ตอนที่ 56 ครอบครัวคือสิ่งใด?
“นี่...สำหรับเจ้า”
แสงจากกองไฟส่องสว่างบนใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มจางบริเวณแก้มปรากฎสีเลือดของหลินหลี นางยื่นขาหมูที่นางเป็นคนย่างเองกับมือให้ป๋ายเสี่ยวเฟย นัยน์ตาคู่นั้นส่องประกายท่วมท้นด้วยความมุ่งหวัง
ป๋ายเสี่ยวเฟยกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบากเมื่อเห็นเนื้อย่างในมือของนาง กลิ่นของมันไม่เลวเนื่องเพราะคุณภาพของเนื้อและเครื่องปรุงราคาถูกหลายอย่าง แต่สภาพนี้...
หากไม่ใช่เพราะรูปร่างภายนอกยังพอมองเห็นได้ ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่กล้าเชื่อว่าคือขาหมูย่างแน่นอน...
แต่ชายใดจะปฏิเสธ? ในเมื่อโฉมสะคราญผู้นั้นทำเพราะความหวังดี หากมีคนกล้าบอกปัด กล่าวได้ว่าคนผู้นั้นได้ก้าวขาสู่ประตูแห่งความโสดชั่วชีวิตแล้ว!
“ดูน่าอร่อยมาก!”
“หัวหน้าห้องใจดีเหลือเกิน!”
สือเฉินที่อยู่ข้างๆ ทำเสียงเลียนแบบป๋ายเสี่ยวเฟยพลางมองหน้าทั้งสองสลับกันด้วยร้อยยิ้มชั่วร้ายเล็กน้อย
“เจ้าจะไปรู้อะไร? เขาเรียกว่ากรอบนอกนุ่มใน!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยบ่นฮึดฮัดก่อนจะทำใจหยิบขาหมูย่างมากิน
มิผิด มันกรอบนอกอย่างที่เขากล่าว และมันไม่เพียงไหม้แค่ด้านนอกเท่านั้น เมื่อเขากลืนเนื้อไหม้ๆ ที่ไม่อาจเรียกว่าเนื้อได้อีกต่อไป ในที่สุดป๋ายเสี่ยวเฟยก็ค้นพบเนื้อหมูที่ยังเหลืออยู่ในนั้น สายตาของเขาเปล่งประกายทันที
‘สวรรค์เมตตาข้าเหลือเกิน!’
ป๋ายเสี่ยวเฟยแทบน้ำตาไหลขณะที่เขาลิ้มรสเนื้ออันน้อยนิดด้วยความอิ่มเอมใจ เขาไม่ได้รู้สึกขอบคุณต่อหลินหลีหากแต่เป็นหมูคำรามตัวนี้ที่อ้วนพอ... และเมื่อหลินหลีเห็นป๋ายเสี่ยวเฟยกินอย่าง ‘มีความสุข’ รอยยิ้มของนางฉีกกว้างขึ้นกว่าเดิมบนใบหน้าไร้ที่ติ
หลังจากนั้นหลินหลีวิ่งไปหยิบขาหมูอีกอัน... เป็นครานี้เองที่ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่อาจทนได้อีกต่อไป น้ำตาไหลรินออกมา...
“บัดซบ! เหตุใดข้ายังหิวอยู่!?”
โม่ข่าลูบพุงตนเองหลังจากสวาปามขาหมูทั้งชิ้นหมดแต่ยังรู้สึกหิว และเขาไม่ใช่เพียงคนเดียว ศิษย์นักเรียนทั้งหมดรู้สึกอยากอาหารมากกว่าปกติมาก
ไม่เว้นแม้แต่ศิษย์หญิง!
