ตอนที่ 59 พิชิต มิใช่ถูกพิชิต!
หวู่จื๋อยังคงเหมาะสมกับอันดับที่หนึ่ง ไม่เพียงเขาเก่งเรื่องต่อยตี เขายังหนังหนาอีกด้วย และที่สำคัญที่สุด ในฐานะผู้ครอบครองสังขารสวรรค์กำเนิด(ร่างกายเทียนหยวน) ปริมาณปราณกำเนิดที่เขามีเหนือความคาดหมายของคนอื่นไปมาก ไม่ว่าจะใช้เพื่อป้องกันหรือจู่โจม เขาล้วนทำได้ดีทั้งนั้น
หลังจากหวู่จื๋อ คนต่อไปคือสือเฉินจากศิษย์หญิง ในฐานะนักเชิดหุ่นสายพิฆาต พรสวรรค์ของนางในการต่อสู้ระยะประชิดเรียกได้ว่าโดดเด่น ความสามารถทุกด้านของนางอยู่ในระดับสูง
ต่อจากนั้นคือกลุ่มคนที่ทักษะใกล้เคียงกัน มีหวังหางและจู๋ซือซือที่มีเอกลักษณ์เป็นความว่องไว พวกเขามีความสำคัญกับกลยุทธ์ที่ต้องการความเร็ว ยังมีต้าหมิง เสียวหมิงและสือขุยที่มีร่างกายทนทาน เหมาะสำหรับเป็นโล่ให้สหาย
นักเชิดหุ่นสายแปลงกายชีเว่ยก็เป็นอีกหนึ่งในผู้มีทักษะด้านความเร็ว แต่พลังกายของนางน้อยกว่าจู๋ซือซือและหวังหาง นางจึงอยู่ในระดับล่างกว่าพวกเขา ต้วนอีอี ฉิงหนานและป๋ายเสี่ยวเฟยทั้งหมดล้วนเผยให้เห็นพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา ถึงแม้พวกเขาจะเป็นฝ่ายถูกอัดในการต่อสู้ แต่ความก้าวหน้าในแต่ละคราเรียกได้ว่าชัดเจน
สำหรับคนที่เหลือ พวกเขาอยู่ในระดับล่าง ถึงแม้จะถูกอัดน่วมทุกครั้ง เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้วความก้าวหน้าช่างน้อยนิด
แต่จากที่เสวี่ยอิ่งเอ่ย พวกเขาจะดีขึ้นหลังจากถูกอัดไปอีกระยะหนึ่ง...
ทั้งสิบห้าลากร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลทำอาหารเองกินเอง จากนั้นจึงกลับไปนอนที่เต็นท์ครู่หนึ่งก่อนที่เสวี่ยอิ่งผู้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาปลุก
จุดหมายครานี้คือจัตุรัสของสถาบัน!
แตกต่างจากสองครั้งแรก พวกเขาทั้งหมดล้วนมีประสบการณ์ และศิษย์นักเรียนคนอื่นๆ ในจัตุรัสเริ่มชินกับฉากนี้บ้างแล้ว ถึงแม้จะยังมีบางคนที่ชะโงกมองพวกเขาวิ่งเหงื่อชุ่มโชก แต่จำนวนน้อยกว่าวันแรกมาก
หลังจากวิ่งเสร็จ กลุ่มของป๋ายเสี่ยวเฟยออกตัววิ่งรอบพิเศษอีกครา แต่โม่ข่าไม่อาจทนได้อีกต่อไป
“โม่ข่า! เจ้าเลิกวิ่งรั้งท้ายเสียที! เจ้าอยากถูกอัดอีกกี่ครั้ง?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยก่นด่าโม่ข่า ฝ่ายหลังได้ยินก็เริ่มวิ่งสุดแรงเกิด
ต้วนอีอี ฟางเย่และจูนั่วไม่ได้มีพลังกายเยอะไปกว่าโม่ข่านัก พวกเขาทุกคนล้วนกัดฟันฝืนก้าวขาต่อไปเพราะครั้งนี้เสวี่ยอิ่งไม่เพียงให้พวกเขาวิ่งเพิ่มแต่ต้องวิ่งเร็วด้วย!
“ในรอบสุดท้าย ต้วนอีอี ฟางเย่ โม่ข่าและจูนั่ว หากพวกเจ้าทั้งสี่ยังคงวิ่งรั้งท้ายอยู่ พวกเจ้าจะได้วิ่งเพิ่มอีกสองรอบ!”
