บทที่ 182 ก่อตั้งตำหนักม่วง
เมื่อเจียงอี้ตื่นขึ้นมา มันก็เป็นเวลายามบ่ายแล้ว เขาถูกพากลับมายังที่พักของจ้านอู๋ซวงในโรงเตี๊ยมมังกรซ่อนเร้น เมื่อฟื้นสติดีแล้วเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาและไม่ได้ถามอะไรทั้งสิ้น เขาทำเพียงแค่ทานมื้อเช้าอย่างง่ายๆและเริ่มบ่มเพาะพลัง
หลังจากที่ออกจากการเก็บตัวก็ดูเหมือนว่าท่าทีของเจียงอี้จะกลับมาเป็นปกติแล้ว เขาทานอาหารค่ำอย่างสบายใจราวกับว่าเรื่องเมื่อวานไม่เคยเกิดขึ้น
เฉียนว่านก้วน, จ้านอู๋ซวงและจ้านหลินเอ๋อร์เองก็ไม่ได้โง่ พวกเขาดื่มกินกับเจียงอี้ตามปกติ แต่เมื่อทานอาหารไปได้สักพัก เจียงอี้ก็เอ่ยบางอย่างออกมา
“พวกเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเห็ดหลินจืออัคคีบ้างไหม?”
“เห็ดหลินจืออัคคี?”
จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนสบตากันก่อนที่จะหันกลับมาอธิบาย
“แน่นอนว่าข้ารู้จัก มันคือหนึ่งในสิบอันดับแรกของสมุนไพรวิญญาณในทวีปแห่งนี้ เห็ดหลินจืออัคคีเป็นสมุนไพรลึกลับซึ่งเหมาะสำหรับการบ่มเพาะพลังเพราะมันอัดแน่นไปด้วยพลังงานฟ้าดิน… แต่ก็อย่างว่าแหละ การจะหามันเจอก็คงทำได้เพียงแค่พึ่งพาบุญวาสนา!”
“ขนาดนั้นเลยรึ?”
เจียงอี้รู้เพียงแค่ว่าเห็ดหลินจืออัคคีมีสรรพคุณในการเพิ่มระดับการบ่มเพาะจากบทสนทนาของนายน้อยหนุ่มที่เจอให้หุบเขาอัคคีเมฆา
แต่เมื่อเขาได้ยินคำอธิบายจากปากของเฉียนว่านก้วนแล้ว เขาก็อดที่จะรู้สึกตกใจไม่ได้ จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“เจ้ารู้วิธีการที่จะปรับแต่งมันหรือไม่?”
“เรื่องนั้นข้าไม่แน่ใจ”
เฉียนว่านก้วนส่ายหัว เขามองกลับไปที่เจียงอี้และเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ลูกพี่ เจ้าถามถึงมันทำไมหรอ? หรือว่าเจ้ามีเห็ดหลินจืออัคคีอยู่กับตัว?”
เจียงอี้ไม่ได้กล่าวออกมา แต่พริบตาเดียววัตถุที่มีรูปร่างคล้ายกับเห็ดซึ่งมีสีแดงเพลิงก็ปรากฏอยู่บนฝ่ามือของเขา
“นี่คือเห็ดหลินจืออัคคีใช่หรือไม่? ข้าได้มันมาจากหุบเขาอัคคีเมฆา”
“โอ้ พระเจ้า!”
เฉียนว่านก้วนกระโดดพรวดขึ้นมาด้วยความตกใจ แม้แต่จ้านอู๋ซวงก็ช็อคจนร่างแข็งค้างไปแล้ว มีเพียงจ้านหลินเอ๋อร์ที่ใช้ดวงตาอันส่องประกายจ้องมองไปยังเห็ดหลินจืออัคคีด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ลูกพี่ รีบเก็บมันกลับไปเร็วเข้า! พลังวิญญาณของเขากำลังรั่วไหลออกมาแล้ว!”
เฉียนว่านก้วนรีบตะโกนด้วยความร้อนใจ จากนั้นเขาก็ลดเสียงต่ำลงและกล่าว
“มันคือเห็ดหลินจืออัคคีไม่ผิดแน่! แต่น่าเสียดายที่มันน่าจะมีอายุเพียงแค่หนึ่งร้อยปี หากว่ามันอายุสักหนึ่งพันหรือหนึ่งหมื่นปี มันจะน่าอัศจรรย์กว่านี้มาก!”
