ตอนที่แล้วบทที่ 183 ตำหนักม่วงสองหลัง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 185 จิตสังหาร

บทที่ 184 โชคชะตาและเคราะห์ร้ายห่างกันเพียงแค่เส้นบางๆ


บนเส้นทางการบ่มเพาะพลัง จอมยุทธจะต้องดูดซับพลังจากฟ้าดิน จากนั้นก็จะใช้ศาสตร์บ่มเพาะในการแปลงพลังเหล่านั้นให้กลายเป็นแก่นแท้พลัง

ตันเทียนเปรียบเสมือนหม้อต้มซึ่งจะคอยปรุงทุกอย่างหลังจากที่ส่วนผสมทั้งหมดถูกโยนเข้ามา

เมื่อแก่นแท้พลังถูกกักเก็บไว้ในตันเทียนเป็นเวลานาน คุณภาพของมันก็จะถูกยกระดับขึ้น จากนั้นมันก็จะถูกควบแน่นจนกลายเป็นแก่นแท้พลังเหลวซึ่งจะย้ายมาอยู่ตำหนักม่วงแทน

หลังจากกระบวนการเหล่านั้นเสร็จสิ้น จอมยุทธจะสามารถกักเก็บแก่นแท้พลังได้มากขึ้นและยังแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย

พูดอีกอย่างก็คือ ตำหนักม่วงก็เป็นเหมือนกับตันเทียนที่มีระดับสูงกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม—

แม้ว่าจะก่อตั้งตำหนักม่วงขึ้นมาได้แล้ว จอมยุทธก็ยังต้องอาศัยตันเทียนในการบ่มเพาะพลังเพื่อที่จะใช้มันดูดซับพลังจากฟ้าดินและเปลี่ยนให้กลายเป็นแก่นแท้พลังรูปแบบอากาศธาตุ

หลังจากนั้นถึงจะสามารถควบกลั่นมันให้อยู่ในรูปของของเหลวแล้วค่อยลำเลียงไปเก็บไว้ภายในตำหนักม่วง

นี่คือความรู้ทั่วไปที่จอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ทุกคนย่อมต้องทราบดี!

เจียงอี้เองก็เข้าใจเกี่ยวกับมันอย่างกระจ่างชัด เมื่อเขาบ่มเพาะด้วยวรยุทธวารีตระกูลเจียง แก่นแท้พลังที่ถูกสร้างขึ้นจะอยู่ในตันเทียนจากนั้นค่อยถูกดูดซับเข้าไปในตำหนักม่วงซึ่งเป็นเรื่องปกติ

แต่สิ่งที่มันผิดปกติก็คือศาสตร์นิรนาม!

ในอดีต แก่นแท้พลังสีดำจะถูกสร้างขึ้นโดยการบ่มเพาะศาสตร์นิรนามและถูกกักเก็บไว้ในตันเทียน แต่เมื่อเทียบความเร็วกับวรยุทธวารีตระกูลเจียงก็ถือว่าช้ากว่ามาก

แต่ในตอนนี้ เมื่อสร้างแก่นแท้พลังสีดำโดยผ่านศาสตร์นิรนาม มันจะไม่เข้าไปอยู่ในตันเทียนและจะถูกส่งเข้าไปในตำหนักม่วงหลังน้อยโดยตรง

เจียงอี้ไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัดเกี่ยวกับตำหนักม่วงสีดำหลังน้อยซึ่งอยู่ภายในตำหนักม่วงของเขาอีกที

แต่เขาก็ยังพอเข้าใจส่วนหนึ่งของมันได้ แก่นแท้พลังเหลวสีดำหนึ่งหยดที่อยู่ด้านในตำหนักม่วงหลังน้อยสามารถแปรเปลี่ยนเป็นแก่นแท้พลังเหลวสีน้ำเงินหนึ่งร้อยหยด จากนั้นมันก็สามารถเปลี่ยนเป็นแก่นแท้พลังรูปแบบอากาศธาตุได้ถึงหนึ่งหมื่นเส้นเลยทีเดียว

นี่ก็หมายความว่าหากเขาบ่มเพาะพลังด้วยศาสตร์นิรนามในอนาคต ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสิบเท่า

สิบเท่าเชียวนะ!

เป็นตัวเลขที่น่าขนลุกขนชันยิ่งนัก ต้องทราบก่อนว่าความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเจียงอี้ในตอนนี้เทียบได้กับยอดอัจฉริยะที่ติดอันดับทำเนียบนภาของอาณาจักรเสินหวู่อยู่แล้ว

หากว่าสิ่งที่เขาคิดเป็นความจริง เช่นนั้นมันก็จะไม่มีปัญหาเลยที่เขาจะกลายเป็นผู้ที่มีความเร็วในการบ่มเพาะพลังมากที่สุดในทวีป!

