ตอนที่แล้วบทที่ 181 รั่วเสวี่ยจะตอบรับความรู้สึกของเจ้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 183 ตำหนักม่วงสองหลัง

บทที่ 182 ก่อตั้งตำหนักม่วง


เมื่อเจียงอี้ตื่นขึ้นมา มันก็เป็นเวลายามบ่ายแล้ว เขาถูกพากลับมายังที่พักของจ้านอู๋ซวงในโรงเตี๊ยมมังกรซ่อนเร้น เมื่อฟื้นสติดีแล้วเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาและไม่ได้ถามอะไรทั้งสิ้น เขาทำเพียงแค่ทานมื้อเช้าอย่างง่ายๆและเริ่มบ่มเพาะพลัง

หลังจากที่ออกจากการเก็บตัวก็ดูเหมือนว่าท่าทีของเจียงอี้จะกลับมาเป็นปกติแล้ว เขาทานอาหารค่ำอย่างสบายใจราวกับว่าเรื่องเมื่อวานไม่เคยเกิดขึ้น

เฉียนว่านก้วน, จ้านอู๋ซวงและจ้านหลินเอ๋อร์เองก็ไม่ได้โง่ พวกเขาดื่มกินกับเจียงอี้ตามปกติ แต่เมื่อทานอาหารไปได้สักพัก เจียงอี้ก็เอ่ยบางอย่างออกมา

“พวกเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเห็ดหลินจืออัคคีบ้างไหม?”

“เห็ดหลินจืออัคคี?”

จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนสบตากันก่อนที่จะหันกลับมาอธิบาย

“แน่นอนว่าข้ารู้จัก มันคือหนึ่งในสิบอันดับแรกของสมุนไพรวิญญาณในทวีปแห่งนี้ เห็ดหลินจืออัคคีเป็นสมุนไพรลึกลับซึ่งเหมาะสำหรับการบ่มเพาะพลังเพราะมันอัดแน่นไปด้วยพลังงานฟ้าดิน… แต่ก็อย่างว่าแหละ การจะหามันเจอก็คงทำได้เพียงแค่พึ่งพาบุญวาสนา!”

“ขนาดนั้นเลยรึ?”

เจียงอี้รู้เพียงแค่ว่าเห็ดหลินจืออัคคีมีสรรพคุณในการเพิ่มระดับการบ่มเพาะจากบทสนทนาของนายน้อยหนุ่มที่เจอให้หุบเขาอัคคีเมฆา

แต่เมื่อเขาได้ยินคำอธิบายจากปากของเฉียนว่านก้วนแล้ว เขาก็อดที่จะรู้สึกตกใจไม่ได้ จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

“เจ้ารู้วิธีการที่จะปรับแต่งมันหรือไม่?”

“เรื่องนั้นข้าไม่แน่ใจ”

เฉียนว่านก้วนส่ายหัว เขามองกลับไปที่เจียงอี้และเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ลูกพี่ เจ้าถามถึงมันทำไมหรอ? หรือว่าเจ้ามีเห็ดหลินจืออัคคีอยู่กับตัว?”

เจียงอี้ไม่ได้กล่าวออกมา แต่พริบตาเดียววัตถุที่มีรูปร่างคล้ายกับเห็ดซึ่งมีสีแดงเพลิงก็ปรากฏอยู่บนฝ่ามือของเขา

“นี่คือเห็ดหลินจืออัคคีใช่หรือไม่? ข้าได้มันมาจากหุบเขาอัคคีเมฆา”

“โอ้ พระเจ้า!”

เฉียนว่านก้วนกระโดดพรวดขึ้นมาด้วยความตกใจ แม้แต่จ้านอู๋ซวงก็ช็อคจนร่างแข็งค้างไปแล้ว มีเพียงจ้านหลินเอ๋อร์ที่ใช้ดวงตาอันส่องประกายจ้องมองไปยังเห็ดหลินจืออัคคีด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ลูกพี่ รีบเก็บมันกลับไปเร็วเข้า! พลังวิญญาณของเขากำลังรั่วไหลออกมาแล้ว!”

