เซียนเหนือวิถี บาทที่ 121 (ฟรี)
บาทที่ 121
เมื่อร่างหมอกนั้นเห็นซิ่วจูพุ่งกายเข้าหา ร่างหมอกนั้นก็ทะยานวาบไปอย่างรวดเร็วประดุจอุกาบาตที่พุ่งผ่านโลกทิ้งหางหมอกไว้เป็นทางยาว ทิ้งซิ่วจูไว้เบื้องหลัง
ไม่คาดว่าขณะที่เขาคิดว่ากำลังหนีพ้นแล้วนั้น ซิ่วจูพลันเหินร่างเข้ามาด้วยความเร็วที่ยิ่งกว่า
เทคนิคที่ซิ่วจูใช้ก็คือการใช้เชือกปราณดึงอีกฝ่ายไว้แล้วลอยตัวขึ้นกลางอากาศปล่อยให้อีกฝ่ายช่วยลากตนเองไปขณะที่ลดระยะของเชือกปราณลง
ร่างหมอกนั้นคำรามโหยหวนอย่างโกรธเกรี้ยว เมื่อเห็นว่าพวกเขาห่างจากกลุ่มหลักเกือบร้อยเมตรแล้ว และดูท่าตนเองจะหนีไม่พัน ร่างนั้นก็หันกลับมากางกงเล็บตะปบใส่หน้าซิ่วจู
ร่างของซิ่วจูที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกของอีกฝ่ายจากการถูกลากมานั้นพลันมีหมอกทะลักออกมา แต่อีกฝ่ายไม่ทันได้สังเกตเพราะว่าหมอกของทั้งสองฝ่ายนั้นดูกลมกลืนเข้าด้วยกัน
ซิ่วจูยกนิ้วขึ้นชี้ใส่ฝ่ามือนั้น
ทึบ ซิ่วจูอยู่ในเขตชีพจรปราณระดับเก้า เมื่อเปลี่ยนเป็นร่างหมอกก็มีพลังเทียบกับเขตแก่นปราณระดับที่เกินหนึ่งยังไม่ถึงสองด้วยตนเองยังไม่ก้าวเข้าสู่เขตแก่นปราณ แต่มีวิญญาณสองดวงแล้ว เมื่อใช้ดรรชนีหมอกวิญญาณจี้ใส่อีกฝ่ายจากระยะไกลพลังดรรชนีก็มีพลังประมาณเขตแก่นปราณระดับสอง
ขณะที่อีกฝ่ายคิดว่ากำลังจะตะปบโดนเธอนั้น ก็พลันรู้สึกว่ามีพลังสัมผัสกับใจกลางฝ่ามือเบาๆ
ด้วยว่ากรงเล็บปีศาจนั้นใช้หมอกสร้างเป็นกรงเล็บแผ่ออกไปจากนิ้วทั้งห้า มีอำนาจในการตัดและเจาะทะลวงอย่างสูง แต่ว่าใจกลางมือนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับส่วนของกรงเล็บดังนั้น ดรรชนีหมอกวิญญาณจึงส่งผลต่อเขาอย่างรุนแรง
ร่างหมอกนั้นพลันรู้สึกเจ็บปวดที่กลางฝ่ามืออย่างรุนแรงจนพลังของกรงเล็บถูกรบกวนสูญสลายไปก่อนที่จะสัมผัสกับอีกฝ่าย เขารีบดึงมือกลับมาดูเพื่อพบว่ามือทั้งมือนั้นเปลี่ยนเป็นมือกระดูกแล้ว เมื่อเนื้อหนังส่วนบริเวณฝ่ามือสลายหายไปหมดสิ้นและกำลังกัดกินลึกเข้าไปยังหลังมือและข้อมือ
“อ๊ากก” ร่างหมอกนั้นคำรามอย่างโหยหวน ใช้มืออีกข้างกุมแขนข้างนั้นไว้อย่างเจ็บปวด ไม่อาจคำนึงถึงการต่อสู้อีก ซิ่วจูพลันสลายปราณหมอกวิญญาณและใช้เข็มแทงเข้าไปยังชีพจรที่ขมับของอีกฝ่าย บีบให้อีกฝ่ายตกอยู่ในสภาพโคม่าในทันที
เมื่อซิ่วจูคลายร่างหมอก พลังที่กัดกร่อนมือของอีกฝ่ายก็สิ้นสภาพไปด้วยในทันทีเช่นกัน เธอใช้พลังปราณเซียนไร้ลักษณ์ยกอีกฝ่ายขึ้นค่อยเดินกลับมายังกลุ่ม