“มีข่าวลือว่าเห็ดหลินจืออัคคีอายุหมื่นปีมีพลังที่จะผลักดันให้จอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ขั้นแรกทะลวงสู่ขอบเขตจื่อฝู่ขั้นสุดท้ายได้เลยทีเดียว…”
“สุดยอดขนาดนั้นเชียว?!”
เจียงอี้แทบจะระงับความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ เขารีบเอ่ยขึ้นมา “เจ้าช่วยไปหาวิธีปรับแต่งเห็ดหลินจืออัคคีให้ข้าหน่อยเร็วเข้า! พวกเราจะเดินทางไปยังเมืองหลวงจักรวรรดิพรุ่งนี้แล้ว ข้าอยากที่จะปรับแต่งมันคืนนี้!”
“ได้เลย!”
เฉียนว่านก้วนไม่กล้ารอช้าและรีบไปจัดการงานที่ได้รับมอบหมายในทันที เมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเขาก็กลับมาพร้อมกับกระดาษและขวดยา
“ลูกพี่ นี่คือข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการปรับแต่งเห็ดหลินจืออัคคีที่ข้าได้มาจากตระกูล ตามที่ผู้อาวุโสของตระกูลข้ากล่าว เห็ดหลินจืออัคคีเป็นสมุนไพรหยาง ดังนั้นมันจึงต้องการสนุมไพรหยินเพื่อทำให้พลังของพวกมันสมดุล”
หลังจากที่เฉียนว่านก้วนอธิบายจบ เขาก็พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“ลูกพี่ เจ้าเกือบจะควบกลั่นจื่อฝู่ขึ้นมาได้แล้ว หากเจ้าปรับแต่งเห็ดหลินจืออัคคีในตอนนี้ มันอาจจะสูญเสียพลังไปอย่างน่าเสียดายในระหว่างที่เจ้ากำลังควบกลั่น ทำไมเจ้าไม่รอให้ทะลวงสู่ขอบเขตจื่อฝู่ก่อนแล้วค่อยปรับแต่งมันล่ะ?”
จ้านอู๋ซวงที่นิ่งเงียบก่อนหน้านี้ก็กล่าวเสริมขึ้นมา “การควบกลั่นจือฝู่ใช้เวลาไม่นานนัก แต่มันก็ช้าเกินไปสำหรับการปรับแต่งเห็ดหลินจืออัคคี แน่นอนว่ามันจะทำให้ตัวสมุนไพรสูญเสียพลังไป หากเป็นเช่นนั้นมันคงจะน่าเสียดายมากจริงๆ!”
ย้อนกลับไปตอนที่อยู่ในสำนัก เจียงอี้ได้ค้นคว้าข้อมูลมากมายเกี่ยวกับการควบกลั่นจื่อฝู่ เขารู้ว่าในระหว่างกระบวนการนั้น เขาแทบจะไม่มีเวลาได้แตะต้องเห็ดหลินจืออัคคี หากว่าไม่สามารถปรับแต่งมันได้ทัน พลังงานส่วนใหญ่ของมันก็จะรั่วไหลและกลับคืนสู่ผืนปฐพีอย่างแน่นอน
สงครามราชอาณาจักรใกล้เข้ามาและเมื่อเวลานั้นมาถึง เจียงอี้จะไม่มีเวลามากพอให้มาสนใจสิ่งอื่น ถ้าหากเขาตายในสงครามมันก็เหมือนกับว่าเห็ดหลินจืออัคคีจะถูกส่งไปเป็นของขวัญให้กับศัตรูของเขา
ในที่สุด เมื่อตัดสินใจได้ เจียงอี้ก็กัดฟันแน่นและเดินกลับเข้าไปในห้อง แต่ก่อนที่จะไปเขาก็ขอให้จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนคอยเฝ้าเขาอยู่ที่ด้านนอก
หลังจากที่อ่านรายละเอียดบนกระดาษ เจียงอี้ก็ตระหนักได้ว่าการบวนการปรับแต่งนั้นไม่ได้ซับซ้อนเหมือนอย่างที่คิด เขาเพียงแค่ต้องใส่ใจเวลาดูดซับพลังของเห็ดหลินจืออัคคี แต่ถ้าหากเขาดูดซับเร็วเกินไปมันก็อาจจะทำให้เส้นลมปราณของเขาระเบิดเนื่องจากพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน
จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนนั่งอยู่บนพื้นขณะเดียวกันผู้อาวุโสหลิวและผู้อาวุโสจีก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เจียงอี้เริ่มกระบวนการ เขากลืนเม็ดยาหยินเหมันต์ที่เฉียนว่านก้วนนำมาให้ จากนั้นก็นำเห็ดหลินจืออัคคีขึ้นมาเพื่อที่จะทำการปรับแต่งมัน
ครื้นนน!
