ตอนที่ 14: ปราบมอนสเตอร์ (2)
ตอนที่ 14: ปราบมอนสเตอร์ (2)
“ออร์ค 20 ตัวรึ?!”
“กำลังพลไม่พอ!”
“พวกมันมี 20 ตัว!”
ทันทีที่ได้ยินรายงาน กลุ่มทหารก็เริ่มพากันส่งเสียงพูดคุยจนวุ่นวาย
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการตอบสนองตามธรรมชาติ
เมื่ออยู่ในเกมหรือนิยายแฟนตาซีออร์คส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์ประหลาดอ่อนแอที่สามารถต่อกรได้ง่าย ๆ ทว่าที่แพนเจียแห่งนี้ออร์คเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพละกำลังอย่างมาก ต้องใช้อย่างน้อย ๆ สี่หรือห้ากำลังคนเพื่อจัดการกับออร์คเพียงตัวเดียว
พวกมันมีกัน 20 ตัวกับจำนวนทหารเพียง 50 นาย กำลังของพวกเขาในตอนนี้ไม่พอที่จะต่อสู้กับพวกมันได้
“เงียบ เงียบ!!”
ดูเหมือนว่าผู้บัญชาการเจมส์เองก็แปลกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน แต่เขาก็สามารถรักษาความสงบนิ่งของตัวเองในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังและพยายามสงบสติอารมณ์ของกองทหารอย่างใจเย็น
จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับคังชอลอินด้วยท่าทีสุขุม
“นายท่านขอรับ ด้วยจำนวนออร์คที่มากเกินไปเช่นนี้ ข้าว่าวันนี้เราควรจะถอยทัพกันไปเสียก่อนนะขอรับ พรุ่งนี้เราค่อยออกล่าใหม่พร้อมทัพเสริม...”
“ไม่”
คังชอลอินตัดคำพูดของเจมส์ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เจ้ากำลังบอกให้ข้าถอยทัพเพียงเพราะออร์คเหล่านี้น่ะรึ?”
“ต แต่ว่า นายท่าน.... จำนวนทหารของพวกเรา…”
“ข้ารู้”
คังชอลกล่าว
“มันอาจจะทำให้ยืดเยื้อ ไม่สิ มันเป็นการยืดเยื้อเลยต่างหาก หากพูดกันตามหลักเหตุและผลแล้วการจะจัดการกับออร์คกลุ่มนี้อย่างน้อย ๆ เราก็ควรมีพลทหาร 100 นาย”
“ขอรับ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของนายท่านด้วยเช่นกันนะขอรับ”
“แต่นั่นคือสิ่งที่ผู้นำไร้ความสามารถจะพึงกระทำ … ในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการกองกำลัง การตัดสินใจของเจ้านั้นถูกต้องแล้ว การจะต่อสู้กับออร์คพวกนั้นได้เจ้าจำเป็นต้องเตรียมกำลังให้พร้อมเพื่อการปราบปรามที่สมบูรณ์”
คังชอลอินไม่มีเจตนาจะถอยทัพแต่อย่างใด
“แต่วันนี้เราสามารถเอาชนะได้ อีกทั้งยังมีโอกาสมากที่จะประสบความสำเร็จ หากเจ้าตามการนำของข้า เราก็จะสามารถกำจัดออร์คกลุ่มนั้นทั้งหมดได้โดยไม่มีใครต้องสละชีพแม้แต่คนเดียว”
“ว วิธีการใดหรือขอรับ?!”
“ข้าจะแสดงให้เจ้าได้ประจักษ์แจ้งเอง”
ขณะนั้นเอง คังชอลอินที่อยู่ตรงจุดกลางของกองทัพก็เผยรัศมีบางอย่างที่ไม่อาจจับต้องได้ครอบคลุมตัวเจมส์และกองกำลัง
‘แค่เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการกับออร์ค’
รัศมีที่คังชอลอินสร้างขึ้นเป็นทักษะที่ผู้พิชิตราชันย์ทุกคนพึงมี ทักษะ“กระตุ้นขวัญกำลังใจ”
เนื่องจากตอนนี้ระดับสถานะของเขายังเป็นเพียงแค่ 1 ดังนั้นระยะเวลาของการใช้ทักษะนี้จะอยู่ได้แค่เพียง 10 นาทีเท่านั้น แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้วต่อการปราบปรามพวกออร์ค
“ทุกคนจงฟัง!”
คังชอลอินคำรามลั่น
“สัตว์ประหลาดพวกนั้นกำลังพยายามยึดครองประชาชนและทรัพย์สินของพวกเรา!”
กองกำลังทหารเกิดภาวะสั่นไหวด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยอิทธิพลดึงดูด
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังหวั่นกลัว อย่างไรก็ตาม หากเราล่าถอยไปในครั้งนี้ คนของเราจะต้องตาย เราจะสูญเสียพื้นที่ทางการเกษตรและสัตว์ของเราจนหมดสิ้น และด้วยเหตุนั้น ข้า คังชอลอินจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด! ข้าจะสังหารออร์คและจะปกป้องคนของเรา ทรัพย์สินของพวกเรา!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ความคิดล่าถอยได้หายไปจากใจของกองทหารโดยสิ้นเชิง
‘การทำตัวให้เป็นแบบอย่าง’ คือการมีอยู่ของเหตุผล
“จงร่วมมือกับข้า! เราจะกำจัดพวกออร์คกลุ่มนั้นไปด้วยกัน!”
คังชอลอินตัดสินใจเพิ่มแรงจูงใจเข้าไปอีกหนึ่งสิ่ง
“ข้าจะให้รางวัลแก่ทหารที่สามารถสังหารออร์คได้ยอดเยี่ยมที่สุด!”
ทหารเริ่มร้อนใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“หากพวกเจ้าทำตามคำสั่งของข้า ข้าให้สัญญาว่าจะไม่มีใครต้องมาสละชีพ! จงเชื่อมั่นในตัวข้า! วางใจในตัวข้า! และอย่าได้สงสัยถึงชัยชนะของพวกเรา!”
ด้วยคำพูดปลุกขวัญสร้างกำลังใจเหล่านี้ ใบหน้าของกองทหารก็เริ่มเต็มไปด้วยสีหน้ามั่นใจ แน่วแน่ และเด็ดขาด
เป็นไปตามที่คาดไว้
กองกำลังทหารกลุ่มนี้มีความเป็นระเบียบวินัยและความกระตือรือร้นอย่างมากเป็นทุนเดิม ดังนั้นการใช้“กระตุ้นขวัญกำลังใจ”ยิ่งทำให้คำสัญญามอบรางวัลและการรับรองชัยชนะของคังชอลอินมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เขาอาจพูดเกินจริงไปหน่อยแต่ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็ถูกเขียนขึ้นด้วยพื้นฐานจากการพูดเกินจริงกันทั้งนั้น
“ข้าจะเป็นคนนำทัพ!”
คังชอลอินชักดาบกลืนโลหิตของตัวเองออกมาและคำราม
“ทหาร! บุกได้!”
เมื่อสิ้นคำพูด อาชาขาวของคังชอลอินก็เริ่มออกวิ่งด้วยความเร็วเต็มพิกัด กองทหารคุ้มกันลาพิวต้าที่ได้รับขวัญกำลังใจมาเต็มที่ออกวิ่งตามหลังไปอย่างเหี้ยมหาญ
.
.
.
“โอ๊ย หลังข้าคงจะหักเสียแล้วละมัง โอ๊ย หลังข้า…”
รัสเซลเลอร์ เกษตรกรที่หยุดพักจากการทำฟาร์มเพื่อบรรเทาอาการปวดหลังขมวดคิ้วเมื่อเขามองเห็นพายุฝุ่นก่อตัวจากระยะไกล
“อะไรกันล่ะนั่น?”
รัสเซลเลอร์หยีตามอง เขากำลังคิดว่าฝุ่นที่เห็นอยู่นี้อาจเป็นพายุฝุ่นที่มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ เมื่อพายุฝุ่นมาเขาจะเกิดอาการไอเพราะฝุ่นผงที่ปกคลุมตัวจึงพักจากการทำงานและเข้าไปหลบอยู่ในกระท่อมของตัวเอง
“ห๊ะ? น นั่นมัน…!”