“นอกจากขับความเหนื่อยล้าออกจากร่างกายแล้ว อ่างยาที่พวกเจ้าอาบยังมีคุณสมบัติกระตุ้นความอยากอาหาร บวกกับการฝึกหนักในช่วงสองวันที่ผ่านมา พวกเจ้าจะหิวมากกว่าปกติก็เป็นเรื่องธรรมดา เป็นสิ่งที่ดี”
เสวี่ยอิ่งลิ้มรสชาติหมูย่างทีละนิดพลางกล่าวเสียงเรียบ
“และพวกเจ้าจะกินมากกว่านี้ในอนาคต”
ศิษย์หญิงทั้งหกหยุดนิ่งเมื่อได้ยินก่อนจะก้มลงมองร่างกายตนเองด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ไม่ต้องห่วง แค่พวกเจ้าไม่ขี้เกียจตอนฝึกซ้อม ไม่เพียงเจ้าจะไม่อ้วน แต่มันยังช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของพวกเจ้า เพราะอย่างไรเสียพวกเจ้าก็กำลังกินเนื้อของสัตว์อสูร และพวกมันเป็นที่ต้องการอย่างมากในสถาบันชิงหลัว”
ในฐานะผู้มากประสบการณ์ เสวี่ยอิ่งรับรู้ถึงความกังวลของหญิงสาว นางปัดเป่าเรื่องกลุ้มใจในหนึ่งประโยค
การกินโดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่เย้ายวนใจที่สุดของผู้หญิง เสวี่ยอิ่งได้สร้างแรงจูงใจใหม่ให้หญิงสาวทั้งหกด้วยเหตุนี้เอง...
“ใครจะอยู่เฝ้ายามคืนนี้? ข้าแนะนำให้มีคนเฝ้ายามอย่างน้อยสองคนเพราะเป็นไปได้มากที่หนึ่งในนั้นจะงีบหลับ”
เสวี่ยอิ่งไม่ได้เลือกใคร นางเพียงให้คำแนะนำเท่านั้น ชายหนุ่มทั้งหมดมองหน้าป๋ายเสี่ยวเฟยโดยพร้อมพลัน
“หวู่จื๋อ สือขุย พวกเจ้าอยู่เฝ้ายาม คนที่พลังกายเยอะเริ่มก่อน พวกที่เหลือค่อยเฝ้ายามหลังจากฝึกร่างกายให้แข็งแกร่งดีแล้ว”
ป๋ายเสี่ยวเฟยตัดสินใจได้เฉียบขาดยิ่งนักเพราะสิ่งเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ควรค่าให้เขาเสียเวลาคิด
หลังจากกินจนอิ่ม ทั้งกลุ่มได้รับช่วงเวลาพักที่หายาก จากคำพูดของเสวี่ยอิ่ง
‘พวกเจ้าจะใช้เวลาหลังอาหารมื้อดึกหรือก่อนนอนอย่างไรก็เรื่องของพวกเจ้า!’
อิสรภาพ...
ในสองวันมานี้ นักเรียนห้องคนเถื่อนเข้าใจถึงความสำคัญของอิสรภาพอย่างแจ่มชัด
แต่อิสรภาพมีให้พวกเขาเพียงในเทือกเขาไร้ขอบเขต พวกเขาแทบทั้งหมดเลือกที่จะหลับพักผ่อน อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเสวี่ยอิ่งจะทรมานพวกเขาอย่างไรในวันรุ่งขึ้น
แตกต่างจากป๋ายเสี่ยวเฟยที่ไม่ได้กลับไปยังเต็นท์ เขาเดินไปยังบริเวณที่เงียบสงบโดยมีเสี่ยวเอ้อติดสอยห้อยตาม
“เสี่ยวเอ้อ เจ้าคิดว่าโลกภายนอกน่าสนใจหรือไม่?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มออกมาขณะที่เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยผืนดาว
“ฮ่ง! ฮ่ง!”
สุนัขฮัสกี้เห่าอย่างมีอารมณ์พลางถูหัวของมันที่อกป๋ายเสี่ยวเฟย
“ไอ้ตัวตะกละ! เจ้ารู้แต่กิน กิน กิน! หากไม่ใช่ข้าคอยดูแล เจ้าถูกอี้ต้าซือจับใส่หม้อต้มหมาไปนานแล้ว”
ป๋ายเสี่ยวเฟยย้อนรำลึกถึงวันเก่าๆ มือลูบหัวเสี่ยวเอ้ออย่างเอ็นดู
‘พ่อแม่บุญธรรมเป็นอย่างไรกันบ้าง?’
‘หุบเขาวีรบุรุษจะน่าเบื่อหากหรือไม่หากไม่มีข้า?’
คำถามมากมายผุดขึ้นมาในใจ ก่อนที่ป๋ายเสี่ยวเฟยจะทันได้ค้นหาคำตอบ ภาพของคนจากหุบเขาวีรบุรุษถูกแทนที่ด้วยประสบการณ์ในช่วงสองสามวันมานี้เพราะความประทับใจที่มีต่อพวกเขาได้ฝังรากลึกไปในใจของป๋ายเสี่ยวเฟยแล้ว
“ฮ่ง! ฮ่ง!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยังจมอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดขณะที่เสี่ยวเอ้อลุกขึ้นจากอกเขาพลางเห่าออกมา
เมื่อเขามองไปยังทิศทางที่มันเห่า เรือนร่างสมบูรณ์แบบสวมใส่อาภรณ์รัดแน่นใบหน้าเปื้อนยิ้มของเสวี่ยอิ่งพลันปรากฎขึ้นในครรลองสายตา ภายใต้แสงจันทร์ นางราวกับเป็นเทพเซียนที่ลงมาจากตำหนักจันทราเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์
ป๋ายเสี่ยวเฟยเหม่อมองอยู่นาน
“ดึกป่านนี้แล้วเจ้ายังไม่นอนอีก รอให้สัตว์อสูรมากินหรือไร?”
เสวี่ยอิ่งเอ่ยพลางเดินมาข้างกายป๋ายเสี่ยวเฟยก่อนจะนั่งลงช้าๆ กลิ่นหอมสดชื่นจางๆ ลอยเข้ามาในจมูก ป๋ายเสี่ยวเฟยรู้สึกกระวนกระวายในใจอย่างช่วยไม่ได้
“เจ้าตัวน้อย ไปเล่นที่อื่นก่อน”
เสวี่ยอิ่งลูบหัวจ้องมองเสี่ยวเอ้ออยู่สองวินาที ไม่นานนักสุนัขฮัสกี้ตัวน้อยก็หันหลังวิ่งหายไปในชั่วพริบตา
ทั้งกระบวนการนี้ป๋ายเสี่ยวเฟยเป็นเพียงผู้ชม เขาหายตกตะลึงเมื่อเสี่ยวเอ้อจากไปแล้ว
“หากมีใครบอกข้าว่าเสี่ยวเอ้อเป็นหุ่นเชิดของท่าน ข้าไม่มีทางไม่เชื่อ”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเผยความขุ่นเคืองออกมาพลางถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
“เป็นเพราะโฉมสะคราญที่เจ้าเอ่ยถึงมีเสน่ห์อันล้ำลึก และสัตว์เพศผู้ทุกตนสยบใต้ฝ่าเท้าข้า!”
เสวี่ยอิ่งเงยหน้าขึ้นอย่างอิ่มเอมใจ นางได้กลายมาเป็นพี่สาวข้างบ้านขี้เล่นอีกครา
“ฮืม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดท่านไม่ไปล่าหมูคำรามกับพวกเรา เป็นเพราะท่านหวาดเกรงว่ามันจะตกหลุมรักท่านนั่นเอง”
ป๋ายเสี่ยวเฟยย่นปากทำท่าจริงจังขณะเอ่ย ในวินาทีต่อมามือเรียวงามเอื้อมมาหยิกที่เอว ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวเฟยบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
“เจ้าพูดว่าอันใด? ข้าฟังไม่ค่อยถนัด”
“พี่หญิงเสวี่ยทั้งงดงาม ใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่สุดในโลก!”
เสียงเอ่ยสรรเสริญดังออกมาจากปากป๋ายเสี่ยวเฟย ในที่สุดเขาก็ได้รับความปลอดภัยกลับคืนมา
“เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเจ้ามาที่นี่ทำไม?”
เสวี่ยอิ่งถอนมือออกพลางถามคำถามง่ายๆ
“ข้าคิดถึงบ้าน ข้าจึงมาที่นี่เพื่อจะมองดูท้องฟ้าหมู่ดาวที่เหมือนกับของบ้านข้าเปี๊ยบ”
อย่างไรเสียบ้านของเขาก็อยู่ในเทือกเขาไร้ขอบเขต…
“บ้าน? การมีครอบครัวรู้สึกเช่นใด?”
เมื่อได้ยินป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ย อารมณ์ของเสวี่ยอิ่งสลดลงเล็กน้อย นางถามคำถามที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต
“สถานการณ์ของข้าออกจะพิเศษอยู่บ้าง แต่หากครอบครัวของคนทั่วไปเป็นเช่นเดียวกับข้า ไม่ว่าจะคนผู้นั้นจะเสียใจมากมายเพียงใดเขาก็ยังคงผ่อนคลายได้หากอยู่กับครอบครัว”
เสวี่ยอิ่งจ้องมองรอยยิ้มบนใบหน้าของป๋ายเสี่ยวเฟย นัยน์ตาคู่นั้นปรากฎความถวิลหา
“หากมีโอกาส เจ้าพาข้าไปบ้านเจ้าได้หรือไม่?”