คงทำได้แค่ลองดู!

เจียงอี้สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด มันไม่มีประโยชน์ที่จะเอาแต่ตั้งสมมติฐานแต่ไม่ลงมือทำ

เขาขับไล่ความคิดทั้งหมดออกไปและจดจ่ออยู่กับการบ่มเพาะพลัง หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เขาก็กลั่นแก่นแท้พลังสิบเส้นขึ้นมาในตำหนักม่วงหลังน้อยได้สำเร็จ

จากนั้นก็เปลี่ยนพวกมันทั้งสิบเส้นให้กลายเป็นแก่นแท้พลังเหลวสีดำหนึ่งหยด

จงออกมา!

เจียงอี้ควบคุมแก่นแท้พลังเหลวที่ได้จากการบ่มเพาะแบบใหม่และนำมันออกมาจากตำหนักม่วงหลังน้อย

เมื่อมันถูกลำเลียงออกมาสู่ตำหนักม่วงที่ใหญ่กว่า แก่นแท้พลังเหลวสีดำก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นแก่นแท้พลังเหลวสีน้ำเงินสิบหยดตามที่ตั้งใจไว้ จากนั้นก็แปรสภาพมันให้กลายเป็นแก่นแท้พลังรูปแบบอากาศธาตุหนึ่งหมื่นเส้น (ช่วงตรงนี้ผู้แปลเองก็งงๆครับ แต่เช็คจากทั้ง Eng และจีนแล้ว มันเขียนว่า 10 หยดจริงๆ ยังไงก็เอาตามต้นฉบับก่อนนะครับ ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวจะกลับมาแก้ไขทีหลัง ยังไงก็ต้องกราบขออภัยหากว่าทำให้ท่านผู้อ่านสับสนด้วยนะครับ)

หนึ่งชั่วโมง… หนึ่งหมื่นเส้น!

ดวงตาของเจียงอี้เปล่งประกายความสุข เดิมทีในหนึ่งชั่วโมงเขาสามารถสร้างแก่นแท้พลังสีน้ำเงินหนึ่งมาได้หนึ่งพันเส้นเท่านั้น แต่คราวนี้ความเร็วของมันกลับเพิ่มขึ้นถึงสิบเท่า!

“ฮ่าฮ่าฮ่า!!”

เจียงอี้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเป็นเวลานาน โชคดีที่เขารู้ตัวเร็วและรีบปิดปากลง ยามค่ำคืนเช่นนี้หากว่าหัวเราะนานเกินไปคงได้ถูกผู้คนหาว่าเป็นบ้าแน่ๆ

แก่นแท้พลังสีดำทรงพลังขนาดนี้เลยหรือ? เห็นได้ชัดว่ามันมีประสิทธิภาพมากกว่าแก่นแท้พลังธรรมดาถึงสิบเท่า!

ศาสตร์นิรนามนี้ถูกทิ้งไว้โดยมารดาของเขาจริงๆหรือ? จูเก๋อชิงหยุนผู้ซึ่งเป็นจอมยุทธในตำนานก็ยังกล่าวยกย่องในความแข็งแกร่งของนาง หรือว่าแท้จริงแล้วนางจะเป็นผู้แข็งแกร่งทรงพลังคนหนึ่ง?

จุดสูงสุดขอบเขตเสินโหยว? ขอบเขตจินกัง? หรืออาจจะเป็นตัวตนระดับราชันสวรรค์?

แม้แต่เจียงอี้เองก็รู้สึกว่าภายในร่างกายของเขามีความลับมากเกินไป ในตอนนี้หากว่าไม่ใช่เพราะเจียงหยุนไฮ่กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบัน เจียงหยุนไฮ่คงจะไม่ปิดบังเรื่องราวเกี่ยวกับมารดาของเขาอีก

“ณ เวลานี้ ด้วยการมีตำหนักม่วงถึงสองหลัง ขีดจำกัดของแก่นแท้พลังสีดำก็ไม่สมควรอยู่ที่หนึ่งพันเส้นอีกต่อไป ใช่หรือไม่? เพราะยังไงเสียแก่นแท้พลังสีดำที่ข้าสร้างก็สามารถเปลี่ยนเป็นแก่นแท้พลังสีน้ำเงินและถูกกักเก็บไว้ในตำหนักม่วง!”

เจียงอี้ขบคิดด้วยความตื่นเต้น

แม้ว่าเมื่อดูจากภายนอกตำหนักม่วงจะมีขนาดเล็กเท่ากับลูกลำไยเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วมันกลับซ่อนอีกโลกเอาไว้ภายใน

เมื่อขลุกอยู่กับมันมาเป็นเวลาหนึ่ง เขาก็ได้เห็นกับตาว่ามันมีพื้นที่กว้างขวางซึ่งสามารถกักเก็บแก่นแท้พลังเหลวสีน้ำเงินได้หลายล้านหยด

ทางด้านของแก่นแท้พลังสีดำที่เขาสร้างขึ้นก็จะอยู่ในตำหนักม่วงหลังที่เล็กกว่าและมันยังสามารถถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นแก่นแท้พลังสีน้ำเงินซึ่งเปลี่ยนมาอยู่ในตำหนักม่วงหลังที่ใหญ่กว่าได้

นั่นก็หมายความว่าแก่นแท้พลังสีดำแทบจะไม่ถูกจำกัดจำนวนอีกต่อไป! หรืออย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะไขความลับของมันได้!

เดี๋ยวสิ เหมือนว่าข้าจะมองข้ามอะไรไป—

ในขณะที่เจียงอี้ครุ่นคิดเรื่องอื่น เขากลับลืมเรื่องสำคัญไปอย่างหนึ่ง

เมื่อแก่นแท้พลังเหลวสีดำถูกนำออกจากตำหนักม่วงหลังน้อย มันก็จะแปรสภาพเป็นแก่นแท้พลังเหลวสีน้ำเงินซึ่งต่อมาค่อยถูกเปลี่ยนเป็นแก่นแท้พลังรูปแบบอากาศธาตุในภายหลัง

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ… แม้ว่าเขาจะสร้างแก่นแท้พลังสีดำขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่สามารถนำมันออกมาใช้ได้อีกต่อไป! เพราะเมื่อนำออกมามันก็จะเปลี่ยนเป็นแก่นแท้พลังสีน้ำเงินในทันที!

หากว่าเจียงอี้ไม่สามารถนำแก่นแท้พลังสีดำออกมาใช้ได้โดยตรง มันก็หมายความว่าพลังทำลายของฝ่ามือระเบิดแก่นแท้จะลดฮวบและไม่สามารถปรับแต่งเม็ดยาได้อีกต่อไป

นี่ยังไม่นับเรื่องที่เขาต้องใช้แก่นแท้พลังสีดำในการเพิ่มความสามารถให้กับประสาทสัมผัสทั้งห้า!

ด้วยการคงอยู่ของตำหนักม่วงสีดำหลังน้อย ทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาบรรลุถึงระดับที่สามารถสั่นสะเทือนได้ทั้งโลกหล้า แต่ก็ต้องแลกกับการสูญเสียความสามารถลึกลับที่มีแต่เดิมไป

เจียงอี้ทำการทดลองอยู่หลายครั้งและมั่นใจแล้วว่าไม่มีทางที่จะนำแก่นแท้พลังสีดำออกมาใช้โดยตรงได้อีกต่อไป เขาลองแม้กระทั่งหมุนเวียนแก่นแท้พลังสีน้ำเงินไปที่หู, จมูกและดวงตาแต่มันก็ไม่บังเกิดผล

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ความตื่นเต้นของเขาก่อนหน้านี้สูญสลายไปในทันที

‘โชคชะตาและเคราะห์ร้ายห่างกันเพียงแค่เส้นบางๆ’ การได้รับบางสิ่งมาแต่ก็อาจจะต้องเสียอีกสิ่งหนึ่งไป

ไม่กี่ปีมานี้ เจียงอี้คุ้นชินกับการใช้แก่นแท้พลังสีดำซึ่งเป็นขุมพลังที่ทำให้เขาสามารถต่อสู้ข้ามระดับได้ และยังมีอีกหลายครั้งที่เขาต้องพึ่งพามันในการมีชีวิตรอดจากภยันตรายทั้งปวง

ย้อนกลับไปตอนที่อยู่ในสุสานราชันสวรรค์หมื่นมังกร หากไม่ใช่เพราะแก่นแท้พลังสีดำ เขาก็คงจะตายเพราะกับดักมรณะไปแล้ว

การสูญเสียไพ่ตายขั้นสุดยอดไปทำให้จิตใจของเจียงอี้ในตอนนี้รู้สึกหดหู่อย่างมาก

แน่นอนว่าหากให้เขาเลือกใหม่ระหว่างความเร็วในการบ่มเพาะพลังที่เพิ่มขึ้นสิบเท่ากับแก่นแท้พลังสีดำ เขาคงจะเลือกอย่างหลังอย่างไม่ลังเล

แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วความแข็งแกร่งของตัวเองก็คือที่พึ่งที่ดีที่สุด หากเขาพึ่งพาแก่นแท้พลังสีดำมากเกินไป มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากการลุ่มหลงในอาวุธยุทธภัณฑ์ซึ่งอาจจะทำให้หลงทางและไม่สามารถเข้าสู่เต๋าวรยุทธที่แท้จริงได้

ปัญหาคือ… ตอนนี้เป็นเวลารุ่งสางแล้วและอีกไม่นานสงครามราชอาณาจักรก็จะเริ่มต้นขึ้น

เจียงอี้จะไม่สามารถที่จะหลีกเลียงและต้องเผชิญหน้ากับศัตรูจำนวนมาก เมื่อสูญเสียความสามารถสุดโกงไปอย่างกะทันหัน การต่อสู้ของเขาก็จะยากลำบากยิ่งขึ้นและก็มีโอกาสตายสูงขึ้นเช่นกัน

ในขณะที่เจียงอี้กำลังตกอยู่ในห้วงความคิด ดวงตะวันที่ด้านนอกก็เริ่มทอแสง แสดงว่าอีกไม่นานจ้านอู๋ซวงและจ้านหลินเอ๋อร์ก็จะตื่นขึ้น ดังนั้นเขาจึงเก็บความคิดทั้งหมดลงไปและลุกขึ้นไปชำระร่างกายก่อนที่จะไปรวมตัวกันที่ด้านนอกของโรงเตี๊ยมมังกรซ่อนเร้น

“ว่านก้วน ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่? เจ้าจะเข้าร่วมสงครามด้วยรึ?”

เมื่อเห็นเฉียนว่านก้วนอยู่ในกลุ่ม เจียงอี้ก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฉียนว่านก้วนก็หัวเราะออกมาเล็กน้อยและกล่าวอธิบาย

“น้องหลินเอ๋อร์ก็ไม่ได้เข้าร่วมเช่นกัน รวมไปถึงอาจารย์จำนวนหนึ่งด้วย พวกเราจะเดินทางไปยังเมืองหลวงจักรวรรดิเพื่อความสนุกก็เท่านั้น อีกทั้งโอกาสที่จะได้ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ไม่ได้มีมาบ่อยๆ!”

“อ่อ!”

แต่จู่ๆเจียงอี้ก็ดูเงียบขรึมมากขึ้น เมื่อเขาสัมผัสได้ว่าบรรดารองเจ้าสำนักและคณาจารย์ทั้งหลายมาถึงแล้ว เขาก็ก้มหน้าลงเพราะไม่ต้องการที่จะมองเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยซึ่งจะทำให้เขาปวดใจ

แต่ก็ดูเหมือนว่าสวรรค์จะเมตตาอยู่บ้าง ในบรรดาคนที่มาถึง ซูรั่วเสวี่ยกลับไม่ได้อยู่ในนั้น

ด้วยคำสั่งของรองเจ้าสำนักฉี กลุ่มคนก็ขึ้นไปบนรถม้าและมุ่งหน้าไปทางพระราชวังหลวงที่อยู่ทางทิศเหนือ

หลังจากที่พวกเขาจากไปได้ไม่นาน เงาร่างอันงดงามก็เดินออกมาจากโรงเตี๊ยมมังกรซ่อนเร้นพร้อมกับชายชราสองคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยว เมื่อขบวนรถม้าของสำนักจิตอสูรหายลับไปแล้ว หนึ่งในชายชราก็โค้งคำนับและกล่าว

“องค์หญิง ไปกันเถอะพะยะค่ะ! พิธีอภิเษกสมรสจะถูกจัดขึ้นในอีกสามเดือน ฝ่าบาททรงมีความต้องการให้ท่านกลับอาณาจักรตอนนี้!”

“อืม”

ซูรั่วเสวี่ยพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์จากนั้นก็ขึ้นรถม้าและมุ่งหน้าไปทางใต้ เมื่อนั่งอยู่ในรถม้าคนเดียว สีหน้าของนางก็ดูย่ำแย่ลงราวกับกำลังทุกข์ทรมานด้วยเรื่องบางอย่าง นางแง้มม่านเล็กน้อยและมองไปยังทิศเหนือพร้อมกับพึมพำด้วยเสียงเบา

“เจียงอี้ หากว่าเจ้าสิ้นชีพในสงครามราชอาณาจักร ในอีกหนึ่งปีข้างหน้า ข้า,ซูรั่วเสวี่ย จะขอตามไปอยู่กับเจ้า!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด