บทที่ 328 - ด้วยพลังของตัวนายเอง (8) [18-02-2021]
บทที่ 328 - ด้วยพลังของตัวนายเอง (8)
”
อัญมณีได้ปล่อยแสงสว่างจ้าออกมาเพื่อเป็นการต่อต้าน แต่ว่าในสภาพปัจจุบันของมัน มันไม่อาจจะทำอะไรได้เลย เมื่อเทียบกับที่ฉันได้ใช้วงจรเพรูต้าในร่างราชาสรรพสัตว์แล้ว นี่มันไม่ต่างจากก้อนเค้กนิ่มเลย
[มนุษย์... ไม่อาจจะ... กักขังข้าได้....!]
"ไม่ต้องห่วง นายไม่ได้น่าทึ่งอย่างที่นายคิดหรอกนะ"
เพราะการต่อต้านที่รุนแรงจากเครื่องจักรสังหาร เหล็กกล้าได้ใช้พลังบางส่วนของมันออกมาเพื่อทำการป้องกันและนอกจากนี้ความเร็วในการยึดครองได้ลดลงไป ฉันได้ตั้งใจใช้วิญญาณสัมบูณณ์และวงจรเพรูต้ามากขึ้น รอยแตกขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้นมาบนอัญมณีสีเขียวแล้ว และการต่อต้านจากเครื่องจักรสังหารได้ลดลงไปอย่างมาก
[ฉันจะไม่ยอมตาย... จนกว่าภารกิจจะเสร็จสิ้น...!]
"ภารกิจ?"
มีคำที่น่าสนใจขึ้นมาแล้ว ในเวลาเดียวกันพลังจากอัญมณีได้ไหลเข้ามาในร่างฉันอย่างต่อเนื่องและผสานเข้าไปกับมานาของฉันจนไม่อาจจะหยุดการไหลเข้ามาได้ ฉันได้ถามออกไป
"ภารกิจอะไร นายกำลังจะตายแล้วเพราะงั้นบอกฉันมา"
[ภารกิจที่ฉันได้รับ...]
จากคำพูดของเครื่องจักรสังหารที่ว่า 'ได้รับ' ภารกิจมานั่นหมายความว่ามีคนมอบให้กับเขา หืมม...
[เพื่อสังหาร... ผู้สร้างดันเจี้ยน]
รอยแตกขนาดใหญ่ได้เพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม พร้อมทั้งรอยแตกร้าวเหมือนเส้นด้ายโผล่ขึ้นมาเต็มไปหมด ก่อนที่ฉันจะทันได้พูดอะไรอีกอัญมณีก็ได้แตกกระจายออกไปเป็นชิ้นๆ
แต่แน่นอนว่าต่อให้ฉันไว้ชีวิตเครื่องจักรสังหารไว้ มันก็ไม่น่าจะพูดอะไรอีกแล้ว
ฉันได้มองไปที่ดาบยาวที่เคยเป็นที่อยู่ของอัญมณีสีเขียว ถึงแม้ว่าดาบยาวจะไม่มีอัญมณีอยู่แล้วหรือมีพลังงานที่มหาศาลอยู่ แต่ดาบยาวก็ยังคงเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าออกมา ในตอนนี้เองดาบยาวก็ได้ปล่อยแสงจางๆออกมาเหมือนกับมอนสเตอร์ที่กำลังกระจายไปเป็นอนุภาคแสง ทันใดนั้นฉันได้ใช้วังวนของฉันไปครอบคลุมดาบยาวเอาไว้ และแสงจากดาบยาวก็ได้กลับไปเป็นปกติพร้อมทั้งพลังงานก็หยุดรั่วไหลออกมา
ดาบยาวเล่มนี้คืออาวุธที่พลังของดันเจี้ยนไม่อาจจะก็อปปี้ขึ้นมาได้ มันเคยเป็นที่อาศัยของร่างกายหลักเครื่องจักรสังหารมาเป็นเวลายาวนาน หากว่าปล่อยมันกลับคืนสู่ดันเจี้ยนก็คงจะเป็นเรื่องเสียเปล่า บางทีเชอร์ราฟิน่าอาจจะอยากดูดซับมันไปเหมือนอย่างเคยและคืนมันกลับมาให้ฉันหลังจากจัดการกลั่นสกัดมันก็ได้ แต่ว่าตอนนี้ฉันชอบในที่จะทำตามวิธีของฉันมากกว่า