รัสเซลเลอร์ที่ตั้งใจมองพายุฝุ่นอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องประหลาดใจ
ไม่ มันไม่ใช่ความประหลาดใจหากแต่เป็นความกลัวที่พุ่งขึ้นมา
“ออร์ค!”
ความสิ้นหวังถูกระบายจนเต็มทั่วใบหน้า
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
ถ้าหากมันเป็นพวกก็อบลินหรือสัตว์ประหลาดตัวเล็ก ๆ เขาพอจะมีความสามารถปกป้องตัวเองด้วยเครื่องมือการเกษตรของเขาได้บ้าง แต่กับออร์คมันจะต่างไปโดยสิ้นเชิง ออร์คเพียงตัวเดียวก็สามารถการทำลายเกษตรกรที่นี่กันได้อย่างง่ายดาย
“หนีเร็ว!”
เกษตรกรที่กำลังก้มหน้าทำงานหนักเงยหน้าขึ้นมองเนื่องด้วยเสียงกรีดร้องของรัสเซลเลอร์
“พวกออร์ค! พวกออร์คกำลังมา! ทุกคนรีบหนีเร็วเข้า!”
ด้วยคำพูดเหล่านั้น ความโกลาหลและความกลัวก็ได้แผ่กระจายไปยังเกษตรกรของลาพิวต้าในทันที
“เร็วเข้า!”
“รีบหนีไป!”
“พวกเจ้าต้องวิ่ง! เดี๋ยวนี้!”
“ออร์คกำลังมาแล้ว!”
สำหรับเกษตรกรที่ไร้ซึ่งพลังอำนาจ ออร์คจะทำลายพวกเขาจนย่อยยับ
ทันทีที่พวกเขาถูกต้อนให้จนมุม พวกเขาจะถูกโจมตีด้วยอาวุธหรือขวานและถูกจับกินเป็นอาหาร พวกเขาจะตายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากต้องการมีชีวิตอยู่ต่อก็ต้องวิ่ง ถ้ายังมีหนทางให้พอวิ่งหนีได้นั่นจะเป็นทางรอดเดียวที่เหลืออยู่
“วิ่งเร็ว ลาน่า!”
รัสเซลเลอร์ที่กำลังวิ่งหนีตายนึกถึงลูกสาวเพียงคนเดียวของตัวเองและเริ่มมองหานางด้วยความกระวนกระวายใจ
“ลาน่า! ลาน่า!”
เมื่อครู่นี้ ลาน่าเพิ่งนำอาหารกลางวันมาให้ผู้เป็นพ่อของตัวเองพร้อมกับหญิงสาวชาวบ้านอีกสองคน
“พ พ่อ!!”
เมื่อได้ยินเสียงลูกสาวดังมาจากที่ไกล ๆ ทันใดนั้นความกลัวของรัสเซลเลอร์ก็หายเป็นปลิดทิ้ง เขาเริ่มออกวิ่งไปตามทางที่ได้ยินเสียงของนาง
“ลาน่า!”
ในตอนที่เขาพบนาง ลาน่าเกิดข้อเท้าแพลงในขณะวิ่งหนี
“รีบขึ้นมาที่หลังข้าเร็ว!”
รัสเซลเลอร์รีบอุ้มนางขึ้นหลังอย่างรวดเร็วเพื่อพานางหนี
ในขณะเดียว พวกออร์คก็มาถึงฟาร์มใกล้มากขึ้นทุกที
รัสเซลเลอร์ออกวิ่งอย่างสุดความสามารถด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี
มิฉะนั้นเขาจะตาย
และไม่ใช่เพียงแค่เขาเท่านั้นที่ต้องตาย แต่รวมไปถึงลูกสาวที่น่ารักของเขาที่จะถูกออร์คกลืนกินไปด้วยเช่นกัน หากนางไม่ถูกออร์คจับกิน นางก็จะกลายเป็นทาสทางเพศให้กับออร์คเพื่อให้กำเนินลูกครึ่งออร์คต้องสาปจากนั้นก็จะถูกกินในภายหลัง
“เฮ้อ… เฮ้อ”
ด้วยความเหนื่อย รัสเซลเลอร์หอบหายใจทางปาก
อย่างไรก็ตาม
เกษตรกรธรรมดา ๆ ไม่อาจเทียบความเร็วกับสัตว์ประหลาดได้ ออร์คมีกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามนุษย์มาก อีกทั้งความเร็วของพวกมันก็ยังเร็วมากจนไม่อาจจินตนาการได้
หืด หาด ...
