GOI ตอนที่ 63 คำว่าตายสะกดเช่นไร เจ้ารู้หรือไม่?
หลังจากใช้เวลาคืนสุดท้ายในเทือกเขาไร้ขอบเขต วันรุ่งขึ้นป๋ายเสี่ยวเฟยตื่นแต่เช้าอย่างหาได้ยาก และคนอื่นยิ่งตื่นเช้ากว่าเขาอีกเพราะเป็นวันพิเศษของห้องคนเถื่อน!
“ข้ากลัวแทบตายตอนเรามาที่นี่ ไม่คาดคิดเลยว่าข้าจะรู้สึกไม่เต็มใจยามต้องกละบ”
โม่ข่าพึมพำ สิ่งที่เขาเอ่ยเป็นสิ่งที่คนอื่นคิดเช่นเดียวกัน แต่ทุกคนไม่อยากไปเพราะเหตุผลอื่น...
“มีปัญหาอะไร? ถ้าเจ้าคิดถึงที่นี่และไม่กลัวตาย เจ้าสามารถแอบลอบออกมาหวนรำลึกความหลังได้ แต่ด้วยพลังกายของเจ้า ลืมเสียเถิด”
ชีเว่ยสาดน้ำเย็นเยียบใส่โม่ข่า ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพวกเขาล้วนสนิทสนมกันมาก ธาตุแท้ของหลายคนเผยให้เห็นด้วยประการฉะนี้
อย่างเช่นชีเว่ยที่นอกจากพูดมากแล้วยังปากร้าย...
“งั้นข้าก็จะลืม!”
โม่ข่ายิ้มประหลาดไม่ได้ถือคำพูดของชีเว่ยจริงจัง หากเขาทำเช่นนั้นเขาต้องแพ้เป็นแน่...
“เลิกรำลึกอดีตได้แล้ว”
เสวี่ยอิ่งเอ่ยขัดเสียงถอนหายใจอย่างมีอารมณ์ของพวกเขา
“ได้เวลากลับเสียที ข้ารายงานสถาบันไปว่าเจ้าจะเรียนนอกสถานที่ถึงคาบสองของวันนี้ หากเจ้าไปสายข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ถ้าอาจารย์ที่รับหน้าที่สอนไปฟ้องเรียนท่านเจ้าสถาบัน”
ห้องเรียนศิษย์ใหม่ส่วนใหญ่จะเต็มตลอดเวลาในสถานการณ์ปกติ แต่สถานการณ์พิเศษของห้องเรียนคนเถื่อนหาได้ยากในประวัติศาสตร์ของสถาบัน
“ไปเถอะ ยังมีหลายเรื่องที่ต้องทำเมื่อเรากลับ”
ภายใต้การเร่งของป๋ายเสี่ยวเฟยและเสวี่ยอิ่ง ในที่สุดทุกคนก็เลิกรำพึงถึงบทชีวิตในเทือกเขาไร้ขอบเขตก่อนจะเร่งวิ่งไปยังสถาบันชิงหลัว
แตกต่างจากคราก่อน ไม่มีใครสักคนที่ช้า!
วิ่งรั้งท้าย? ไม่มีอีกต่อไป!
ภายในเวลาสามสิบนาที ทั้งหมดมองเห็นประตูหลักของสถาบัน ถึงแม้พวกเขาจะกลับมาที่นี่ทุกเที่ยงเพื่อวิ่งรอบจัตุรัส ความรู้สึกครานี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
“กล่าวได้ว่าพวกเราได้กลับบ้านแล้วใช่หรือไม่!?”
ฉิงหนานเอ่ยเสียงตื่นเต้น ไม่ต่างไปจากสีหน้าของคนอื่น
“ยัง ต้องหลังจากพวกเรามีชื่อเสียงจึงจะเรียกสถาบันชิงหลัวว่าบ้านได้เต็มปาก บ้านที่พวกเรามีอิสรภาพ!”
คำพูดกล้าหาญดุจวีรบุรุษของป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ใช่แค่เรื่องล้อเล่น ถึงแม้พรสวรรค์ตามธรรมชาติของห้องคนเถื่อนจะมีขีดจำกัด เขาเชื่อว่าหากทั้งสิบหกอยู่ด้วยกัน ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาทำไม่ได้!
“หยุดอยู่ตรงนั้น! พวกเจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่!?
“ไม่รู้หรือว่าสถาบันมีกฎห้ามออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต? แล้วพวกเจ้ายังกล้ากลับมาอย่างสง่าผ่าเผยทางประตูหลักอีก? พวกเจ้าทั้งหมดฝ่าฝืนกฎ!”
เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ประตูหลักก็มีศิษย์พี่คนหนึ่งขัดขวางพวกเขาไว้ เพราะยามรักษาการณ์ที่ประตูหลักเปลี่ยนไปตลอด พวกป๋ายเสี่ยวเฟยจึงถูกสอบสวนทุกครา
แต่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาถูกกล่าวหาว่าฝ่าฝืนกฎเมื่อมาถึง!
“พวกเรากลับมาจากการทำภารกิจเสร็จ”
ป๋ายเสี่ยวเฟยหยิบกระเป๋าออกมาจากแหวนมิติก่อนจะส่งผ่านไปศิษย์พี่ ข้างในมีกรงเล็บของหมีทลายพสุธาสองตน ไม่มีสิ่งใดน่าเชื่อถือไปกว่านี้
“หมี... หมีทลายพสุธา!?”
โชคดีที่ศิษย์พี่ผู้นี้สามารถบ่งบอกได้ว่ามันคือสิ่งใด แต่แน่นอนว่าที่เขาทำได้เช่นนี้เป็นเพราะภารกิจสังหารหมีทลายพสุธาติดอยู่ในอันดับชิงหลัวมานานถึงหนึ่งเดือน
บนใบหน้าของมันมีสีหน้าประหลาดขณะเงยศีรษะขึ้นมามองพวกป๋ายเสี่ยวเฟย
‘เป็นหมีทลายพสุธาจริงๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดตาขวาของข้ากระตุกนักวันนี้ ข้าช่างโชคดีเหลือเกิน! พวกมันเป็นแค่กลุ่มศิษย์ใหม่ จัดการง่ายราวปลอกกล้วย!’
ศิษย์พี่มีความคิดเช่นนี้ในใจพลางเผยสีหน้าชั่วร้าย
“กลุ่มศิษย์ใหม่อย่างพวกเจ้าจะทำภารกิจสังหารหมีทลายพสุธาได้อย่างไร? บอกข้า พวกเจ้าเก็บกรงเล็บพวกนี้มาจากไหน!!!”
ศิษย์พี่ผู้นั้นเอากระเป๋าใส่เข้าไปในเข็มขัดเก็บของ สีหน้าจริงจังแฝงความตั้งใจจะสอบสวนพวกป๋ายเสี่ยวเฟย
เมื่อหวู่จื๋อและคนอื่นเห็นกระเป๋าถูกขโมยไปหน้าด้านๆ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาคือกระโจนเข้าไปแย่งกลับคืนมา แต่ป๋ายเสี่ยวเฟยรั้งพวกเขาไว้
“ศิษย์พี่ พวกเราโชคดีเก็บมันได้อย่างที่ท่านกล่าว แต่ภารกิจในอันดับชิงหลัวไม่ได้บอกว่าเราต้องสังหารหมีทลายพสุธา แค่ต้องการกรงเล็บของมันเท่านั้น และข้านำมันกลับมาแล้ว เข้าใจง่ายหรือไม่?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยิ้มแย้มไม่ได้เปิดเผยเรื่องที่พวกเขาสังหารหมีทลายพสุธา หลังจากพูดจบสีหน้าของเขามืดหม่นลง
“แต่ศิษย์พี่ ท่านได้เอาของพวกเราไป ข้าจะทำอย่างไรกับการกระทำของท่านดี?”
สุ้มเสียงที่เปลี่ยนไปของป๋ายเสี่ยวเฟยราวกับเป็นสัญญาณให้ศิษย์ห้องเรียนคนเถื่อนหันมามองศิษย์พี่ มีเพียงเสวี่ยอิ่งที่ไม่ได้สวมใส่ผ้าคลุมอาจารย์เท่านั้นที่รอรับชมละครปาหี่ด้วยสีหน้าผ่อนคล่าย
“ทำอย่างไร!? เจ้ายังมีหน้ามาถามอีกหรือ!? มันเป็นเรื่องปกติที่กรงเล็บหมีทลายพสุธาควรจะตกอยู่ในมือผู้ที่สมควรมีมัน ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าต้องคิด อย่างไรเสียเจ้าก็ขโมยมันมา การขโมยของเกี่ยวกับภารกิจของผู้อื่นเป็นสิ่งต้องห้ามภายในสถาบัน พวกเจ้าทุกคนควรตามข้าไปพบสภานักเรียน! มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าความไร้เมตตา!”