"เยี่ยม อย่างแรกฉันจะจัดการสิ่งที่อยู่ในตัวฉันก่อน"
ฉันได้ดูดซับพลังเครื่องจักสังหารในตัวและกลั่นสกัดให้พลังกลายมาเป็นหนึ่งเดียว
แต่ว่าอย่างที่ฉันพูดไป เครื่องจักรสังหารไม่ได้มีมานามากขนาดนั้น มันก็เยอะนั่นแหละ แต่ว่าหากไปเทียบกับศัตรูแห่งโลกคนอื่นๆแล้วยังด้อยกว่ามาก
สิ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับเครื่องจักรสังหารก็คืออำนาจในการควบคุมอาวุธทั้งหมด อำนาจนี้คือสิ่งที่ทำให้ก้อนพลังงานอย่างเครื่องจักสังหารได้กลายมาเป็นศัตรูแห่งโลกและกระทั่งพิชิตโลกได้
แน่นอนว่าแค่การดูดซับเครื่องจักรสังหารก็ไม่ได้ทำให้ฉันมีพลังในการควบคุมอาวุธทั้งหมดได้อย่างอิสระ แต่ยังไงก็ตามฉันก็ได้รับความเป็นไปได้ในการทำแบบนั้นมา ด้วยศักยภาพในการพัฒนาขึ้น ฉันก็จะสามารถควบคุมอาวุธทั้งหมดได้เองเมื่อไปถึงในระดับหนึ่ง
หากว่าไม่มีเหล็กกล้ามันก็คงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดูดซับพลังเครื่องจักรสังหารมาอย่างสมบูรณ์ อย่างมากดีที่สุดฉันก็คงได้เพียงแค่สามารถใช้อาวุธหลายประเภทได้เชี่ยวชาญมากขึ้นเท่านั้น
เชอร์ราฟิน่าก็น่าจะคาดหวังแบบนี้เช่นกัน รางวัลที่เธอจะมอบให้ไม่มีทางจะมากไปกว่านี้แล้ว แต่ว่าเพราะฉันได้ดูดซับพลังเครื่องจักรสังหารไปด้วยตัวเอง ทำให้รางวัลที่เธอจะมอบให้ฉันได้หายไป
[เนื่องจากคุณคังชินได้ดูดซับพลังเครื่องจักรสังหารไป รางวัลจึงจะถูกจำกัดไว้ หากว่าคังชินเต็มใจจะปล่อยพลังส่วนหนึ่งออกมา ฉันก็สามารถจะสกัดพลังนั้นให้เป็นพลังของดันเจี้ยนได้]
"ไม่เป็นไรหรอก หากเทียบกับการได้รับความช่วยเหลือจากระบบดันเจี้ยนแล้ว ฉันคิดว่าการเก็บพลังบริสุทธิ์ของมันเอาไว้จะต้องมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับศัตรูแห่งโลกมากกว่า"
[ใช่แล้วล่ะ]
แน่นอนว่าหากฉันมอบพลังให้กับเธอไป ฉันก็มั่นใจว่าฉันจะไม่ได้เสียเปรียบอะไรและจะได้รับพลังทั้งหมดนั่นคืนมา แต่ว่าในเมื่อเชอร์ราฟิน่าไม่อาจจะเข้าใจถึงพลังของเหล็กกล้าได้ เธอก็ไม่อาจจะเข้าใจถึงพลังนี้ได้เช่นกัน แล้วก็ไม่ว่ายังไงฉันก็สามารถจะให้เธอดูพลังนี้ในคราวหลังก็ได้ ฉันอยากที่จะได้เห็นใบหน้าประหลาดใจของเธอในตอนนั้นจังเลยแหะ
"เชอร์ราฟิน่า เธอพอจะรู้จักคนที่พยายามจะกำจัดเธอไปไหม?"
ไม่มีคำตอบกลับมา เธอได้อยู่เงียบๆเหมือนเช่นเคย
ฉันได้จับดาบยาวในมือด้วยรอยยิ้ม นี่น่าจะเป็นอาร์ติแฟคที่ถูกเครื่องจักรสังหารสร้างขึ้นมา อาร์ติแฟคโบราณที่ทำหน้าที่เป็นฐานของพลังที่ยิ่งใหญ่ของเครื่องจักรสังหาร มันก็คือหนึ่งในอาร์ติแฟคที่เชอร์ราฟิน่าไม่อาจจะเข้าใจได้
"นี่ก็มากพอที่จะนับว่าเป็นรางวัลแล้ว"
[...เข้าใจแล้ว]
เครื่องจักรสังหารไม่อาจจะฟื้นฟูกลับมาได้อีกต่อไป มันอาจจะเป็นไปได้หากว่าดันเจี้ยนมีอัญมณีสีเขียวที่ฉันดูดซับไปกับดาบยาวที่ฉันถืออยู่นี้ แต่ว่าในตอนนี้ฉันได้ดูดซับมันไปแล้ว
[คุณก็จะปฏิเสธข้อเสนอของดันเจี้ยนที่จะกลั่นสกัดดาบยาวนี้ด้วยใช่ไหม?]
"ใช่แล้ว ฉันกำลังคิดที่จะใช้มันทำอะไรบางอย่าง"
ฉันได้ปฏิเสธในข้อเสนอของเชอร์ราฟิน่าออกมาและถือหอกแห่งความโกลาหลขึ้นมา
[มันอันตรายเกินไป ดาบนั่นมันไม่ใช่สิ่งที่ดันเจี้ยนจะวิเคราะห์ได้ หากว่ามีอะไรผิดพลาดมันอาจจะหลุดจากการควบคุมได้]
"ลองดูก็ไม่เสียหายนี่"
จากนั้นฉันก็แทงหอกลงไปบนดาบยาวอย่างรุนแรง ดาบยาวได้หายไปในทันทีและมีพลังงานจำนวนมหาศาลไหลเข้าไปในหอกแห่งความโกลาหล ได้มีแสงเจิดจ้าพุ่งออกมาจากหอกแห่งความโกลาหลและไม่นานนักเชอร์ราฟิน่าก็แจ้งเตือนฉันอย่างใจเย็น
[หอกแห่งความโกลาหลได้ดูดกลืน ??? อัตราการพัฒนา: ??.??]
ฉันบอกได้แค่อย่างเดียวเท่านั้น
"นี่มันคือบัค"
จริงๆแล้วฉันค่อนข้างคาดหวังถึงสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น ฉันคิดว่าบางทีมันอาจจะทำให้หอกแห่งความโกลาหลวิวัฒนาการขึ้นมาได้ อัตราการพัฒนาของมันอยู่เกือบจะ 98% แล้ว ฉันไม่คิดเลยว่าหลังจากดูดกลืนดาบยาวของเครื่องจักสังหารไปมันจะยังไม่วิวัฒนาการอีก ไม่สิ นี่มัน...?
"ไม่ใช่ว่าตอนที่มันวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นหอกแห่งความโกลาหลมันก็เป็นแบบนี้นี่นา?"
ย้อนกลับไปในตอนที่มันยังเป็นหอกแห่งการกลืนกินและมีอัตราการพัฒนาอยู่ที่ 99.99% มันก็จะเสร็จสิ้นการวิวัฒนาการก็ต่อเมื่อกลืนกินมานาฉันลงไป ถ้าตอนนี้มันเป็นแบบเดียวกัน หอกนี่ก็จะวิวัฒนาการขึ้นเมื่อฉันใส่มานาทั้งหมดของฉันลงไปใช่ไหม?
เมื่อได้ข้อสรุปแบบนี้ ฉันก็ได้เปลื่ยนหอกกลับไปเป็นสร้อยคอ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาทำให้มันเสร็จสมบูรณ์
ฉันได้ทำทุกๆอย่างที่จำเป็นบนชั้นที่ 90 แล้ว ในเมื่อหอกแห่งความโกลาหลได้กินจนอิ่มแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาให้ทำงาน
บอสประจำชั้นของบียอนด์ชั้นที่ 40 กำลังรอคอยเราอยู่
ในชั้นที่ 36 ถึงชั้นที่ 39 มีลอร์ดแวมไพร์กับอัศวินแห่งความตาย สำหรับลอร์ดแวมไพร์ไม่ได้มีปัญหามาก แต่ว่าสำหรับอัศวินแห่งความตายได้สร้างปัญหาให้กับฉันในช่วงแรกๆเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่าการข้ามผ่านบียอนด์จะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ในตอนนี้ที่ฉันรู้ถึงชนิดของสิ่งมีชีวิตที่เป็นบอสประจำชั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล
"บอสประจำชั้นที่ 40 ก็เป็นศัตรูแห่งโลกเหมือนกันใช่ไหม?"
[ใช่แล้ว ระวังตัวด้วย มันอันตรายมากๆ]
เชอร์ราฟิน่าได้ตอบกลับมาสั้นๆเหมือนอย่างเคย มันมีเหตุผลที่เธอทำให้ฉันได้สู้กับศัตรูแห่งโลกหรือป่าวนะ? ทำไมฮีโร่ในโลกต่างๆที่จัดการกับศัตรูแห่งโลกได้ถึงไม่กำจัดมันไป แต่กลับส่งต่อมันมาให้ดันเจี้ยนด้วยนะ? นี่มีเป้าหมายอะไรหรือป่าว? เพื่อช่วยฝึกคนแบบฉันงั้นหรอ?
หากว่าเดม่อนลอร์ดอยากจะเข้ามาในดันเจี้ยนหลังจากพ่ายแพ้ฉัน ฉันก็ไม่มั่นใจเลยว่าจะปล่อยเขาไป ฉันอยากที่จะฉีกกระชากวิญญาณของเขาให้กลายเป็นชิ้นๆด้วยซ้ำไป
บางทีฮีโร่พวกนั้นอาจจะแกร่งพอที่จะเอาชนะศัตรูแห่งโลกได้ แต่ว่าไม่มีพลังมากพอที่จะฆ่าพวกมันทำให้ต้องให้ดันเจี้ยนเข้ามาช่วย ไม่สิ นี่มันแปลกเกินไป
"ให้ตายสิ ยิ่งฉันอยู่ในชั้นสูงขึ้น ดันเจี้ยนก็มีแต่จะลึกลับมากกว่าเดิม"
ฉันได้บ่นออกมาให้เชอร์ราฟิน่าได้ยินและเดินเข้าไปในชั้นที่ 40 แน่นอนว่าก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา
ในตอนที่ฉันได้ก้าวเข้าไปในชั้นที่ 40 ได้มีแรงกดดันวิญญาณกวาดมาถึงตัวฉัน มันเป็นพลังที่ดูจะปฏิเสธในชีวิต
ฉันอดที่จะนึกไปถึงตอนที่เจอกับลิลิธไม่ได้ จากที่เห็นแล้วมันเป็นไปได้ที่บอสประจำชั้นที่ 40 จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าซะอีก แต่ตราบใดที่ฉันเอาชนะมาได้รางวัลก็จะมากขึ้นเช่นกัน
จากดันเจี้ยนที่ฉันได้ปืนมาจนถึงจุดนี้ พลังอำนาจและมานามีความสำคัญมากยิ่งกว่าเลเวลกับไอเทมที่เก็บสะสม นักสำรวจคนอื่นๆจะมีประสบการณ์เหมือนกับฉันไหมนะ? พวกเขาจะได้เผชิญหน้ากับศัตรูแห่งโลก เจอเข้ากับขีดจำกัดและได้รับพลังใหม่มาไหมนะ?
จากที่เคนได้บอกฉันมามันไม่ใช่แบบนั้น อย่างแรกเลยก็คือนักสำรวจส่วนใหญ่ไม่อาจจะดูดซับพลังศัตรูมาตรงๆได้ และไม่มีนักสำรวจคนใดที่อยากจะเจอกับบททดสอบยากๆแบบนี้ด้วยเช่นกัน
แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ เชอร์ราฟิน่าได้เสนอเส้นทางที่พิเศษให้กับฉันและฉันก็ได้ยอมรับในทุกๆพลังเหนือไปกว่าที่เธอคาดคิด การต่อสู้ก่อนหน้านี้ของฉันกับเครื่องจักรสังหารเป็นตัวอย่างหนึ่ง ฉันก็สามารถจะสกัดพลังของศัตรูมาเป็นของตัวเองได้โดยไม่พึ่งพาในระบบดันเจี้ยนเลย
หากว่ามีเส้นทางอยู่สามเส้นทาง นักสำรวจคนอื่นๆได้เดินไปในเส้นทาง A เชอร์ราฟิน่าได้แนะนำเส้นทาง B ให้กับฉัน แต่ว่าฉันได้เลือกมาในเส้นทาง C
หากว่าฉันไม่ได้เรียนวงจรเพรูต้ากับวิญญาณสัมบูรณ์มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้เลย การได้เจอกับเพรูต้าและได้เรียนรู้สกิลสังเคราะห์จากนาฬิกาพกพานี่สองเหตุผลหลักที่ทำให้ฉัน...
[เข้ามา]
ได้มีเสียงมืดมนดังขึ้นมาขัดความคิดของฉัน
[นายจะให้ฉันรอไปจนถึงเมื่อไหร่?]
"ฉันก็ไม่รู้ ทำไมนายไม่เชิญฉันเข้าไปก่อนล่ะ"
ฉันได้ตอบกลับไป บอสประจำชั้นที่ 40 สามารถส่งเสียงผ่านออกมาจากประตูที่ปิดอยู่ได้เหมือนกับลิลิธ นี่มันหมายความว่าพลังของดันเจี้ยนไม่อาจจะกักขังเขาได้ เชอร์ราฟิน่าไม่อาจจะควบคุมเขาได้อย่างสมบูรณ์
ฉันได้อัญเชิญดอร์ตูกับไพก้าออกมาก่อนที่จะเตะประตูโลหะอย่างมั่นใจ
"มาสู้กัน!"
[กำลังรออยู่เลย]
ห้องบอสประจำชั้นคือสุสานขนาดใหย่ มีลมหนาวที่ดำมืดวนเวียนอยู่รอบตัวฉันและถ้ำชื้นที่อยู่ตรงหน้า
เทียนที่ถูกจุดอยู่มีเพลิงสีน้ำเงินกำลังลุกไหม้อยู่ที่ข้างกำแพงถ้ำ และในเส้นทางภายในสุดก็คือบัลลังก์ที่ยิ่งใหญ่
[ฮีโร่ น่ายินดีจริงๆที่ในที่สุดก็ได้เจอคนแบบนาย]
ไททันที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ได้เริ่มพูดออกมา นอกจากขนาดของเขาแล้วที่เหลือก็ดูไม่ต่างไปจากมนุษย์ปกติเลย เขาได้ใส่เกราะสีน้ำเง็นเข้มและถือขวานที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเขาอยู่
อ่า ยังมีอีกอย่าง มีเพลิงสีน้ำเงินลุกไหม้อยู่ภายในดวงตาเขา
[พร้อมๆกันกับการเกิดของฮีโร่ผู้กอบกู้ คนๆนั้นก็จะตื่นขึ้นจากการพักผ่อนที่ยาวนานของเธอด้วย การไม่อาจจะได้มองเห็นจุดสิ้นสุดของการวิวัฒนาการที่ยาวนายคือความเสียใจที่มากที่สุดของฉัน แต่ในตอนนี้การได้มาเห็นตัวเอกของเรื่องราวนี้ตรงหน้าฉันก็ทำให้ฉันรู้สึกได้แล้วว่าการได้นั่งอยู่ตรงนี้มันมีความหมาย]
"นายนี่พูดมากจังเลยนะ"
ฉันได้ชี้หอกไปที่เขาและพูดออกมา
"อย่างแรกเลย เข้ามาสู้กัน"
[ฮ่าฮ่าฮ๋าฮ่า! นี่คือการต่อสู้ครั้งแรกหลังจากผ่านไปอย่างยาวนานของฉัน บางทีก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเช่นกัน แค่คิดก็ทำให้ฉันอารมณ์ดีแล้ว]
เขาได้ยกขวานของเขาขึ้นมา พลังแห่งความตายได้พวยพุ่งออกมาจากร่างกายเขาในทันที ฉันรู้ได้เลยในทันทีว่าเขาคือตัวตนที่มีอยู่มาอย่างยาวนานแล้ว
[ฉันก็ชอบในเสียงการปะทะกันของโลหะกับกลิ่นโลหิตและหยาดเหงื่อมากกว่าคำพูดเหมือนกัน! พวกเราคิดเหมือนกันนะเลยนะฮีโร่ผู้กอบกู้!]
"นายนี่พูดมากอีกแล้วนะ รับนี้ไป หอกแห่งวีรชน(ฮีโรอิคสไตรค์)!"
นี่อาจจะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เขาขยับได้! ฉันได้บีบอัดมานากว่า 500,000 มานาเข้าไปในจุดๆเดียวและยิงออกไป การต่อสู้กับบอสประจำชั้นที่ 40 ลอร์ดแห่งความตายได้เริ่มขึ้นมาแล้ว