พวกออร์คที่เห็นเหยื่ออยู่ต่อหน้าต่อตาโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
“ไม่นะ ไม่! ไอ้สัตว์ร้าย!”
รัสเซลเลอร์พยายามวิ่งอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาชีวิตลูกสาวตัวน้อยของเขา แต่ในที่สุดด้วยความอ่อนแอก็ทำให้เขาล้มลงไปกับพื้น
“อ่า!”
เสียงตะโกนร้องดังลั่นพร้อมกับร่างมนุษย์สองคนที่กลิ้งไปตามพื้น
“อ่าาาาา!”
ลาน่าล้มกระแทกพื้นอย่างแรงจนไม่สามารถขยับตัวได้
“ลาน่า!”
รัสเซลเลอร์ตะโกนชื่อของลูกสาว
“พ่อ!”
ลาน่ากำลังจะถูกกระบองเหล็กของออร์คตัวหนึ่งทุบตีที่ศีรษะต่อหน้าต่อตาผู้เป็นพ่อของนาง รัสเซลเลอร์เองก็กำลังจะโดนทำร้ายด้วยเช่นกันแต่เขาเอาแต่จ้องมองนางโดยไม่กังวลถึงชีวิตของตัวเอง
หืด หาด … หืด หาด ...
ออร์คที่กำลังตื่นเต้นสูดลมหายใจอย่างเกรี้ยวกราดขณะยกกระบองเหล็กขึ้นเหนือหัวของตัวมันเอง
“โอ้ ลาน่า ลูกสาวข้า ไม่!…”
รัสเซลเลอร์จ้องมองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นก่อนจะหลับตาปิดแน่น
เขาพยายามไม่เปิดตาของตัวเองเพราะกลัวในสิ่งที่จะได้เห็น
เขาไม่อยากเห็นจุดจบชีวิตของบุตรสาวที่มีเลือดไหลนองท่วมตัว เขาจะปิดตาของเขาเพื่อสาปส่งพวกสัตว์ประหลาดร้ายและค่อยกลับไปเผชิญหน้ากับความตายของตัวเองอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม โชคร้ายที่เขาคาดคิดกลับมาไม่ถึงตัว
ฟึ่บ!
รัสเซลเลอร์เปิดตากว้างเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของโชคชะตาที่เกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง
“อ่า”
อัศวินม้าขาวปรากฏกายขึ้นพร้อมประหารหัวออร์คอย่างกล้าแกร่ง
คอของออร์คพุ่งขาดตัวพร้อมเลือดสดสีแดงที่เปียกโชกอยู่ใต้พื้น แม้จะดูน่ากลัวแต่ก็เป็นภาพที่งดงาม
ฮี่ ๆ … !
อาชาขาวส่งร้องเสียงดังก่อนจะเตะออร์คตัวนั้นไปให้พ้นทางด้วยขาหน้า
“ลุกขึ้นเถิด เด็กน้อย”
อัศวินที่ช่วยชีวิตนางหันมาพูดกับลาน่า
“บุตรสาวของเจ้ายังไม่สิ้นชีพ เจ้าเองก็จะได้มีชีวิตอยู่ต่อ ราชันย์ของพวกเจ้าจะช่วยปกป้องพวกเจ้าเอง”
ตอนนั้นเองที่รัสเซลเลอร์ตระหนักได้ว่าพระอาทิตย์ได้ขึ้นพ้นเหนือขอบฟ้าแล้ว
.
.
สามารถกดติดตามเพื่อรับอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับนิยายได้ก่อนใครที่ทาง แปลได้แปลเถอะ ´・ᴗ・`