เสียงของเสวี่ยอิ่งเป็นดั่งยากระตุ้น แต่พวกเขาทั้งสี่ไม่มีแรงเหลือแล้วจริงๆ
“ป๋ายเสี่ยวเฟย พวกเจ้าทั้งสามห้ามช่วยพยุง!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยื่นมือไปจับ ยังไม่ทันที่เขาจะได้วิ่งสองก้าวก็เป็นเสวี่ยอิ่งที่ขัดขวางเขาไว้ก่อน
“อย่าลืมสิ่งที่พวกเจ้าบอกกับข้าเมื่อวาน หากอยากติดตามข้า จงไล่ให้ทัน!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยหอบหายใจเพิ่มความเร็วอีกครั้ง ฟางเย่และโม่ข่าพยายามอย่างสุดความสามารถเคลื่อนย้ายปราณกำเนิดไปบริเวณขาเพื่อเร่งความเร็ว
แต่ความจริงช่างโหดร้าย กลุ่มทั้งสามของป๋ายเสี่ยวเฟยวิ่งครบ แต่ฟางเย่กับคนอื่นยังเหลืออีกครึ่งรอบ
“พวกเจ้าห้ามหยุด วิ่งต่ออีกสองรอบ!”
เสวี่ยอิ่งเอ่ยตัดสินโทษของพวกเขา ถึงแม้ทั้งสี่จะเหนื่อยแทบตาย ไม่มีใครสักคนส่งเสียงบ่นออกมา ทั้งหมดกัดฟันแน่นกรอดพยายามวิ่งต่อไป...
เมื่อทั้งสี่วิ่งครบ ดวงอาทิตย์ลับหายไปจากท้องฟ้า ในระหว่างนี้เพื่อเป็นการให้กำลังใจพวกเขา ศิษย์นักเรียนห้องคนเถื่อนทั้งหมดตะโกนให้กำลังใจจนเสียงแทบแหบ
“ข้าสาบานว่าตั้งแต่วันนี้ไป ข้าจะไม่วิ่งรั้งท้ายอีก!!!”
โม่ข่านอนตัวอ่อนยวบอยู่บนพื้นตะโกนเสียงดังลั่น ฟางเย่เห็นเช่นนั้นก็ทำตาม
“บัดซบ!! ข้าด้วย!!!”
“ข้าด้วย!!”
ไม่มีใครคาดคิดว่าต้วนอีอีสาวขี้อายและไม่กล้าพูดเสียงดังจะตะโกนออกมา สุ้มเสียงไพเราะกระทั่งแฝงความเฉียบคมมากกว่าทั้งสอง
“ข้าเช่นกัน!”
จูนั่วปฏิเสธที่จะเป็นคนอ่อนแอสุดในห้อง หลังจากตะโกนเสร็จความรู้สึกผ่อนคลายที่ไม่เคยประสบมาก่อนพรั่งพรูเข้ามาในใจ
ศิษย์พี่ปีหนึ่งสองคนบังเอิญผ่านมาพอดี ศิษย์ชายก่นด่าออกมาเนื่องเพราะอยากแสดงพลังอำนาจและเกียรติยศ
“บัดซบ สมองของพวกเจ้ามีปัญหาหรือไร? ตะโกนโวยวายเสียงดังกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้!”
“เฮ้ ไอ้โง่ตรงนั้น เจ้าเห่าอะไร?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยลุกขึ้นเดินไปหาศิษย์พี่ที่สูงกว่าเขาครึ่งช่วงหัวทันที
“ศิษย์น้อง เจ้ากำลังพูดกับข้า?”
ศิษย์พี่ส่งเสียงเย็นชาออกมาเพราะเขาไม่ยอมให้ศิษย์น้องมาดูถูก และเขาได้ตัดสินใจจะสั่งสอนป๋ายเสี่ยวเฟยสักครา
ศิษย์พี่หญิงข้างกายไม่ได้หยุดเขา นางยิ้มเยาะรอชมปาหี่ที่คู่รักของนางกำลังจะแสดง
แต่พวกเขาทั้งสองต้องผิดหวังในครานี้
“ใช่ ข้าพูดกับเจ้า ไอ้ขยะที่ในหัวมีแต่ขยะและพูดได้แต่เรื่องขยะๆ !”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเดินไปใกล้ศิษย์พี่ก่อนจะเอ่ยคำด่าทอออกมาเป็นชุด กระทั่งศิษย์พี่ยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
“เจ้ารนหาที่...”
เขาไม่ทันได้กล่าวคำว่า ‘ตาย’ ก็เป็นเวลาที่ขาขวาห่อหุ้มด้วยปราณกำเนิดของป๋ายเสี่ยวเฟยเตะอย่างแรงไปตรงหว่างขา ศิษย์พี่ผู้นั้นคุกเข่าด้วยความเจ็บปวด
“อาจารย์เจ้าไม่ได้สอนเจ้าหรือว่าให้อัดอีกฝ่ายก่อนจะพูดความในใจ?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยื่นมือไปจับคางของเขาขึ้นเพื่อที่มันจะได้มองเห็นป๋ายเสี่ยวเฟย ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวเฟยดุร้ายเป็นดั่งสัตว์อสูรที่จะกลืนกินร่างของเขาในสายตาศิษย์พี่
“ปล่อยสามีข้า!”
หญิงสาวที่รอชมการแสดงปาหี่ตะโกนเสียงดังมือคู่นั้นหยิบจับหุ่นเชิดกระบี่แทงใส่ป๋ายเสี่ยวเฟย
แต่ก่อนที่นางจะทันได้เข้าใกล้ เรือนร่างสมบูรณ์พลันปรากฎกายข้างหน้าจับข้อมือขวาที่ถือกระบี่ของศิษย์พี่ตรงบริเวณจุดบรรจบปราณกำเนิด หลินหลีออกแรงบีบส่งผลให้หุ่นเชิดกระบี่ตกลงจากมือถึงพื้น ในวินาทีต่อมาเสียงสดใสดังกังวานของการตบส่งศิษย์พี่หญิงลงไปนอนที่พื้น
“ไปให้ห่าง...จากเขา!”
เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นสีหน้าเกรี้ยวโกรธของหลินหลี การตบเมื่อครู่รุนแรงเสียงดังที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยได้ยิน ใบหน้าของศิษย์พี่หญิงถึงกับบวมไปครึ่งหน้า
“จำไว้ พวกเราคือศิษย์ใหม่จากห้องคนเถื่อน หากเจ้ามีปัญหาก็พาสหายมาได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าเจ้าจะพามามากเท่าใด พวกเรายินดีต้อนรับ!”
ด้วยเหตุฉะนี้ นักเชิดหุ่นสายมายาระดับกลางอัดศิษย์พี่ระดับสูงจากสาขากระบี่พิฆาตจนเขาถึงกับไม่กล้าโต้แย้ง!
ในขณะเดียวกัน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดของเสวี่ยอิ่งที่เอ่ยกับพวกเขาในวันแรก
ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใด หากเจ้าไม่มีโอกาสได้ใช้พลังนั้น เจ้าก็ไม่ต่างอันใดจากคนธรรมดา!
ป๋ายเสี่ยวเฟยใช้ความจริงยืนยันคำพูด
หลังจากเหตุการณ์ครานี้ ศิษย์จากห้องคนเถื่อนเดินกลับไปยังค่ายพักนอกสถาบัน พวกเขาทั้งคนล้วนเต็มไปด้วยกำลังใจ!
“พี่ใหญ่เฟย ข้าว่าพวกเราควรจะคิดคำขวัญประจำห้องเพื่อที่เราจะได้ปลุกขวัญทุกครั้งตอนทำอะไรสักอย่าง ท่านคิดเห็นเช่นใด?”
โม่ข่าที่เป็นเหมือนกับหมาอดตายเมื่อครู่ จู่ๆ ก็เต็มไปด้วยพละกำลัง
“นั่นไม่เลว!”
ในฐานะตัวแทนของศิษย์หญิง สือเฉินเป็นคนแรกที่สนับสนุนความคิดนี้ นัยน์ตาของศิษย์ชายทั้งหมดเปล่งประกาย
“อย่าถามข้า... พวกเราต้องถามพี่หญิงเสวี่ย!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่หาญกล้าเพิกเฉยเสวี่ยอิ่งเพราะความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เขาถูกกลั่นแกล้งถึงตาย!
“ข้าไม่คัดค้าน แค่อย่าทำให้มันน่ารังเกียจก็พอ”
หลังจากเสวี่ยอิ่งหยุดพูดไปนาน ป๋ายเสี่ยวเฟยมีสีหน้าครุ่นคิด เขาหยุดเดินวินาทีก่อนที่พวกเขาจะทันได้ออกจากประตูหลักของสถาบัน
“ข้าคิดได้แล้ว”
ป๋ายเสี่ยวเฟยหยุดชั่วครู่ เมื่อสายตาทั้งหมดจับจ้องไปที่เขา ป๋ายเสี่ยวเฟยกวาดตามองทุกคนพลางกล่าว
“พิชิต มิใช่ถูกพิชิต!”
และคำขวัญที่จะดังก้องไปทั่วสถาบันชิงหลัวก็เกิดขึ้นด้วยเหตุนี้