฉิง เจ้าพูดผิดแล้ว ข้าไม่คิดว่าเราจะแพ้”
สือขุยเอ่ยพลางกัดกินอุ้งเท้าหมี กล้ามเนื้อของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก พวกมันราวกับถูกสลักมาจากหินศิลา
หนึ่งในผลลัพธ์จากการฝึกหนักตลอดทั้งเดือนคือการที่ร่างกายของพวกเขากลายมาเป็นระดับเหนือมนุษย์ ถึงแม้จะไม่ใช้หุ่นเชิด พวกเขาทุกคนล้วนมั่นใจว่าสามารถเอาชนะนักเชิดหุ่นระดับเริ่มต้นได้อย่างง่ายดายในการประลองตัวต่อตัว
ภาพที่เสวี่ยอิ่งวาดฝันไว้กลายเป็นจริงในที่สุด!
และไม่ใช่แค่ร่างกายเท่านั้น สมาชิกส่วนใหญ่ของห้องเรียนคนเถื่อนที่อยู่ในระดับฝึกหัดเมื่อเดือนก่อนจะเข้ามาในเทือกเขาไร้ขอบเขต ในยามนี้พวกเขาทุกคนอยู่ในระดับเริ่มต้น!
ในระหว่างพวกเขา คนที่ก้าวหน้ามากที่สุดในด้านปราณกำเนิดคือโม่ข่า ถึงแม้เขาจะอยู่ในระดับเริ่มต้น แต่ปราณกำเนิดในร่างกายไม่น้อยไปกว่าหวู่จื๋อที่มีสังขารสวรรค์กำเนิดแม้แต่น้อย!
อย่างไรเสียเขาก็ต้มน้ำมาทั้งเดือน!!!
“ใช่ๆ เจ้าคนเหลาะแหละ เจ้ารู้แต่คำว่าแพ้ รอก่อนเถอะ ข้าจะปิดปากเน่าเหม็นของเจ้าเมื่อเรากลับไป!”
จู๋ซือซือก้าวขายาวไปข้างกายก่อนจะดึงหูของฉิงหนาน แต่ในสายตาของทุกคน นี่ไม่ต่างอันใดจากการทิ้งระเบิดใส่คนไร้คู่...
ในขณะที่ทั้งกลุ่มหยอกล้อกันไปมา สือเฉินพลันกล่าวคำถามสำคัญ
“พวกเราจะให้หลินหลีเข้าร่วมด้วยหรือไม่?”
ทุกคนหยุดพูดสายตาจับจ้องไปที่ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ก็เสวี่ยอิ่งเพราะทั้งสองคือคนที่สามารถตัดสินใจในเรื่องนี้ได้
ที่สือเฉินกล่าวเช่นนี้ไม่ใช่เหตุผลอื่นนอกจากหุ่นเชิดของนาง!
อาภรณ์ปีกฟีนิกส์เทวะ... ทุกคนในทวีปล้วนรู้จักชื่อนี้ ระดับของมันไม่ควรเป็นระดับทองคำ และยิ่งไม่ควรอยู่ในมือของนักเชิดหุ่นระดับสูงเช่นหลินหลี
เจ้าของที่แท้จริงคือหนึ่งในสามตำนานแห่งทวีป เทพธิดาหลินหนีฉาง!
และเป็นครั้งแรกเมื่อหลินหลีใช้หุ่นเชิดทำให้ทุกคนรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกนาง พวกเขาคือแม่ลูก!
ทุกคนรู้ในฉับพลันว่าเหตุใดหลินหลีจึงพิเศษนัก
เป็นที่รู้กันโดยทั่วว่าหลินหนีฉางคือสาวงามอันดับหนึ่งในแผ่นดิน มียอดฝีมือมากมายยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อให้ได้พบเจอนางสักครา!
หลังจากการอธิบายตะกุกตะกักของหลินหลี ในที่สุดทุกคนก็เข้าใจถึงที่มาของหุ่นเชิดตัวนี้
ของเลียนแบบ!