เฉียนว่านก้วนรีบตะโกนด้วยความร้อนใจ จากนั้นเขาก็ลดเสียงต่ำลงและกล่าว

“มันคือเห็ดหลินจืออัคคีไม่ผิดแน่! แต่น่าเสียดายที่มันน่าจะมีอายุเพียงแค่หนึ่งร้อยปี หากว่ามันอายุสักหนึ่งพันหรือหนึ่งหมื่นปี มันจะน่าอัศจรรย์กว่านี้มาก!”

“มีข่าวลือว่าเห็ดหลินจืออัคคีอายุหมื่นปีมีพลังที่จะผลักดันให้จอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ขั้นแรกทะลวงสู่ขอบเขตจื่อฝู่ขั้นสุดท้ายได้เลยทีเดียว…”

“สุดยอดขนาดนั้นเชียว?!”

เจียงอี้แทบจะระงับความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ เขารีบเอ่ยขึ้นมา “เจ้าช่วยไปหาวิธีปรับแต่งเห็ดหลินจืออัคคีให้ข้าหน่อยเร็วเข้า! พวกเราจะเดินทางไปยังเมืองหลวงจักรวรรดิพรุ่งนี้แล้ว ข้าอยากที่จะปรับแต่งมันคืนนี้!”

“ได้เลย!”

เฉียนว่านก้วนไม่กล้ารอช้าและรีบไปจัดการงานที่ได้รับมอบหมายในทันที เมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเขาก็กลับมาพร้อมกับกระดาษและขวดยา

“ลูกพี่ นี่คือข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการปรับแต่งเห็ดหลินจืออัคคีที่ข้าได้มาจากตระกูล ตามที่ผู้อาวุโสของตระกูลข้ากล่าว  เห็ดหลินจืออัคคีเป็นสมุนไพรหยาง ดังนั้นมันจึงต้องการสนุมไพรหยินเพื่อทำให้พลังของพวกมันสมดุล”

หลังจากที่เฉียนว่านก้วนอธิบายจบ เขาก็พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าวิตกกังวล

“ลูกพี่ เจ้าเกือบจะควบกลั่นจื่อฝู่ขึ้นมาได้แล้ว หากเจ้าปรับแต่งเห็ดหลินจืออัคคีในตอนนี้ มันอาจจะสูญเสียพลังไปอย่างน่าเสียดายในระหว่างที่เจ้ากำลังควบกลั่น ทำไมเจ้าไม่รอให้ทะลวงสู่ขอบเขตจื่อฝู่ก่อนแล้วค่อยปรับแต่งมันล่ะ?”

จ้านอู๋ซวงที่นิ่งเงียบก่อนหน้านี้ก็กล่าวเสริมขึ้นมา “การควบกลั่นจือฝู่ใช้เวลาไม่นานนัก แต่มันก็ช้าเกินไปสำหรับการปรับแต่งเห็ดหลินจืออัคคี แน่นอนว่ามันจะทำให้ตัวสมุนไพรสูญเสียพลังไป หากเป็นเช่นนั้นมันคงจะน่าเสียดายมากจริงๆ!”

ย้อนกลับไปตอนที่อยู่ในสำนัก เจียงอี้ได้ค้นคว้าข้อมูลมากมายเกี่ยวกับการควบกลั่นจื่อฝู่ เขารู้ว่าในระหว่างกระบวนการนั้น เขาแทบจะไม่มีเวลาได้แตะต้องเห็ดหลินจืออัคคี หากว่าไม่สามารถปรับแต่งมันได้ทัน พลังงานส่วนใหญ่ของมันก็จะรั่วไหลและกลับคืนสู่ผืนปฐพีอย่างแน่นอน

สงครามราชอาณาจักรใกล้เข้ามาและเมื่อเวลานั้นมาถึง เจียงอี้จะไม่มีเวลามากพอให้มาสนใจสิ่งอื่น ถ้าหากเขาตายในสงครามมันก็เหมือนกับว่าเห็ดหลินจืออัคคีจะถูกส่งไปเป็นของขวัญให้กับศัตรูของเขา

ในที่สุด เมื่อตัดสินใจได้ เจียงอี้ก็กัดฟันแน่นและเดินกลับเข้าไปในห้อง แต่ก่อนที่จะไปเขาก็ขอให้จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนคอยเฝ้าเขาอยู่ที่ด้านนอก

