ตอนที่ 1 อีสต์บลู หมู่บ้านโคโคยาชิ
รอนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขารู้เพียงแค่ว่าเขาถูกรถบรรทุกที่วิ่งมาด้วยความเร็วชนจนกระเด็น เมื่อเขาฟื้นสติคืนมา เขาพบว่าตัวเองอยู่ในทะเลและกำลังถูกพัดพาไปยังทิศทางที่ไม่รู้จัก
ความเหนื่อยล้าของร่างกายทำให้เขาไม่อาจว่ายน้ำในทะเลได้แม้แต่น้อย และทำได้เพียงใช้แรงกายที่เหลือน้อยประคองตัวไม่ให้จมลงไปในทะเล
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังโดนคลื่นที่มาเป็นครั้งคราวซัดใส่จนทำให้เกือบจมลงไป และดื่มน้ำทะเลลงไปอึกใหญ่อย่างไม่ตั้งใจ ซึ่งมันทำให้ทรมานยิ่งกว่าเดิม และร่างกายของเขาตอนนี้อีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมงคงได้ตายแน่
โชคดี
เมื่อกำลังกายของเขาใกล้จะหมดลงและเขาไม่สามารถฝืนต่อไปได้ เกาะแห่งหนึ่งก็ได้ปรากฏตรงหน้าเขา
แม้ว่าจะไม่มีแรงอีกแล้วรอนก็ยังพยายามบิดร่างกายของเขา พึ่งพากระแสน้ำพาตัวเองไปยังเกาะตรงหน้า
เมื่อเข้าใกล้เกาะ สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดก็ทำให้ร่างกายของรอนฝืนขีดจำกัดและดูเหมือนจะฟื้นคืนความแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยทำให้เขาโบกแขนของเขาพาตัวเองไปที่ชายฝั่ง
ว้าว!
ในช่วงที่คลื่นซัด รอนก็รีบวิ่งไปที่ชายหาดจนล้มลงปากกระแทกกับหาดทราย แต่ความยินดีที่รอดชีวิตทำให้ลืมความรู้สึกเจ็บไป
รอนกลิ้งอย่างอิดออดแล้วเงยหน้าขึ้นอย่างไม่เต็มใจและหอบอย่างรุนแรง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน
“ที่นี่มันอะไร?”
ทำไมอยู่ๆมาโผล่ที่ทะเล?
รอนไม่สามารถรวมความทรงจำทั้งก่อนและหลังได้ แต่เขารู้สึกสับสนในใจราวกับว่าความทรงจำบางส่วนมันหายไป
จำไม่ได้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ในที่สุดรอนก็เลิกคิดแล้วมองไปรอบๆ พยายามตัดสินว่าเขาอยู่ที่ไหน
อย่างไรก็ตามเมื่อชำเลืองดูนอกจากทะลที่รุนแรงและหาดทรายสีทอง ก็มีเพียงอาคารแปลกๆที่ด้านหลังเกาะ แม้ว่ามันจะดูคุ้นตาแต่ฉันก็จำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน
นึกได้ไม่นานความคิดของรอนก็ถูกรบกวนด้วยความหิว
“ต้องหาอะไรมากิน…”
กดมือลงไปที่ท้องรอนก็พยุงตัวขึ้นแล้วปีนขึ้นไป เขารู้สึกว่าในสถานการณ์ปัจจุบันของเขาหากเขาไม่หาอะไรกิน เขาคงตายอยู่บนหาด แต่ก่อนที่รอนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปที่เกาะ ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นด้านหลังรอนแล้วรีบวิ่งมาหาเขา ดึงเสื้อของรอนแล้วลากเขาไปที่เกาะ
“!?”