สำหรับจินหลินนั้น เล็งคนที่ไกลที่สุดที่ระยะสิบเมตร เธอเพียงแค่ชี้ไปที่ร่างหมอกนั้น พลังของเธอก็ยกอีกฝ่ายขึ้นกลางอากาศ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะดิ้นรนอย่างไร ในเมื่อไม่มีที่หยั่งเท้าก็ไม่อาจจะหนีไปไหนได้เลยแม้แต่น้อย ได้แต่ลอยตามกลุ่มของพวกหงเซียวไปอย่างจนปัญญาตามการบังคับของจินหลิน
กลุ่มสิบสองคนนี้น่าหวาดกลัวสำหรับคนที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง เมื่อชายที่เดินนำหน้าแม้ว่าจะหน้าตาหล่อเหลาสำอางโบกพัดเดินไปอย่างเฉยชาและผ่อนคลาย แต่มืออีกข้างกลับลากคอเสื้อคนที่สลบไสลคนหนึ่งไปตามพื้น
ขณะเดียวกัน ก็มีคนที่ไม่ทราบว่าเป็นหรือตาย ลอยเหนือพื้นอยู่ข้างๆกลุ่มสามคน และที่น่าประหวั่นไปยิ่งกว่านั้นก็คือร่างหมอกร่างหนึ่งกำลังกรีดร้องโหยหวนดิ้นรนอยู่กลางอากาศหวังจะเป็นอิสระ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาก็ได้แต่ลอยตามกลุ่มคนนี้ไป
ทุกคนที่พบเห็นหากไม่รีบซ่อนตัวเอาไว้ก็ถอยกรูดวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครกล้าที่จะเดินบนถนนเดียวกับพวกเขา
หญิงสาวเจ็ดคนเพิ่งพบเห็นความสามารถอันน่าประหวั่นของคนทั้งห้าคนที่ตนเองเข้าร่วมกลุ่มด้วย ต่างไม่แน่ใจว่าตนเองคิดถูกหรือไม่ที่ติดตามมา เพราะว่าถ้าหากอีกฝ่ายคิดร้าย พวกเธอคงไม่มีโอกาสแม้จะแผดร้อง
พวกเธอพยายามคิดในแง่ดีว่า หากว่าอีกฝ่ายคิดร้ายก็คงทำร้ายตนเองตั้งแต่วันก่อน คงไม่มาซ่อมแซมบ้านเพื่อให้พวกเธออยู่อย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างไรในใจของพวกเธอก็อดประหวั่นไม่ได้
พวกเขาเดินกันอย่างเงียบเชียบไม่มีการพูดคุยกันจนกระทั่งถึงคฤหาสน์
ประตูปิดสนิทเหมือนปกติ แต่หงเซียวกลับรับรู้จากร่างจิตเทียมที่อยู่ภายในคฤหาสน์ว่า มีคนดักซุ่มอยู่ภายในหลายคน บ้างก็อยู่ในบ้าน บ้างก็ยืนแนบผนัง
คนเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่มาที่นี่วานนี้ โดยมีเขตแก่นปราณสี่คนเป็นหัวโจก
จะแอบดักลอบทำร้ายเขารึ แค่นี้ไม่พอหรอก
หงเซียวยกมือขึ้นแสดงรหัส จินหลินและซิ่วจูเข้าใจในทันที แต่เหมยเหมยกับซีชี่ยังงงงันอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะนึกออก
ประตูบ้านบานใหญ่คู่นี้เป็นแบบเปิดเข้า เปิดเข้าไปก็จะเป็นลานโล่ง ดังนั้นหากเปิดเข้าไปโดยไม่ระวังตัว คนที่แอบอยู่หลังประตูก็จะอยู่ด้านหลังพวกเขาพอดี
แต่ถ้ารู้ตัวแล้วนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
จินหลินหันไปหาร่างหมอกที่กรีดร้องอยู่ด้านหลัง ใช้พลังหมุนร่างอีกฝ่ายให้หันด้านหลังให้เธอแล้วใช้เข็มปักเข้าไปที่ก้านคอ ร่างหมอกนั้นพลันแข็งทื่อค้างกลางอากาศ มีเพียงดวงตาที่กลอกไปมาได้เท่านั้น