ผู้ครอบครองหุ่นเชิดไร้ชีวิตในระดับทองคำม่วงขึ้นไปสามารถใช้บางส่วนของแกนหลักหุ่นเชิดเพื่อสร้างหุ่นเลียนแบบที่มีความสามารถคล้ายคลึง แต่ความเสียหายที่เกิดกับหุ่นเชิดตนนั้นมีมากเหลือเกิน และไม่มีใครอยากให้ประโยชน์ผู้อื่นหากตนเองต้องสูญเสียหนัก
ในฐานะธิดาของหลินหนีฉาง ความปลอดภัยของนางย่อมมาก่อนหุ่นเชิดระดับทองคำม่วง แต่หากหลินหลีใช้หุ่นเชิดของนาง จะต้องมีคนรู้จักมันและปัญหามากมายจะตามมา
ที่สำคัญหากหลินหลีปกปิดหุ่นเชิดเอาไว้ นางจะเป็นไพ่ตายสำคัญสำหรับห้องเรียนคนเถื่อนในงานประลองศิษย์ใหม่!
“ไม่ต้องห่วง พวกเขาจะไม่แพร่กระจายข่าวหากพวกเราชนะ”
คนที่เปิดปากคือป๋ายเสี่ยวเฟย สุ้มเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? คนธรรมดาจะไม่หาเหตุผลเพื่อพบเจอนางหรอกหรือ? และหลินหลียังเป็นเหตุผลที่ยากจะพานพบ?”
สือเฉินมีความคิดเห็นตรงกันข้ามกับป๋ายเสี่ยวเฟย ในความคิดนาง หลินหลีจะต้องสั่นสะเทือนทั่วทั้งสถาบันหากพวกเขาไม่ทำอันใดสักอย่าง
เพราะนางคือธิดาของหลินหนีฉาง!
“ขึ้นอยู่กับว่าพวกเราจะชนะได้ขาดลอยเท่าใด หากเราอัดพวกเขาซะเละจนหวาดกลัวเพียงแค่เอ่ยถึง พวกเขาจะไปกล้าบอกคนอื่นหรือ?”
ในขณะที่ทุกคนจ้องมองรอยยิ้มที่คุ้นเคยของป๋ายเสี่ยวเฟย พวกเขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงไป เมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยเผยสีหน้าเช่นนั้นมันหมายความว่าเขากำลังจะทำบางสิ่งที่สั่นสะเทือนจักรวาลแม้แต่ทวยเทพก็ยังต้องร้องไห้ ทั้งหมดไว้อาลัยเงียบเชียบในใจให้ศิษย์พี่ที่พวกเขาจะต้องสู้...
‘ไม่มีใครช่วยพวกเจ้าได้อีก!’
“ค่อยคุยอีกทีเมื่อเรากลับไป จะสนทนาอย่างรื่นรมย์เป็นครั้งสุดท้ายไม่ได้เลยหรือ!?”
เสวี่ยอิ่งเหนื่อยหน่ายที่จะฟัง นางเอ่ยตัดบทสนทนาทิ้ง นางได้ทำงานเสร็จแล้วและนางอยากอยู่อย่างสงบสุขในสองเดือนที่นางไม่มีงานให้ทำ
พูดอีกอย่าง นางอยากหาความสนุกบ้าง...
“จะว่าไป ไม่ใช่หวู่จื๋อบอกว่าจะเต้นให้ดูหากพวกเราสังหารหมีทลายพสุธาสองตนนั้นได้หรอกหรือ? ข้ายังจำได้!!!”
โม่ข่าปรารถนาจะสร้างความวุ่นวาย เขากล่าวตักเตือนการพนันที่ทุกคนแทบจะลืมเลือนไปแล้ว
หวู่จื๋อใบหน้าแดงซ่านจากความเขินอาย สายตาทุกคู่จับจ้องที่เขา
เขาส่งสายตาเกลียดแค้นให้ป๋ายเสี่ยวเฟยและหวังเพียงหาหลุมบนพื้นเพื่อมุดหนี เขาได้ถูกล่อลวงโดยหินชิงหลัวจากป๋ายเสี่ยวเฟยเมื่อเขาพนัน
เสี่ยวเอ้อที่อยู่ข้างๆ เห่าใส่หวู่จื๋อด้วยความสงสารเพราะหนึ่งคนหนึ่งหมาคือสหายที่ตกหลุมพลางอันน่าสลดด้วยกัน...
“อย่าลืมเตรียมน้ำมาล้างตา!”
การราดน้ำมันใส่ไฟเป็นอีกหนึ่งงานอดิเรกของป๋ายเสี่