บทที่ 180 อย่าได้โทษว่าข้าใจร้าย!
ฟึ่บ!
ในขณะที่จ่างซุนอู๋เหินกำลังทะยานเข้ามาใกล้ เจียงอี้ก็ใช้ดวงตาที่ถูกยกระดับโดยแก่นแท้พลังสีดำในการทำนายวิถีการโจมตีของอีกฝ่าย
เขายื่นขาไปด้านข้างและเบี่ยงตัวหลบคลื่นพลังอันน่ากลัวที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน
“ตู้มมม!”
คลื่นพลังดาบเข้าชนกับประตูบานใหญ่ ทันใดนั้นเองอาคมยับยั้งก็สว่างวาบ ห้องฝึกฝนสั่นสะเทือนเล็กน้อยแต่ก็ไม่ปรากฏร่องรอยความเสียหายอันใด เห็นได้ชัดว่าอาคมยับยั้งของห้องนี้ทรงพลังยิ่งนัก
“ฝ่ามือระเบิดแก่นแท้!”
เท้าของเจียงอี้ไม่ได้หยุดนิ่ง เขาพลิกตัวและอาศัยแรงระเบิดจากฝ่ามือระเบิดแก่นแท้เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหว
พริบตาเดียว เขาก็มาถึงตัวนายน้อยของตระกูลจ่างซุนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ทางมุมซ้ายของห้อง!
แม้ว่านายน้อยผู้นั้นจะตกใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ควบคุมสติได้ดี เขายกหน้าไม้สังหารเทพขึ้นมาและเล็งไปที่เจียงอี้
“ไอ้สารเลว! ตายซะ!”
แต่ทันใดนั้นเองนายน้อยจากตระกูลจ่างซุนผู้นั้นก็เปลี่ยนใจกะทันหัน เขาเก็บหน้าไม้สังหารเทพลงไปและชักดาบยาวที่อยู่ข้างเอวขึ้นมาแทน
จากนั้นเขาก็ใช้ออกด้วยทักษะบางอย่างที่ทำให้ร่างของเขาแยกออกมาเป็นสามร่างพร้อมกับจวกแทงดาบไปข้างหน้าหมายจะสังหารอีกฝ่ายให้ตาย
นายน้อยหนุ่มไม่คาดหวังว่าตัวเองจะสามารถสังหารเจียงอี้ได้จริงๆ เขาเพียงแค่ต้องการถ่วงเวลาให้จ่างซุนอู๋เหินและคนที่เหลือตามมาสมทบก็เท่านั้น
ตราบเท่าที่สามารถตรึงเจียงอี้ไว้ได้นานพอ อีกฝ่ายจะต้องตกตายภายใต้คมดาบของจ่างซุนอู๋เหินอย่างแน่นอน
“ไอโง่เอ้ย!”
เจียงอี้ฉีกยิ้มกว้าง ดาบเกล็ดทมิฬที่อยู่ในมือส่องแสงวูบวาบและหายวับไปกลางอากาศ จากนั้นมันก็ถูกแทนที่ด้วยหน้าไม้สังหารเทพสองคัน
สลักเกลียวของหน้าไม้ทั้งสองถูกปลดออกพร้อมกับลูกศรของลูกที่เจาะทะลวงร่างของจอมยุทธรุ่นเยาว์จากตระกูลจ่างซุนอย่างไร้ปรานี
ชายคนนั้นยังไม่ทันที่จะได้อ้อนวอนขอชีวิตก็สิ้นใจไปเสียแล้ว
“เซิ่งเทียน!”
“พี่สาม!”
จ่างซุนอู๋เหินและอีกสามคนที่เหลือร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมาจากเบ้า
พวกเขารู้ถึงความแข็งแกร่งของลูกพี่ลูกน้องของตัวเองเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกอีกฝ่ายสังหารในพริบตา!
“ยิงมันเลย! อย่าปล่อยให้รอดไปได้!”
จ่างซุอู๋นเหินคำรามด้วยความโกรธแค้น เมื่อได้ยินเช่นนั้น นายน้อยจากตระกูลจ่างซุนที่เหลือต่างก็ระดมยิ่งหน้าไม้สังหารเทพที่อยู่ในมือ ในเวลาเดียวกันจ่างซุนอู๋เหินก็ปลดปล่อยคลื่นดาบออกมาอีกครั้งและหวังว่าจะผ่าร่างของเจียงอี้เพื่อดับไฟแค้น
“หน้าไม้สังหารเทพอีกแล้ว? เหอะ ข้าเองก็มีอยู่ไม่น้อย!”
หน้าไม้สังหารเทพให้มือของเจียงอี้หายวับไปและถูกแทนที่ด้วยหน้าไม้คันใหม่ทั้งสอง จากนั้นเขาก็ยิงลูกศรออกไปก่อนที่จะม้วนตัวไปข้างหน้าเพื่อคว้าร่างไร้วิญญาณของเซิ่งเทียนขึ้นมา
“ปัก-ปัก!”
“ตู้มม!”
ลูกศรทั้งสามที่ถูกปล่อยจากหน้าไม้ของตระกูลจ่างซุนทะลวงเข้าไปในร่างของเซิ่งเทียน ไม่เพียงแค่นั้น คลื่นพลังดาบของจ่างซุนอู๋เหินก็ตรงเข้ามาและระเบิดศพของเขาจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“อ๊ากกก!”
เมื่อเห็นสภาพที่น่าสังเวชของญาติพี่น้องตัวเอง จ่างซุนอู๋เหินและคนอื่นๆก็แทบจะเสียสติด้วยความแค้น
ไม่มีเวลาให้บรรจุลูกศรเข้าไปใหม่ พวกเขาชักอาวุธออกมาและโถมตัวเข้าหาเจียงอี้ด้วยความบ้าคลั่ง
“ต้องแบบนี้สิ!”
นี่คือผลลัพธ์ที่เจียงอี้ต้องการ หากไม่ทำให้คนพวกนี้เสียสมาธิ การสังหารพวกมันทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าอาคมยับยั้งของที่นี่จะถูกเปิดใช้งาน แต่ก็ยังมีประตูกลซึ่งสามารถใช้หลบหนีได้ด้วยการแตะเบาๆ
หากว่าพวกมันทั้งสี่ไม่มีโอกาสที่จะหลบหนี เช่นนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ก็จบแล้ว!
“เข้ามาเลย!”
แก่นแท้พลังสีดำไหลเวียนลงไปยังส่วนขาของเจียงอี้ เขาใช้ขาทั้งสองยันไปที่กำแพงและพุ่งตรงเข้าหาจ่างซุนอู๋เหิน
“ตายซะ!”
คราวนี้จ่างซุนอู๋เหินไม่ได้โจมตีด้วยคลื่นพลังดาบ แต่เขาใช้วิธีสะสมพลังไว้ที่ดาบยาวเพื่อที่จะเข้าห้ำหั่นกับเจียงอี้ด้วยตัวเอง
นายน้อยตระกูลจ่างซุนที่เหลืออีกสามคนต่างก็งัดทักษะที่ทรงพลังที่สุดออกมาและขนาบโจมตีจากทุกทิศทาง
“อ่อนหัด!”
เจียงอี้แสยะยิ้ม ทันใดนั้นเองเปลวเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวก็ลุกโชนออกมาจากร่างของเขา เมื่อเปลวเพลิงอันลึกลับปรากฏขึ้นมา ทั่วทั้งห้องฝึกฝนก็สว่างไสวไปด้วยแสงของมัน
“บัดซบ! หนีเร็ว—!”
กลิ่นอายของพลังจากดาบของจ่างซุนอู๋เหินสูญสลายไป ในเวลาเดียวกันสีหน้าของเขาก็เผยให้เห็นความหวาดกลัวถึงขีดสุดเมื่อจ้องมองไปยังเพลิงโลกาที่อยู่ตรงหน้า
แม้ว่าเขาจะอยู่ห่างจากเจียงอี้ถึงเจ็ดเมตร แต่เขาก็รู้สึกว่าร่างกายกำลังถูกแผดเผาและปวดแสบปวดร้อน จากนั้นเขาก็หันหลังกลับด้วยความร้อนรนและโกยแนบในทันที
“ฟึ่บ!”
อีกสามคนที่เหลือได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว พวกเขารู้ดีว่าเปลวเพลิงที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่อะไรที่พวกเขาจะต้านทานได้ ดังนั้นพวกเขาจึงกลับหลังหันและวิ่งตามจ่างซุนอู๋เหินไปยังประตูทางออกอย่างไม่ลังเล
“คิดว่าจะหนีข้าพ้นอย่างนั้นรึ?”
เจียงอี้หัวเราะด้วยน้ำเสียงราวกับปีศาจ วินาทีต่อมาเขาก็ควบแน่นแก่แท้พลังไว้ที่ฝ่ามือ จากนั้นก็ใช้แรงส่งเพื่อผลักเพลิงโลกาที่กำลังลุกไหม้ไปข้างหน้า พริบตาเดียวมันก็กลืนกินร่างของผู้ที่กำลังหลบหนีทั้งหมด
เพลิงโลกาทรงพลังขนาดไหนกัน?
คำถามนี้แม้แต่เจียงอี้ก็ไม่สามารถตอบได้ ย้อนกลับไปตอนที่อยู่ในหุบเขาอัคคีเมฆา เพลิงโลกาสามารถแผดเผาได้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยว ดังนั้นต่อให้ไม่ต้องสืบก็รู้ว่าคนเหล่านี้จะต้องตายอย่างแน่นอน
“อ๊ากก—!”
นอกเหนือจากจ่างซุนอู๋เหิน ร่างของทั้งสามคนที่เหลือก็ถูกเผาจนเหลือเพียงแค่เถ้าถ่าน แม้แต่อาวุธของพวกเขาก็ถูกหลอมละลาย ฉากที่เกิดขึ้นนี้ช่างน่าสยดสยองยิ่งนัก
“ฟึ่บ!”
เจียงอี้พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงและรีบดูดซับเพลิงโลกาที่กำลังเผาไหม้อยู่ในอากาศกลับเข้ามาในไข่มุกวิญญาณเพลิง จากนั้นเขาก็หันไปอีกด้านและใช้เศษเสี้ยวของเพลิงโลกาเพื่อเผาทำลายซากศพที่เหลือของจ่างซุนเซิ่งเทียน
หลังจากที่ตรวจสอบอย่างดีแล้วว่าไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆทิ้งไว้ เจียงอี้ก็ใช้มือปัดขี้เถ้าบนเสื้อและเดินไปทางประตูอย่างใจเย็น
“แอ๊ดด!”
หลังจากที่ประตูกลเปิดออก อาคมยับยั้งก็สลายไป ทันทีที่เจียงอี้ก้าวเท้าออกมา การแสดงออกทางสีหน้าของฝูงชนก็เปลี่ยนไป แม้แต่เฉียนว่านก้วนและคนใกล้ชิดคนอื่นๆเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน
ประตูห้องฝึกฝนเพิ่งปิดลงไปเพียงแค่ไม่กี่สิบลมหายใจเท่านั้น ทำไมเจียงอี้ถึงกลับออกมาเร็วนักเล่า? เป็นไปได้หรือที่เขาจะกำจัดจ่างซุนอู๋เหินและคนที่เหลือได้ในเวลาสั้นๆแค่นี้?
เมื่อไม่สามารถสัมผัสได้ถึงสัญญาณชีวิตอื่นนอกเหนือจากเจียงอี้ จ่างซุนอู๋จี้และสมาชิกตระกูลจ่างซุนก็หน้าซีดลง ภายในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเหลือเชื่อในเวลาเดียวกัน
“อ่า แย่ล่ะสิ!”
หลังจากที่เจียงอี้เดินออกมาแล้ว เขาก็จ้องมองไปที่เซี่ยอู๋หุ่ยและกล่าวออกมาด้วยท่าทีสบายๆ
“เป็นพวกมันที่ต้องการจะเอาชีวิตข้าก่อน ตัวข้าเองก็ยั้งมือไม่เป็นเสียด้วยเลยเผลอฆ่าพวกมันไปทั้งหมด ฮ่าฮ่า ข้าต้องขออภัยฝ่าบาทที่สร้างเรื่องยุ่งยากให้ท่านเสียแล้ว…”
หลังจากที่กล่าวจบ เขาก็เมินเฉยต่อท่าทีของเซี่ยอู๋หุ่ย, จ่างซุนอู๋จี้, เซี่ยเถียนและคนอื่นๆโดยสิ้นเชิง จากนั้นเขาก็เขาไปหาเฉียนว่านก้วนและกล่าว
“ข้าเหนื่อยแล้ว อยากกลับไปพักผ่อน รบกวนนายน้อยเฉียนช่วยจัดรถม้าให้ข้าสักคันได้หรือไม่?”
“ได้ ได้!”
เฉียนว่านก้วนถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ เขาก็หันไปโค้งคำนับให้กับเซี่ยอู๋หุ่ยและกล่าว “ฝ่าบาท กระหม่อมขอทูลลา!”
จ้านอู๋ซวงและคนอื่นๆเองก็ขอตัวกลับเช่นกัน ในเมื่องานเลี้ยงนี้สูญเสียความน่าสนใจไปแล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ต่อ
แต่หลังจากที่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เจียงอี้ก็หยุดฝีเท้าและหันกลับไปมององค์หญิงเซี่ยเฟยหยู จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“องค์หญิง ไม่ใช่ว่าท่านลืมสัญญาที่ให้ไว้ไปแล้วหรอกนะ?”
เซี่ยเฟยหยูเหลือบไปมองสีหน้าที่มืดมนของเซี่ยอู๋หุ่ยและเซี่ยเถียน จากนั้นนางก็กัดฟันแน่นก่อนที่จะกล่าว
“เจ้าพูดอะไรอย่างนั้นนายน้อยเจียง เจ้ากลับไปก่อนเถิด เดี๋ยวองค์หญิงผู้นี้จะตามไปทีหลัง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาและเดินต่อไปด้วยท่าทีอันไม่แยแส
“ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้น องค์หญิงไม่จำเป็นต้องจริงจังก็ได้ ข้ามันก็แค่สามัญชนผู้ต้อยต่ำคนหนึ่ง จะไปกล้าทำให้องค์หญิงผู้สูงศักดิ์ต้องมัวหมองได้ยังไง? จริงไหม?”
จากนั้นเจียงอี้ก็เดินจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความดูถูกซึ่งยังคงดังก้องอยู่ในหูของทุกคน ใบหน้าของพวกเขาร้อนผ่าวไปด้วยความอับอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซี่ยเถียนที่แทบจะคลุ้มคลั่ง
หากคนที่ต้อยต่ำเช่นนั้นสามารถเข่นฆ่าอัจฉริยะของตระกูลชั้นนำได้ในเวลาสั้นๆ แล้วคนที่อ่อนแอกว่าอย่างพวกเขาควรจะถูกเรียกว่าอะไร?
“โธ่เว้ย!”
เซี่ยเถียนสบถออกมาและสะบัดก้นจากไปในทันที ทางหน้าของจ่างซุนอู๋จี้ เขามองไปยังทิศทางที่เจียงอี้จากไปด้วยสายตาที่อัดแน่นไปด้วยความแค้น จากนั้นเขาก็พาสมาชิกตระกูลจ่างซุนกลับออกไปเช่นกัน
ในตอนนี้มีเพียงองค์รัชทายาทที่ยังคงระงับโทสะเอาไว้ได้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของเขาไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนกับก่อนหน้านี้
“พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนกันเถอะ”
เมื่อแขกทุกคนเดินทางกลับหมดแล้ว องค์ชายเซี่ยอู๋หุ่ยก็เดินกลับไปยังห้องจัดงานเลี้ยง จากนั้นไม่นาน บ่าวไพร่คนหนึ่งก็เดินเข้ามารายงานว่าซูรั่วเสวี่ยเดินทางกลับไปแล้วตั้งแต่ตอนที่ทุกคนมุ่งหน้าไปห้องฝึกฝน
“เพร้ง!”
เซี่ยอู๋หุ่ยไม่สามารถระงับเพลิงโทสะไว้ได้อีกต่อไป เขาคว้าแก้วไวน์ขึ้นมาและเขวี้ยงออกไปเพื่อระบายความโกรธ
“นังสารเลว! เจ้าไม่รู้หรือว่าองค์ชายผู้นี้ระแคะระคายความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับไอเศษสวะนั่นอยู่นานแล้ว?!”
“เหอะ! เจียงเปี๋ยหลี หากบุตรชายของเจ้ายังคงทำตัวแบบนี้ต่อไปและยังกล้าที่จะยุ่งเกี่ยวกับซูรั่วเสวี่ย… เช่นนั้นก็อย่าได้โทษว่าข้าใจร้าย!”