แก่นแท้พลังหมุนเวียนอยู่รอบเห็ดหลินจืออัคคีซึ่งกำลังเปล่งแสงสีแดงออกมา แต่ไม่นานนักมันก็เริ่มหม่นแสงลง พลังงานสีแดงฉานถูกลำเลียงไปตามเส้นลมปราณของเจียงอี้และเข้าไปสู่ตันเทียนของเขา
เจียงอี้ทำตามวิธีในกระดาษโดยการแปลงพลังงานดังกล่าวให้กลายเป็นแก่นแท้พลังสีน้ำเงิน
เพียงแค่เศษเสี้ยวพลังงานจากเห็ดหลินจืออัคคี เขาก็สัมผัสได้แล้วว่าความแข็งแกร่งของแก่นแท้พลังสีน้ำเงินกำลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด!
เจียงอี้จมอยู่กับความเงียบ แก่นแท้พลังสีน้ำเงินเติมเต็มตันเทียนไปมากกว่าครึ่งและสีของมันกำลังเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอ่อน จากนั้นไม่นานนักตันเทียนของเขาก็ถูกอัดแน่นไปด้วยแก่นแท้พลังมหาศาล
ตอนนี้เขาก็เหลือเพียงแค่แปลงสภาพพวกมันเพื่อที่จะควบกลั่นจื่อฝู่(ตำหนักม่วง)!
เจียงอี้ไม่สามารถแบ่งสมาธิไปดูดซับเห็ดหลินจืออัคคีได้อีกต่อไป เขาเพิ่มความเร็วขึ้นและทำให้มันหลอมละลายจนในไม่ช้าตันเทียนของเขาก็เต็มไปด้วยพลังงานของเห็ดหลินจืออัคคี
แต่เขาอาจจะต้องละทิ้งพลังงานสามในสี่ของมันและหันไปจดจ่ออยู่กับการควบกลั่นจื่อฝู่ มิฉะนั้นทุกสิ่งที่ทำมาจะสูญเปล่า
เริ่มการควบกลั่นจื่อฝู่!
เจียงอี้ไม่ต้องการปล่อยให้เวลาเสียเปล่า หากเขาไม่ควบกลั่นจื่อฝู่ตอนนี้ ตันเทียนของเขาจะไม่สามารถกักเก็บพลังได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เมื่อการดูดซับเห็ดหลินจืออัคคีเริ่มขึ้นแล้ว มันจะไม่สามารถหยุดได้และไม่สามารถนำกลับไปเก็บในไข่มุกวิญญาณเพลิงได้อีกต่อไป เขาทำได้เพียงแค่มองดูพลังงานที่กำลังรั่วไหลออกไปและกลับคืนสู่ผืนปฐพีด้วยความเจ็บปวดหัวใจเท่านั้น
ตอนนี้เขาไม่มีเวลาให้มาพะวงกับเห็ดหลินจืออัคคี เขาควบคุมพลังที่ไหลเวียนอยู่ในตันเทียนและแบ่งมันออกมาเป็นสองส่วน จากนั้นเขาก็ใช้การเคลื่อนไหวแบบไทเก็กเพื่อเข้ามาช่วยในการเหนี่ยวนำพลังหยินและหยาง
ไม่สิ! เดี๋ยวก่อน—
ในขณะที่กำลังโคจรพลังอยู่นั้น ร่างของเจียงอี้ก็สั่นสะท้านราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาลืมไปว่าภายในตันเทียนของเขายังมีพลังอยู่อีกหนึ่งชนิด… แก่นแท้พลังสีดำ!
พลังของแก่นแท้พลังสีดำไม่ได้ต่อต้านแก่นแท้พลังสีน้ำเงินอีกทั้งยังสามารถผสานเข้ากันได้เป็นอย่างดี เขาจึงเก็บมันไว้ในตันเทียนโดยไม่คิดอะไร
ก่อนหน้านี้เจียงอี้มุ่งเน้นความสนใจไปที่เห็ดหลินจืออัคคีและการควบกลั่นจื่อฝู่จึงทำให้เขาหลงลืมการคงอยู่ของมันไป
เมื่อรู้ตัวอีกมันก็ถูกผสานลงไปในแก่นแท้พลังสีดำหลายร้อยเส้นแล้ว
ข้าควรจะทำยังไงดี?
เจียงอี้อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากเขาไม่นำแก่นแท้พลังสีดำออกมาและเก็บไว้ในเส้นลมปราณ มันอาจจะส่งผลกระทบต่อการควบกลั่นจื่อฝู่ ถ้ามันเกิดการต่อต้านกันขึ้นมา เขาจะพบเจอกับปัญหาใหญ่
แต่ถ้าหากเขาจะบังคับให้มันออกไปจากตันเทียนก็ดูเหมือนว่าเขาจะต้องใช้เวลานาน เมื่อถึงตอนนั้นพลังของเห็ดหลินจืออัคคีก็คงจะสูญสลายไปจนหมดสิ้น
ลืมมันไปเถอะ!
เจียงอี้กัดฟันแน่นและดำเนินกระบวนการต่อไป ในเมืองแก่นแท้พลังสีดำสามารถผสานกับแก่นแท้พลังสีน้ำเงินได้เป็นอย่างดี มันก็ไม่น่าที่จะเมื่อปัญหาในระหว่างที่กำลังควบกลั่นจื่อฝู่ ใช่หรือไม่?
ยิ่งไปกว่านั้นมันก็เป็นเพียงแก่นแท้พลังสีดำเพียงไม่กี่ร้อยเส้น เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณของแก่นแท้พลังสีน้ำเงินแล้ว มันก็น้อยกว่ามากและไม่ควรจะส่งผลกระทบใดๆ
แก่นแท้พลังทั้งสองหมุนเวียนอยู่ในตันเทียนด้วยความเร็วสูงซึ่งดูคล้ายกับมังกรตัวหนึ่งที่พยายามไล่กวดมังกรอีกตัว ในเวลานี้เจียงอี้กำลังเพ่งสมาธิเพื่อเพิ่มความเร็วในการไหลเวียนแก่นแท้พลังจนในที่สุดมันก็กลายเป็นวังน้ำวน
ตันเทียนแปรสภาพ ก่อกำเนิดตำหนักม่วง!
การหมุนเวียนแก่นแท้พลังมาถึงขีดจำกัด เจียงอี้แผดเสียงคำรามอยู่ในห้วงความคิดในขณะที่วังน้ำวนกำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกันขนาดของตันเทียนก็เติบโตขึ้นตามไปด้วย
ในขณะที่ความเร็วในการหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า จู่ๆสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น!
ใจกลางของวังน้ำวนที่อยู่ในตันเทียน ตำหนักสีม่วงที่ดูศักดิ์สิทธิ์ก็ก่อตัวขึ้นและยังมีขนาดเท่ากับเม็ดถั่วเหลืองเท่านั้น ในลำดับต่อมาแก่นแท้พลังที่ก่อนหน้านี้ยังคงรวมตัวกันอยู่ในตันเทียน บัดนี้มันได้ย้ายเข้าไปอยู่ในตำหนักม่วงและส่งผลให้ตัวตำหนักค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น
ในที่สุดแก่นแท้พลังทั้งหมดที่อยู่ในตันเทียนก็หายไป เวลานี้ตำหนักม่วงมีขนาดใหญ่ขึ้นจนเทียบได้กับเม็ดลำไยและตั้งอยู่ใจกลางตันเทียนอย่างสงบ
มันเปล่งแสงสีน้ำเงินอ่อนออกมา อีกทั้งยังสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์และสง่างามซึ่งทำให้มันดูราวกับเป็นตำหนักที่ตั้งอยู่ในสรวงสวรรค์ทั้งเก้า!
จื่อฝู่ – ตำหนักม่วง