ตอนที่ 57 โฉมสะคราญใต้แสงจันทร์
“แน่นอน หากท่านทนกับครอบครัวของข้าได้ พวกเขาวุ่นวายเป็นอย่างมาก”
มุมปากของเขากระตุกเพราะกลุ่มคนในหุบเขาวีรบุรุษคือพวกที่ถูกทวีปขับไล่ ทุกคนล้วนหมดหนทางไร้ที่พึ่งพิงจึงได้แต่ไปที่นั่น แต่สำหรับป๋ายเสี่ยวเฟยแล้วพวกเขาน่าสงสารอยู่ไม่น้อย
“จะวุ่นวายได้ขนาดไหนเชียว? ข้าผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะแล้ว”
ใบหน้าของนางมีร่องรอยไม่สบอารมณ์เพราะนางรู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวเฟยตอบปฏิเสธในทางอ้อม
“ผ่านร้อนผ่านหนาว? ท่านแก่กว่าข้าไม่กี่ปีเอง ข้ายังนึกอยู่จนถึงทุกวันนี้ว่าท่านหลอกสถาบันอย่างไรถึงกลายมาเป็นอาจารย์ได้”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยคำที่ค้างคาอยู่ในใจมานานนม เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาโดยทันที
การพยายามไม่พูดคำใดสักอย่างช่างทรมานเสียจริง
“เจ้าสิชอบหลอกคนอื่น! ข้าพึ่งความสามารถตนเองต่างหาก! และข้าเชื่อว่าห้องที่ข้าสอนจะได้ที่หนึ่งในงานประลองศิษย์ใหม่ครั้งนี้!”
สุ้มเสียงของเสวี่ยอิ่งเต็มไปด้วยความมั่นใจ ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่โต้แย้งเพราะเขาเองก็คิดเช่นนั้น
“พวกเราจะได้เจอท่านอีกหรือไม่หลังจากสามเดือนผ่านไป?”
ด้วยเหตุผลอันใดไม่ทราบ ป๋ายเสี่ยวเฟยมีลางสังหรณ์ว่าเสวี่ยอิ่งจะหายตัวไปจากชีวิตเขาวันหนึ่งยิ่งเขารู้จักนางมากเท่าไหร่ความรู้สึกนี้ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“แน่นอน นอกเสียจากเจ้าจะถูกไล่ออกเพราะข้าไม่มีความตั้งใจจะไปจากสถาบันชิงหลัวในเวลาอันสั้น”
เสวี่ยอิ่งหัวเราะก่อนจะหันมาจ้องเขม็งที่ป๋ายเสี่ยวเฟยพลางกล่าวคำทำนายที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูง
“อะไร? เรารู้จักกันได้แค่สองวันเจ้าก็ไม่อาจทนแยกจากกับข้าได้แล้วหรือ?”
เสวี่ยอิ่งมีสุ้มเสียงหยอกล้อ ป๋ายเสี่ยวเฟยหน้าแดงอย่างช่วยไม่ได้
“ชิ ใครพูดเช่นนั้น? ข้าแค่กลัวว่าท่านจะไม่อาจหานักเรียนมาทรมานได้อีก”
ป๋ายเสี่ยวเฟยหันหน้าหนีพลางแก้ตัวข้างๆ คูๆ
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่คิดจะเป็นอาจารย์ประจำห้องต่อหรอกเพราะแค่ปีเดียวก็เกินพอ”
ใบหน้าของเสวี่ยอิ่งมีร่องรอยพึงพอใจนางเอ่ยน้ำเสียงสดใส หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ นางเริ่มเอ่ยปากอีกครา
“ข้าถามอะไรหน่อย”
“เชิญ”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นสตรีที่ดีหรือไม่?”
คำถามนี้ทำป๋ายเสี่ยวเฟยเหม่ออยู่เล็กน้อย เมื่อเห็นสายตาจริงจังของเสวี่ยอิ่ง เขากลืนคำพูดที่กำลังจะเอ่ยลงคอทันทีก่อนจะครุ่นคิดอย่างจริงจัง
“ข้าปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้ แต่หากมีวันใดที่ท่านต้องการความช่วยเหลือ ข้าจะไม่ปฏิเสธ”
ป๋ายเสี่ยวเฟยตอบอย่างจริงจังสีหน้าขึงขังประสบความสำเร็จในการสร้างความประทับใจให้เสวี่ยอิ่ง
บางครั้งความจริงใจก็สำคัญกว่าคำพูดหวานๆ มาก...
“ถ้างั้น หากข้าเป็นศิษย์นักเรียนเช่นกัน เจ้าจะอยากอยู่กับใครมากกว่าระหว่างข้ากับหลินหลี?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่รู้ว่ามีสิ่งใดเข้าสิงเสวี่ยอิ่ง แต่ทุกคำถามของนางช่างตอบยากกว่าคำถามก่อนๆ เหลือเกิน
“ข้าอยากอยู่กับทั้งสองเลย”
เป็นอีกคราที่ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยอย่างจริงใจ
“แหงล่ะ ผู้ชายทั้งหมดล้วนเน่าเฟะ เจ้าช่างกล้าฝันสูงเหลือเกิน”
หากแต่ความจริงใจของเขาครั้งนี้ได้รับความดูถูกเหยียดหยามกลับมาแทน
“ท่านเคยตั้งใจมองท้องฟ้าหมู่ดาวอย่างสุดใจหรือไม่?”
ครานี้เป็นฝ่ายป๋ายเสี่ยวเฟยที่รุกด้วยคำถามที่ทำให้เสวี่ยอิ่งประหลาดใจเล็กน้อย
“ในอดีตไม่ แต่ตอนนี้กำลังทำอยู่”
“หากท่านไม่มีสิ่งใดทำ เช่นนั้นก็จ้องมองต่อไป ท่านจะรู้สึกว่ามีใครบางคนเฝ้ามองท่าน หวังว่าท่านจะมีความสุขทุกเมื่อเชื่อวัน หวังว่าท่านจะมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยิ้มพลางเอ่ยสรุปประสบการณ์ที่น้อยนิดของเขา สายตาทั้งสองจ้องมองเดือนดาวเบื้องบน
“เจ้าคิดว่าใครมองเจ้าอยู่บนโน้น?”
เสวี่ยอิ่งถามเสียงอ่อน นางรู้สึกสับสนเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าตนควรคาดหวังสิ่งใดดี
“พ่อและแม่ที่ข้าไม่เคยเจอตัวเป็นๆ ถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยดูแลข้ามาก่อน แต่ข้าก็รู้ว่าพวกเขามีอุปสรรคของพวกเขา”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยิ้มอีกครา ความเงียบเข้าปกคลุม
แต่ครั้งนี้ เสวี่ยอิ่งไม่ได้สับสนอีก
ทั้งคู่จ้องมองไปยังท้องฟ้าหมู่ดาวเบื้องบนอยู่นานจนไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าใดก่อนที่เสวี่ยอิ่งจะเรียกชื่อเขา
“ป๋ายเสี่ยวเฟย”
“อะไรหรือ?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยที่ถูกรุกถามมามากรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยเมื่อนางเรียก
“ขอบคุณ”
เสวี่ยอิ่งเอ่ยเสียงแผ่วเบาออกมาสองคำ ใบหน้าปรากฎสีแดงซ่านที่น่าเย้ายวนใจ
ป๋ายเสี่ยวเฟยเหม่อจ้องใบหน้าของโฉมสะคราญ เขาพลันรู้สึกว่าเลือดในร่างกายไหลเวียนเร็วขึ้นอย่างน้อยหนึ่งระดับ หัวใจเต้นแรงตึกตักกระตุ้นให้เขาเขยิบตัวเข้าใกล้เสวี่ยอิ่งทีละนิด ทีละนิด
เสวี่ยอิ่งสังเกตเห็นเช่นกัน นางไม่เพียงไม่หลบ แต่กลับค่อยๆ ปิดตาลง...
ภายใต้แสงจันทร์ ใบหน้าทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้นทีละน้อยๆ นภายามราตรีที่เงียบสงบไร้เสียงราวกับจรรโลงบรรยากาศอันเหมาะเจาะให้ทั้งคู่ จนกระทั่งริมฝีปากเย็นเยียบของหนึ่งชายหนึ่งหญิงสัมผัสกันอย่างแผ่วเบา...
เสวี่ยอิ่งพลันสะดุ้งตื่นเบิกตากว้างมองป๋ายเสี่ยวเฟย มือของนางยกขึ้นโดยสัญชาตญาณทันที
เสียงสดใสดังกังวานทั่วท้องฟ้ายามวิกาล เมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยคลานขึ้นมาจากพื้น เสวี่ยอิ่งได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่สัมผัสเย็นเยียบยังคงติดอยู่ที่บริเวณริมฝีปาก
ในขณะเดียวกัน เสวี่ยอิ่งที่ได้หลบหนีจากความผิดวิ่งราวกับคนบ้า นางวิ่งอย่างบ้าคลั่งผ่านป่าไม้นับไม่ถ้วน ลมแรงที่พัดผ่านเข้าใบหน้าไม่อาจลดความรุ่มร้อนได้แม้แต่น้อย
เมื่อเสวี่ยอิ่งหยุดวิ่งนางหอบหายใจหนักหน่วง หัวใจเต้นแรงแทบทะลักจากอก แม้แต่นางก็ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นเพราะจากการวิ่งหรือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“อ๊าก!!!! เจ้าไม่ใช่เสวี่ยอิ่ง! เจ้าคือเงาโลหิต!!! เจ้าคือเงาโลหิต!!! เจ้าห้ามทำพลาด!! ห้ามทำพลาด!!!”
เสวี่ยอิ่งค่อยๆ สงบใจลงจากการตะโกนดังหลายครา แต่เนื้อหาของเสียงนั้นมิอาจให้ผู้อื่นรับรู้ได้
(ชื่อของนางคือ 雪影 อ่านว่าเสวี่ยอิ่ง แปลว่าเงาหิมะออกเสียงเหมือนกับคำว่า 血影 ที่แปลว่าเงาโลหิต)
เสวี่ยอิ่งสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเดินกลับไปยังค่ายพัก...
ดวงอาทิตย์ปรากฎเฉกเช่นทุกวัน ป๋ายเสี่ยวเฟยที่นอนอยู่ในเต็นท์ฝันเปียกครั้งแรกในชีวิต และหญิงในฝันของเขาก็คือ...
“ป๋ายเสี่ยวเฟย ข้าจะให้เจ้าวิ่งยี่สิบรอบวันนี้หากเจ้ายังไม่ออกมา!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ครวญครางเบาๆ อยู่ในฝันตะโกนเรียกชื่อเขาอย่างกราดเกรี้ยว ป๋ายเสี่ยวเฟยสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที ความคิดแรกของเขาคือกระโจนออกไปข้างนอก ทันใดนั้นเองที่เขารู้สึกเปียกๆ ที่ช่วงล่าง
ไม่มีทางที่เขาจะออกไปในสภาพนี้ได้ ป๋ายเสี่ยวเฟยทำได้เพียงถอดกางเกงในออก เป็นช่วงเวลานี้เองที่มีคนเปิดเต็นท์เข้ามา
“ป๋ายเสี่ยวเฟย เจ้าได้...”
ป๋ายเสี่ยวเฟยตกตะลึง เสวี่ยอิ่งก็ตกตะลึง
“เอ่อ...นี่คือ...ข้า...มัน...”
ทางเข้าเต็นท์ปิดลงทันที ในท้ายที่สุดป๋ายเสี่ยวเฟยยังไม่ทันได้พูดจบประโยคด้วยซ้ำ
เสวี่ยอิ่งเปลี่ยนสีหน้าทันที
แต่นางลืมคำนึงถึงท่าทีของนางเมื่อเปิดเต็นท์...
“พี่หญิงเสวี่ย? เกิดอันใดขึ้นกับพี่ใหญ่เฟย?”
โม่ข่ามีสีหน้าเป็นกังวล เขาอยากจะไปดูด้วยตนเอง แต่เสวี่ยอิ่งจะไปยอมได้อย่างไร?
“เขาฝันร้าย ข้าปลุกเขาแล้วและเขาจะออกมาในไม่ช้า”
เทียบกับป๋ายเสี่ยวเฟยแล้ว ความสามารถด้านโกหกของเสวี่ยอิ่งอ่อนชั้นกว่าเห็นได้ชัด นางโชคดีที่เหล่าศิษย์นักเรียนไม่ได้คิดอันใดมาก…
อุบัติเหตุครั้งนี้ถือได้ว่าผ่านพ้นไปแล้วพร้อมกับป๋ายเสี่ยวเฟยที่รีบวิ่งออกมา...
แต่จะใช่ครั้งสุดท้ายหรือไม่?