ศิษย์พี่เรียกหุ่นเชิดออกมาพลางกล่าวหาพวกเขาอีกครา ยามรักษาการณ์อีกห้าคนที่เหลือเผยสีหน้าไม่เป็นมิตรทันที
ในหมู่ยามรักษาการณ์จะมีหัวหน้าอยู่หนึ่งคน และส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เปิดปากพูดคนแรก ความตั้งใจของเขาจึงเป็นดั่งความตั้งใจของทั้งกลุ่ม อย่างไรเสีย พวกเขาก็จะได้รับส่วนแบ่งสินสงครามในภายหลัง!
“ศิษย์พี่ ข้าถามอย่างหนึ่งได้หรือไม่? ข้าจะยอมมอบตัวหากท่านตอบได้”
ป๋ายเสี่ยวเฟยขยับมือขวาไปข้างหลัง เขาเอ่ยพลางส่งสุญญาณด้วยมือนั้น
“ฮึ่ม! ไอ้เด็กเหลือขอ อย่าคิดจะเล่นลูกไม้กับข้า หวังมู่! เจ้าจะไม่เจ็บมากนักหากเจ้าเชื่อฟัง!”
หวังมู่เอ่ยชื่อของตนปรารถนาว่าจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง เพราะเขาถือได้ว่าพอมีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อยในหมู่ศิษย์ปีหนึ่งของตาเหยี่ยว
“ไม่ ไม่ ข้าจะเล่นลูกไม้ได้อย่างไร? ข้าเพียงอยากถามท่านว่า...”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเผยรอยยิ้มพลางเดินไปใกล้หวังมู่ เขาได้กระตุ้นความสนใจของมัน หวังมู่เงี่ยหูรอฟังคำต่อไป
“คำว่าตายสะกดเช่นไร เจ้ารู้หรือไม่!?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยตะโกนก้อง กำปั้นที่ห่อหุ้มด้วยปราณกำเนิดต่อยเสยไปที่คางของมัน
โดยที่เขาไม่รู้ตัว หวังมู่ปลิวขึ้นไปข้างบน...
การจู่โจมของป๋ายเสี่ยวเฟยเป็นราวกับแตรเปิดศึก อีกสิบห้าคนที่เหลือกระโจนไปข้างหน้าประดุจดั่งฝูงหมาป่า...
ศิษย์พี่ที่น่าสงสารยังอยู่ในอาการตกตะลึงเมื่อกำปั้นเหล็กที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าของป๋ายเสี่ยวเฟยกระแทกโดนตัวพวกเขา และยังไม่ใช่แค่หมัดเดียว...
จากต้นจนจบศิษย์พี่ทั้งหกล้มลงไปนอนอยู่บนพื้นในเวลาไม่ถึงห้าวินาที วิธีการต่อสู้เช่นนี้ไม่เคยปรากฎในตำราของสถาบัน ทั้งหกกล่าวได้ว่าเป็นหนูทดลองกลุ่มแรก...
“ทำเช่นใดต่อ?”
สือเฉินเดินมาข้างกายป๋ายเสี่ยวเฟยพลางเอ่ยถาม นางไม่หวาดเกรงพวกศิษย์พี่แม้แต่น้อย
กฎเรื่องอิสรภาพของสำนักชิงหลัวไม่มีค่าอันใดในเวลานี้
“พวกเราจะรอให้พวกมันฟื้น พวกมันขโมยหินชิงหลัวหลายพันก้อนของข้าและวัตถุดิบระดับสูงเป็นจำนวนมาก ข้าจะไม่เอาคืนได้อย่างไร?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยพูดราวกับเป็นเรื่องจริง และหากหวังมู่มีสติในขณะนี้เขาต้องกระอักเลือดออกมาทางปากเป็นแน่แท้...
ไม่ต่างอันใดจากหัวขโมยพานพบบรรพบุรุษแห่งโจร!!!