รอนตกใจและพยายามดิ้นรนแต่พลังของมือนั้นมันเยอะมาก แม้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพปกติก็ไม่น่าสามารถสู้แรงได้ ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่เขาอ่อนแอและเกือบจะตาย
รอนพยายามหยุดอีกฝ่ายแต่เสียงของเขาเบาและแหบแห้ง เขาแทบพูดอะไรไม่ออกและอีกฝ่ายก็ไม่ได้ยิน
มนุษย์กินคน?
พวกป่าเถื่อน?
มีคำไม่กี่คำโผล่ขึ้นมาความคิดของเขาซึ่งมันทำให้รอนรู้สึกหวาดกลัว สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าเดิมคือเมื่อเขาหันศรีษะไปมอง ร่างที่เขาเห็นนั้นเป็นสีม่วงซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่สีของมนุษย์ปกติ
เมื่อเลื่อนดวงตาของเขาไปที่ศรีษะของชายคนนั้น เขาไม่เห็นเส้นผมแต่มีหนวดแปลกๆที่กำลังบิดไปมา
แม่งเอ้ย!
แม่งอะไรวะ! ที่นี่มันที่ไหน!?
ดวงตาของรอนเบิกกว้างอย่างรุนแรงจากการเห็นภาพที่เหลือเชื่อ เขาบอกตัวเองในใจว่ามันแค่ฝัน แต่ความเจ็บปวดที่ถูกลาก ความเจ็บปวดจากผิวถูกับพื้นดินทำให้เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ฝัน นี่เรื่องจริง!
ในขณะที่รอนพยายามต่อสู้ด้วยกำลังทั้งหมดของเขา อยู่ๆตัวของเขาก็เบาและถูกสัตว์ประหลาดสีม่วงโยนลอยกลางอากาศไปตกลงที่ลานบ้าน
“กัปตันอารอน ผมเจอมนุษย์บนฝั่งสงสัยจะถูกคลื่นซัดมา”
สิ่งมีชีวิตที่ขว้างลอนไปที่ลานกว้างเปิดปากของเขาไปที่ลานบ้าน ภาษาที่มันใช้ไม่ใช่ภาษาที่รอนคุ้นเคย แต่น่าแปลกที่เขาเข้าใจมันทั้งหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำแรกที่พ่นออกจากปากทำให้รอนตกใจอยู่ครู่นึง
กัปตัน...อารอน?
ชื่อที่คุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ถูกทำให้อารมณ์ของรอนเกาะกุมไปทั้งหัวใจ ความเจ็บปวดที่ร่างกายเกือบแตกสลายถูกทิ้งไว้ด้านหลัง
เขาหันหัวอย่างยากลำบากและมองเข้าไปในลาน บนเก้าอี้ตรงนั้นเขาเห็นร่างที่เขาคุ้นเคยแล้วดวงตาของเขาก็มืดมน
เป็นเขาจริงๆ!
อารอน!
เหมือนกับในความจำ ลักษณะตรงกันอย่างสมบูรณ์!
“งั้นที่นี่คือ...โลกวันพีช!?”
รอนเค้นตาอย่างแรงเพื่อให้แน่ใจว่าเขาของไม่ผิด และอารมณ์ของเขาก็ค่อยๆตื่นเต้น
นี่คือหนึ่งในโลกที่เขาโปรดปราน จินตนาการมานับครั้งไม่ถ้วนว่าสามารถมาที่นี่ได้ แต่ฉันไม่ได้หวังว่าจะได้มาในโลกนี้จริงๆ!
อารอนนั่งเอนกายเปิดตามองรอนที่อยู่บนพื้นแล้วพูดว่า “เกยฝั่งงั้นเหรอ? เราไม่ใช่ที่หลบภัยนะ อืม..ทำตามกฏของที่นี่ด้วยล่ะ 1แสนเบรีต่อคน”
โอบิที่ลานบ้านมองไปที่รอนซึ่งเปียกโชกสวมแค่เสื้อเชิ้ตและกางเกงขาสั้น “มนุษย์นี่ไม่มีเงินหรอก...”
“งั้นฆ่ามัน”
เสียงขี้เกียจของอารอนเอ่ยออกมา เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับเงินจากคนที่มาเกยฝั่ง
บทสนทนาที่เรียบง่ายของอารอนและโอบิแต่มันเป็นเหมือนกับการสาดน้ำเย็นใส่หน้าของรอน
ตามเนื้อเรื่องรอนแน่ใจว่าประโยค ‘ฆ่ามัน’ นี้ไม่ใช่เรื่องตลก แต่มันเป็นการเอามีดมาหั่นตัวเขาเป็นชิ้นๆจริงๆ
การได้มาที่โลกของวันพีชทำให้เขามีความสุขและตื่นเต้นแน่นอน แต่สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเขามันผิดไปหน่อย! มันน่าอนาถที่ต้องตายทันที! เขายังไม่ทันแตะผลปีศาจเลย!
ความคิดหาวิธีเอาตัวรอดพุ่งพล่านอย่างดุเดือด แต่เห็นได้ชัดว่าอารอนไม่ตั้งใจจะให้เวลารอนคิด
ในเวลานี้ร่างของรอนไม่ต่างกับแตกสลายไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องวิ่งหนี ต่อให้อยู่สภาพปกติก็ไม่อาจหลบหนีจากสัตว์ประหลาดอย่างอารอนได้
ดูกระบอกในมือของโอบิกำลังใกล้เข้ามา รอนไม่อาจต่อต้านได้แม้จะฝืนด้วยพลังทั้งหมดแต่แขนเขาก็ยังขยับไม่ได้
แต่ก่อนที่กระบองจะตกลงมา ก็มีเสียงใสดังขึ้น
“รอก่อน!”
โอบิหยุดโดยไม่รู้ตัวและกระบองก็ห่างจากหน้ารอนไม่ถึงฟุต แม้ว่ารอนจะมีสภาวะจิตใจที่เข็งแข็งแต่หัวใจเขาก็เกือบจะหยุดเต้นอยู่ดี
เขาหันศรีษะไปทางทิศทางของเสียง และเห็นเด็กผู้หญิงอายุ 14 ปีอยู่ตรงนั้นพร้อมกับผมสีส้มสั้นๆ ตัวเล็กและน่ารัก ที่เขาจำตัวตนของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว
นามิ!
ดูเหมือนอายุ 14 หรือ 15 ปีเท่านั้น
กล่าวอีกนัยนึงเวลานี้คือช่วงก่อนลูฟี่ออกทะเล 3 ถึง 4 ปี ตามอายุของนามิรอนเดาจากเรื่องนั้นแล้วเขาก็โล่งใจ
แม้ว่านามิไม่รู้จักเขาแต่ด้วยนิสัยของนามิ ก็ไม่มีทางปล่อยให้เขาถูกฆ่าโดยมนุษย์เงือก
ตราบใดที่เขาสามารถอยู่รอดได้ ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ต่อหน้าความยากลำบากแม้ว่าเขาจะไม่มีอะไรเลยก็ตาม เขาก็มั่นใจที่จะอยู่รอดโดยอาศัยความเข้าใจในโลกนี้และออกทะเล
“โอ้ เธอกลับมาแล้ว”
เมื่อเห็นนามิที่ลานบ้าน อารอนก็ลุกจากเก้าอี้แล้วยิ้มให้ “หลังจากออกไปตั้งนาน...ฉันว่าจะส่งคนไปตามหาถ้าเธอยังไม่กลับมา”
นามิขมวดคิ้วแล้วมองไปที่รอนที่นอนอยู่บนพื้น ในตอนแรกเธอคิดว่ารอนเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านโคโคยาชิดังนั้นเธอจึงหยุดโอบิอย่างไม่ลังเล แต่นี่กลับเป็นคนแปลกหน้า
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
นามิมองไปที่อารอนแล้วขมวดคิ้ว
อารอนกางมือแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร เจ้านี่ถูกคลื่นซัดมาเกยฝั่ง และเจ้านี่ไม่รู้ว่ามาจากไหนแถมไม่มีเงินจ่าย ตามกฎของที่นี่ไม่มีสิทธิ์มีชีวิตถ้าเขาไม่สามารถจ่ายเงินได้”
อารอนยิ้มแล้วพูด “เฮ้ โอบิอย่าทำที่ลานสิเดี๋ยวเลือดมันก็เปรอะไม่หมด โยนมันออกไปก่อน”
“โอเค กัปตันอารอน!”
โอบิตอบรับอย่างเซื่องซึมแล้วยื่นมือมาที่รอนและลากเขาออกไปจากลานบ้าน
นามิที่ได้ยินคำพูดของอารอนก็นึกถึงแม่บุญธรรมเบลเมลและเห็นว่าโอบิต้องการลากรอนออกมา เธออดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “หยุด”
“โอเค?”
อารอนมองไปที่นามิแล้วยิ้ม “เธอต้องการให้ไว้ชีวิตเขางั้นเหรอ? น่าเสียดายที่กฎที่นี่ไม่สามารถยกเลิกได้โดยพลการเว้นแต่ว่าเขาจะสามารถเอา 100,000 เบรีมาจ่ายเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อได้”
ไม่สำคัญว่ารอนจะถูกฆ่าหรือไม่ ก็แค่ผู้ลี้ภัยที่เรืออับปางไม่เป็นอะไรที่นามิจะปล่อยไป แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้นามิทิ้งความคิด "กฎจะต้องไม่ถูกทำลาย" ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ไม่งั้นก็ ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ไม่มีการปล่อยหมู่บ้านทั้งหมดของโคโคยาชิหรือ?
นามิชำเลืองมองรอน และตอนนี้ทุกคนจะเห็นได้ว่ารอนนั้นไม่มีเงินเบรีซ่อนอยู่ตามตัวเลย
ในเวลานี้ แม้ว่านามิจะยอมรับอารอนที่จะใช้ 100ล้านเบรีเมื่อไถ่หมู่บ้านโคโคยาชิ แต่เธอมีเพียง 3แสนเบรีจากการเดินทางหลายครั้ง ถ้าจะช่วยรอนเธอต้องจ่ายทันทีหนึ่งแสนเบรี
แม้ว่าจะไม่ใช่คนรู้จักกัน แต่การดูรอนถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาของเธอ นามิไม่สามารถทำได้นอกจากนี้คำพูดของอารอนก็กระตุ้นความทรงจำของเธอที่มีต่อเบลเมล
นามิกำลังดิ้นรน แต่รอนกลับสงบ
แม้ว่านามิจะไม่ช่วยเขา เขาก็คิดหาวิธีที่จะออกไปได้แล้ว แต่นั่นก็มีความเสี่ยงเหมือนกัน
หนึ่งแสนเบรี
นามิที่อายุแค่ 14 หรือ 15 ปี เป็นเงินจำนวนหนึ่งที่ต้องใช้ความพยายามและความเสี่ยงอย่างมากในการได้มา มันไม่เกี่ยวกับว่ามีเงินมากหรือน้อย
ไม่กี่วินาทีแต่เหมือนว่านานเป็นปี
ในที่สุดนามิก็ตัดสินใจได้ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าของเธอ
“เหอ...ใจกว้างจริงๆ”
อารอนยิ้มแล้วหยิบเงินขึ้นมาโบกมือให้โอบิแล้วพูดว่า “โอเค มนุษย์ชีวิตยังเป็นของแก”
เมื่อเห็นฉากนี้รอนถอนหายใจออกมาแล้วมองไปที่ท้องฟ้าสีคราม
ความเมตตา ความฉลาด ร่างกายที่อ่อนนุ่ม เสียงที่น่ารัก
เธอโคตรเยี่ยม