จินหลินดีงมีดสั้นแคบเรียวออกมาจากชายเสื้ออย่างเงียบงัน แล้วหันไปหาบรรดาหญิงสาวเจ็ดคนที่อยู่ข้างกาย พวกเธอต่างพากันผวานึกว่าจินหลินจะเชือดพวกเธอ แต่เมื่อจินหลินชี้ปลายมีดไปยังในบ้านแล้วพยักหน้า ทำให้พวกเธอเริ่มเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ก่อนที่บรรดาหญิงสาวทั้งเจ็ดจะทันเข้าใจ หงเซียวพลันยกมือแสดงสัญลักษณ์อีกครั้ง หญิงสาวทั้งสี่พากันพุ่งตัวเข้าประชิดกำแพง แผ่รัศมีปราณเข้าไปตรวจสอบทั้งบ้าน และพบเห็นคนหกคนที่ยืนแนบกำแพงอยู่ ที่เหลือไม่อยู่ในบ้านก็หลังคา
จินหลินส่งสัญญาณมือให้หญิงสาวอีกสามคน พวกเธอยิ้มออกมาแล้วพยักหน้า ค่อยเลียบผนังไปโดยเท้าไม่สัมผัสพื้น เมื่อตรงกับคนฝั่งตรงข้ามที่พิงผนังอยู่ พวกเธอก็ลงมือ
การลงมือของพวกเธอเรียบง่าย เพียงใช้มือแนบผนังลูบจากด้านบนลงด้านล่าง มีเพียงจินหลินที่เพียงแค่แตะมือเข้ากับผนัง
จินหลินหันมาหาหงเซียว พยักหน้า
หงเซียวเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาดังๆ “ฮะฮะฮะ พวกเธอช่างเข้าใจเล่นนะเด็กน้อย” ก่อนที่จะผลักประตูเดินเข้าไปอย่างไม่เกรงใจ
ท่าทางของหงเซียวเหมือนจะประมาท แต่ความจริงแล้วเป็นการแสดงให้อีกฝ่ายคิดว่าพวกเขาไม่รู้ตัว
หงเซียวพาทุกคนเดินเข้าไปถึงกลางบ้านขณะพูดคุยกันดังลั่น คนที่หลังคาและในตัวบ้านต่างรู้สึกแปลกใจว่าคนที่ประตูทำไมจึงไม่ส่งสัญญาณโจมตี
จินหลินและสามเด็กสาวพุ่งตัวไปที่ตัวบ้านและทำซ้ำแบบเดิม ลูบผนัง จากนั้นก็ผลุบเข้าไปในตัวบ้าน
ส่วนหงเซียวนั้นพลันหันตัวไปหาบรรดาคนที่พิงกำแพงอยู่ พร้อมกับยิ้มให้
ทุกคนที่ยืนพิงกำแพงอยู่นั้นเดิมทีภาวนาอย่าให้หงเซียวหรือใครก็ตามหันมาเห็นพวกเขาในตอนนี้ เพราะว่าพวกเขาพบว่าตนเองตัวติดกับผนังไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถดึงตัวออกมาจากกำแพงได้
ผนังกำแพงที่ควรจะเปื่อยยุ่ยถูกกาวปราณของจินหลินและพวกเปลี่ยนมันให้แข็งแกร่งกว่าเหล็ก และยึดร่างของคนที่พิงผนังเข้ากับผนังกำแพง กลายเป็นเครื่องจองจำอีกฝ่ายไว้
เมื่อเห็นหงเซียวยิ้มให้ ทุกคนก็ต่างพากันกรีดร้องอย่างอดไม่ไหว “อ-อย่าเข้ามานะ”
และนั่นก็ทำให้หญิงสาวทั้งเจ็ดสะดุ้ง รีบหันกลับไปมองเห็นคนทั้งหกที่พิงผนังกำลังตะเกียกตะกายอยู่
“พี่สาวมีเจ็ดคน แต่ตรงนี้มีหกคน พี่สาวต้องเลือกแล้วล่ะว่าใครที่จะฝึกวิชาก่อนและใครหลัง ยังไงก็มีคนในบ้านอีกหลายคน” หงเซียวกล่าว
หญิงสาวทั้งเจ็ดเข้าใจได้ในทันที คนเหล่านี้คือเครื่องสังเวยที่จะให้พวกเธอฝึกวิชาหมอกปีศาจ
“ขอบคุณน้องหงเซียว” พวกเธอกล่าวขอบคุณก่อนจะถกเถียงกันว่าใครก่อนใครหลัง และเมื่อพูดจากันลงตัวแล้ว หญิงสาวหนึ่งในนั้นก็ดึงกระบี่ยาวของเธอออกมาจากฝักข้างเอว