หลังจากที่อ่านรายละเอียดบนกระดาษ เจียงอี้ก็ตระหนักได้ว่าการบวนการปรับแต่งนั้นไม่ได้ซับซ้อนเหมือนอย่างที่คิด เขาเพียงแค่ต้องใส่ใจเวลาดูดซับพลังของเห็ดหลินจืออัคคี แต่ถ้าหากเขาดูดซับเร็วเกินไปมันก็อาจจะทำให้เส้นลมปราณของเขาระเบิดเนื่องจากพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน

จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนนั่งอยู่บนพื้นขณะเดียวกันผู้อาวุโสหลิวและผู้อาวุโสจีก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ

เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เจียงอี้เริ่มกระบวนการ เขากลืนเม็ดยาหยินเหมันต์ที่เฉียนว่านก้วนนำมาให้ จากนั้นก็นำเห็ดหลินจืออัคคีขึ้นมาเพื่อที่จะทำการปรับแต่งมัน

ครื้นนน!

แก่นแท้พลังหมุนเวียนอยู่รอบเห็ดหลินจืออัคคีซึ่งกำลังเปล่งแสงสีแดงออกมา แต่ไม่นานนักมันก็เริ่มหม่นแสงลง พลังงานสีแดงฉานถูกลำเลียงไปตามเส้นลมปราณของเจียงอี้และเข้าไปสู่ตันเทียนของเขา

เจียงอี้ทำตามวิธีในกระดาษโดยการแปลงพลังงานดังกล่าวให้กลายเป็นแก่นแท้พลังสีน้ำเงิน

เพียงแค่เศษเสี้ยวพลังงานจากเห็ดหลินจืออัคคี เขาก็สัมผัสได้แล้วว่าความแข็งแกร่งของแก่นแท้พลังสีน้ำเงินกำลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด!

เจียงอี้จมอยู่กับความเงียบ แก่นแท้พลังสีน้ำเงินเติมเต็มตันเทียนไปมากกว่าครึ่งและสีของมันกำลังเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอ่อน จากนั้นไม่นานนักตันเทียนของเขาก็ถูกอัดแน่นไปด้วยแก่นแท้พลังมหาศาล

ตอนนี้เขาก็เหลือเพียงแค่แปลงสภาพพวกมันเพื่อที่จะควบกลั่นจื่อฝู่(ตำหนักม่วง)!

เจียงอี้ไม่สามารถแบ่งสมาธิไปดูดซับเห็ดหลินจืออัคคีได้อีกต่อไป เขาเพิ่มความเร็วขึ้นและทำให้มันหลอมละลายจนในไม่ช้าตันเทียนของเขาก็เต็มไปด้วยพลังงานของเห็ดหลินจืออัคคี

แต่เขาอาจจะต้องละทิ้งพลังงานสามในสี่ของมันและหันไปจดจ่ออยู่กับการควบกลั่นจื่อฝู่ มิฉะนั้นทุกสิ่งที่ทำมาจะสูญเปล่า

เริ่มการควบกลั่นจื่อฝู่!

เจียงอี้ไม่ต้องการปล่อยให้เวลาเสียเปล่า หากเขาไม่ควบกลั่นจื่อฝู่ตอนนี้ ตันเทียนของเขาจะไม่สามารถกักเก็บพลังได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เมื่อการดูดซับเห็ดหลินจืออัคคีเริ่มขึ้นแล้ว มันจะไม่สามารถหยุดได้และไม่สามารถนำกลับไปเก็บในไข่มุกวิญญาณเพลิงได้อีกต่อไป เขาทำได้เพียงแค่มองดูพลังงานที่กำลังรั่วไหลออกไปและกลับคืนสู่ผืนปฐพีด้วยความเจ็บปวดหัวใจเท่านั้น

ตอนนี้เขาไม่มีเวลาให้มาพะวงกับเห็ดหลินจืออัคคี เขาควบคุมพลังที่ไหลเวียนอยู่ในตันเทียนและแบ่งมันออกมาเป็นสองส่วน จากนั้นเขาก็ใช้การเคลื่อนไหวแบบไทเก็กเพื่อเข้ามาช่วยในการเหนี่ยวนำพลังหยินและหยาง

ไม่สิ! เดี๋ยวก่อน—

ในขณะที่กำลังโคจรพลังอยู่นั้น ร่างของเจียงอี้ก็สั่นสะท้านราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาลืมไปว่าภายในตันเทียนของเขายังมีพลังอยู่อีกหนึ่งชนิด… แก่นแท้พลังสีดำ!

พลังของแก่นแท้พลังสีดำไม่ได้ต่อต้านแก่นแท้พลังสีน้ำเงินอีกทั้งยังสามารถผสานเข้ากันได้เป็นอย่างดี เขาจึงเก็บมันไว้ในตันเทียนโดยไม่คิดอะไร

ก่อนหน้านี้เจียงอี้มุ่งเน้นความสนใจไปที่เห็ดหลินจืออัคคีและการควบกลั่นจื่อฝู่จึงทำให้เขาหลงลืมการคงอยู่ของมันไป

เมื่อรู้ตัวอีกมันก็ถูกผสานลงไปในแก่นแท้พลังสีดำหลายร้อยเส้นแล้ว

ข้าควรจะทำยังไงดี?

เจียงอี้อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากเขาไม่นำแก่นแท้พลังสีดำออกมาและเก็บไว้ในเส้นลมปราณ มันอาจจะส่งผลกระทบต่อการควบกลั่นจื่อฝู่ ถ้ามันเกิดการต่อต้านกันขึ้นมา เขาจะพบเจอกับปัญหาใหญ่

แต่ถ้าหากเขาจะบังคับให้มันออกไปจากตันเทียนก็ดูเหมือนว่าเขาจะต้องใช้เวลานาน เมื่อถึงตอนนั้นพลังของเห็ดหลินจืออัคคีก็คงจะสูญสลายไปจนหมดสิ้น

ลืมมันไปเถอะ!

เจียงอี้กัดฟันแน่นและดำเนินกระบวนการต่อไป ในเมืองแก่นแท้พลังสีดำสามารถผสานกับแก่นแท้พลังสีน้ำเงินได้เป็นอย่างดี มันก็ไม่น่าที่จะเมื่อปัญหาในระหว่างที่กำลังควบกลั่นจื่อฝู่ ใช่หรือไม่?

ยิ่งไปกว่านั้นมันก็เป็นเพียงแก่นแท้พลังสีดำเพียงไม่กี่ร้อยเส้น เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณของแก่นแท้พลังสีน้ำเงินแล้ว มันก็น้อยกว่ามากและไม่ควรจะส่งผลกระทบใดๆ

แก่นแท้พลังทั้งสองหมุนเวียนอยู่ในตันเทียนด้วยความเร็วสูงซึ่งดูคล้ายกับมังกรตัวหนึ่งที่พยายามไล่กวดมังกรอีกตัว  ในเวลานี้เจียงอี้กำลังเพ่งสมาธิเพื่อเพิ่มความเร็วในการไหลเวียนแก่นแท้พลังจนในที่สุดมันก็กลายเป็นวังน้ำวน

ตันเทียนแปรสภาพ ก่อกำเนิดตำหนักม่วง!

การหมุนเวียนแก่นแท้พลังมาถึงขีดจำกัด เจียงอี้แผดเสียงคำรามอยู่ในห้วงความคิดในขณะที่วังน้ำวนกำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกันขนาดของตันเทียนก็เติบโตขึ้นตามไปด้วย

ในขณะที่ความเร็วในการหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า จู่ๆสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น!

ใจกลางของวังน้ำวนที่อยู่ในตันเทียน ตำหนักสีม่วงที่ดูศักดิ์สิทธิ์ก็ก่อตัวขึ้นและยังมีขนาดเท่ากับเม็ดถั่วเหลืองเท่านั้น ในลำดับต่อมาแก่นแท้พลังที่ก่อนหน้านี้ยังคงรวมตัวกันอยู่ในตันเทียน บัดนี้มันได้ย้ายเข้าไปอยู่ในตำหนักม่วงและส่งผลให้ตัวตำหนักค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น

ในที่สุดแก่นแท้พลังทั้งหมดที่อยู่ในตันเทียนก็หายไป เวลานี้ตำหนักม่วงมีขนาดใหญ่ขึ้นจนเทียบได้กับเม็ดลำไยและตั้งอยู่ใจกลางตันเทียนอย่างสงบ

มันเปล่งแสงสีน้ำเงินอ่อนออกมา อีกทั้งยังสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์และสง่างามซึ่งทำให้มันดูราวกับเป็นตำหนักที่ตั้งอยู่ในสรวงสวรรค์ทั้งเก้า!

จื่อฝู่ – ตำหนักม่วง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด