บทที่ 178 หนึ่งปะทะหมื่น
บรรยากาศโดยรอบตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ร่างของเจียงอี้ คนผู้นี้ถูกขนานนามว่าเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักจิตอสูรและยังเป็นบุตรชายของตัวตนที่ยิ่งใหญ่อย่างจอมพลกองทัพทหารตะวันตก
เขาจะทนการยั่วยุจากสองคนนั้นได้จริงๆหรือ?
แต่ก็ผิดคาด เจียงอี้ทำราวกับทั้งสองคนเป็นเพียงแค่อากาศธาตุและแทะขาหมูที่อยู่ตรงหน้าอย่างสบายใจ
หญิงสาวจำนวนไม่น้อยรวมไปถึงองค์หญิงหกเซี่ยเฟยหยูเผยให้เห็นความผิดหวัง พวกนางคาดหวังว่าจะเห็นความกล้าหาญของชายผู้ถูกยกย่องว่าเป็นอันดับหนึ่งของสำนักจิตอสูรและยังเป็นบุตรชายของเจียงเปี๋ยหลี แต่ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะเป็นเพียงแค่คนขี้ขลาดเท่านั้น
แต่ใครจะรู้—?!
หลังจากที่เจียงอี้แทะขาหมูจนหมด เขาก็หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากและมืออย่างไม่ทุกข์ร้อน จากนั้นเขาก็เงยหน้ามองจ่างซุนอู๋จี้และเซี่ยเถียนก่อนที่จะเอ่ยด้วยสีหน้ายียวนกวนบาทา
“นายน้อยจ่างซุน องค์ชายสาม ข้ารู้ว่าพวกท่านไม่ชอบขี้หน้าข้า,เจียงอี้”
“เช่นนั้นก็ดี อย่าได้มัวแต่พ่นวาจาให้เปลืองน้ำลาย เรามาพูดคุยกับด้วยกำปั้นดีกว่า ข้าขอเชิญพวกท่านทั้งสองไปประลองกับข้าที่ด้านนอก… ไม่ต้องห่วง พวกท่านจะเข้ามาพร้อมกันเลยก็ได้นะ ข้าไม่ถือหรอก ฮ่าฮ่า!”
มันต้องแบบนี้สิ!
ดวงตาของผู้คนจำนวนมากส่องประกายด้วยความตื่นเต้นราวกับเจอเรื่องสนุกเข้าให้แล้ว
คำพูดตอกกลับของเจียงอี้ช่างเผ็ดร้อนได้ใจยิ่งนัก เขาถึงกับกล้าท้าทายอัจฉริยะสองคนในเวลาเดียวกัน
ต้องทราบก่อนว่าเซี่ยเถียนเพิ่งจะอายุครบยี่สิบสามปีในปีนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงหนึ่งในองค์ชายที่แทบจะไม่มีโอกาสได้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่ด้วยทรัพยากรที่มีอย่างไม่จำกัดทำให้เขาทะลวงสู่จุดสูงสุดของขอบเขตจื่อฝู่ได้ตั้งแต่เยาว์วัย อีกทั้งยังมีสิ่งประดิษฐ์หายากมากมายอยู่กับตัว
ทางด้านของจ่างซุนอู๋จี้ แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงจอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่หก แต่สัตว์วิญญาณของเขา ‘มังกรน้ำแข็ง’ ก็อยู่ในจุดสูงสุดสัตว์อสูรระดับสองแล้ว
บรรดานายน้อยและคุณหนูต่างก็ไม่เคยเห็นฉากแบบนี้มาก่อน มันเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่สามารถระงับความตื่นเต้นไว้ได้
ศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักจิตอสูรอีกทั้งยังเป็นบุตรชายของเจียงเปี๋ยหลีถึงกับกล้าท้าทายองค์ชายสามและประมุขน้อยของตระกูลจ่างซุนในเวลาเดียวกัน
แล้วอย่างนี้จะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นได้ยังไง?
เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้เลือดลมของฝูงชนสูบฉีด แต่ในบรรดาคนเหล่านั้นก็ยังมีผู้คนอีกไม่น้อยที่ตั้งข้อสงสัย
จากกลิ่นอายที่สัมผัสได้ เห็นได้ชัดว่าเจียงอี้เป็นเพียงจอมยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เก้าเท่านั้น เขาจะต่อกรกับสองคนนั้นได้จริงๆหรือ?
แต่ไม่นานนัก ความประหลาดใจก็ถาโถมเข้ามาในใจของฝูงชน
ผิดคาดนัก เมื่อได้ยินคำพูดท้าทายของเจียงอี้ ผู้ที่หยิ่งยโสและทะนงตนอย่างจ่างซุนอู๋จี้และองค์ชายเซี่ยเถียนกลับไม่ปริปากออกมาแม้เพียงครึ่งคำ พวกเขาทำได้เพียงแค่ก้มหน้าลงและไม่กล้าสบตา
สองคนนี้ไม่กล้าที่จะสู้กับเจียงอี้?
แต่เดิมอิงเตา, ไท่สื่อเวิ่นเทียนและหลงเจี๋ยง สามนายน้อยจากตระกูลใหญ่ต่างก็ลอบดูแคลนเจียงอี้ แต่ในเวลานี้พวกเขากลับต้องหันมามองหน้ากันด้วยความตกตะลึง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องเปลี่ยนมุมมองที่มองเจียงอี้ใหม่เสียแล้ว
ดวงตาที่งดงามภายใต้ผ้าคลุมหน้าขององค์หญิงหกเชี่ยเฟยหยูกำลังจ้องมองไปที่จ่างซุนอู๋จี้เป็นเชิงหยอกล้อ แต่เขาก็ทำเป็นเมินเฉยและนิ่งเงียบต่อไป
“กลัวงั้นหรอ?”
เจียงอี้ยกแก้วไวน์ขึ้นมาและแกว่งเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย้ยหยัน
“หากว่ากลัว ก็อย่าได้เห่าหอนออกมา! พวกท่านไม่รู้หรือว่ามันจะทำให้รสชาติของอาหารแย่ลง? ช่างน่าผิดหวังนัก!”
“เจ้า!!”
เซี่ยเถียนลุกพลวดขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความโกรธและอับอาย เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะรับมือยังไง เขาทำได้เพียงแค่ชี้หน้าเจียงอี้และตวาดขึ้น
“องค์ชายเยี่ยงข้าไม่จำเป็นต้องลดตัวลงไปทะเลาะวิวาทกับคนชั้นต่ำอย่างเจ้า! เหอะ ขอเพียงแค่ข้าเอ่ยปาก คนของข้าก็สามารถบดขยี้เจ้าได้อย่างง่ายดาย!”
เจียงอี้หัวเราะออกมาและกล่าวอย่างไม่แยแส “เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นคนที่ไร้ยางอายถึงเพียงนี้! ท่านกำลังจะหาคนมาจัดการกับข้า ถูกต้องไหม? ก็ดี ข้า,เจียงอี้ มีอายุครบสิบหกปีในปีนี้”
“เอาแบบนี้เป็นไง ไปหารุ่นเยาว์ที่อายุต่ำกว่าสิบแปดมาสักหมื่นคน นายน้อยผู้นี้จะจัดการกับพวกมันด้วยตัวคนเดียว ท่านไม่คิดว่ามันน่าสนใจหรือ?”
“โห!”
แข็งกร้าว! หยิ่งยโส! บ้าคลั่ง!
ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความโกลาหลโดยพลัน พวกเขาเพิ่งเคยเห็นคนที่บ้าบิ่นแบบนี้เป็นครั้งแรก หนึ่งปะทะหมื่น? นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงลอบยกนิ้วให้ด้วยความชื่นชม พวกเขาคาดไว้แล้วว่าเจียงอี้จะเอาคืน แต่ไม่นึกเลยว่าจะเจ็บแสบขนาดนี้ ในเมืองหลวงมีจอมยุทธรุ่นเยาว์จำนวนไม่น้อยที่บรรลุขอบเขตจื่อฝู่ทั้งที่อายุน้อยกว่าสิบแปดปี แต่ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ทะลวงสู่ขอบเขตเสินโหยว
ตั้งแต่ขอบเขตเสินโหยวลงมา ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครที่เป็นภัยคุกคามต่อเจียงอี้ได้อีกต่อไป
“ก็ดี งั้นเจ้าล้างคอรอได้เลย!”
ภายใต้ความโกรธ เซี่ยเถียนก็ตกปากรับคำโดยไม่คิดไตร่ตรอง แต่ในขณะที่เขากำลังจะตะโกนต่อนั้น จู่ๆองค์รัชทายาทก็เดินขึ้นมาบนเวทีและกล่าวแทรก “เซี่ยเถียน หยุดได้แล้ว!”
เมื่อองค์ชายสามเซี่ยเถียนเห็นถึงความโกรธเกรี้ยวบนใบหน้าของเซี่ยอู๋หุ่ย เขาก็ดึงสติกลับมาและหุบปากลง
มีผู้ที่มีอิทธิพลจำนวนไม่น้อยที่ถูกเชิญมายังงานเลี้ยงในครั้งนี้ หากว่าเรื่องที่เกิดขึ้นถูกเผยแพร่ออกไป มันคงไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก
แม้ว่าเซี่ยเถียนจะเฟ้นหาจอมยุทธรุ่นเยาว์ทั้งหมื่นคนมาได้จริง แต่การที่จะปล่อยให้คนเหล่านั้นต่อสู้กับคนเพียงคนเดียว มันจะไม่กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวหรอกหรือ?
หากเรื่องที่องค์ชายส่งคนนับหมื่นไปจัดการกับคนเพียงคนเดียวถูกเผยแพร่ไปสู่ภายนอก แล้วอย่างนี้เหล่าราชวงศ์ของอาณาจักรเสินหวู่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
ด้วยการแทรกแซงขององค์รัชทายาท ดูเหมือนว่าการต่อสู้จะไม่มีทางได้เกิดขึ้นเป็นแน่
ความตื่นเต้นในดวงตาของหญิงสาวหลายนางมอดดับลง แม้แต่องค์หญิงหกเซี่ยเฟยหยูก็รู้สึกขัดใจเล็กน้อย จากนั้นนางก็หันไปด้านหน้าและกล่าวออกมา
“นายน้อยเจียงช่างมีบุคลิกที่กล้าหาญและน่ายกย่องเสียจริง! ทำไมเจ้าถึงไม่มองหานายน้อยที่อยู่ในห้องนี้มาเป็นคู่มือสักคนล่ะ? เจ้าช่วยทำให้ข้าเปิดหูเปิดตาและเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของผู้ที่ถูกขนานนามว่าศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักจิตอสูรหน่อยได้หรือไม่?”
เรื่องวุ่นวายยังคงถาโถมเข้าใส่เจียงอี้ไม่หยุดหย่อน เพราะเรื่องของซูรั่วเสวี่ยทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดหัวใจ แม้ว่าภายนอกจะดูสบายดี แต่แท้จริงแล้วภายในใจของเขากำลังรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีดแทง
ก่อนหน้านี้เจียงอี้พอจะระงับความโกรธได้บ้างแล้ว แต่มันก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้งเนื่องจากคำยั่วยุของเซี่ยเถียนและจ่างซุนอู๋จี้ มิหนำซ้ำในตอนนี้องค์หญิงเซี่ยเฟยหยูยังต้องการโหมเพลิงแค้นในใจเขาด้วยการสาดน้ำมันเข้าใส่
“ฝ่าบาท ท่านต้องการที่จะเล่นอะไรงั้นหรือ?”
ถึงเซี่ยเฟยหยูจะไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับองค์ชายสามเซี่ยเถียน แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังเป็นพี่ชายของนาง แน่นอนว่านางก็ต้องช่วยเขาให้กู้หน้ากลับมา ดวงตาอันงดงามของนางจ้องเขม็งมาที่เจียงอี้และกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ข้าเห็นว่านายน้อยเจียงภาคภูมิใจกับความแข็งแกร่งของตัวเองยิ่งนัก ข้าก็แค่อยากจะเพิ่มความน่าสนใจให้กับเจ้าเท่านั้นเอง ทำไมถึงไม่ให้นายน้อยอู๋เหินมาเล่นกับเจ้าสักหน่อยล่ะ? ไม่ว่าผู้ชนะจะเป็นใคร คนผู้นั้นก็จะได้รับรางวัลจากองค์หญิงผู้นี้”
“อู๋เหิน?”
สีหน้าของเฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงแปรเปลี่ยนไปในบัดดล ชื่อเต็มของอู๋เหินผู้นี้คือ ‘จ่างซุนอู๋เหิน’ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของจ่างซุนอู๋จี้ แม้ว่าจะมีอายุเพียงยี่สิบสี่ปี แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็อยู่ในขั้นแรกของขอบเขตเสินโหยวแล้ว!”
“ฮิฮิ!”
ที่ด้านหลังที่นั่งของจ่างซุนอู๋จี้ ชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีดำลุกขึ้นยืนและก้าวเดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
“อู๋เหินจะทำตามพระบัญชาขององค์หญิงพะยะค่ะ แต่ข้าเกรงว่านายน้อยเจียงคงไม่กล้าที่จะเล่นกับข้าเสียมากกว่า”
“เจ้ามั่นใจในตัวเองขนาดนั้นเชียว?”
เจียงอี้เหลือบมองไปที่จ่างซุนอู๋เหินและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ตั้งแต่ที่องค์หญิงต้องการที่จะเห็นข้าลงมือ เช่นนั้นข้าก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้ชายผู้นี้ขายหน้า แต่ข้าว่าพวกเราควรที่จะเพิ่มรางวัลอีกสักเล็กน้อย”
“การประลองแบบตัวต่อตัวนั้นน่าเบื่อเกินไป เอาแบบนี้สิ ข้าอยากให้ตระกูลจ่างซุนส่งตัวแทนออกมาห้าคน จากนั้นข้าจะสู้กับพวกเขาทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว! หากว่าพวกเขามีความสามารถพอที่จะทำร้ายหรือสังหารข้าได้ ข้า,เจียงอี้ จะไม่เปิดปากบ่นแม้แต่น้อย!”
“เอาจริงรึ?!”
“สุดยอด!”
“ว้าว!”
ความปั่นป่วนปะทุขึ้นอีกครั้ง ในตอนนี้ฝูงชนต่างก็คิดว่าเจียงอี้เสียสติไปแล้ว!
การประลองกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นที่หนึ่งยังไม่เพียงพออีกหรือ? นี่เขายังต้องการที่จะท้าทายเพิ่มอีกห้าคนจริงๆ?
ตระกูลจ่างซุนนั้นไม่เคยขาดแคลนอัจฉริยะ แม้ว่าในบรรดารุ่นเยาว์ที่มาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้จะมีเพียงจ่างซุนอู๋เหินที่เป็นจอมยุทธขอบเขตเสินโหยว แต่ก็ยังมีรุ่นเยาว์อีกอย่างน้อยหกถึงเจ็ดคนที่อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตจื่อฝู่!
“ประเสริฐ! นายน้อยเจียงไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!”
ดวงตาของเซี่ยเฟยหยูเผยให้เห็นความชื่นชม คราวนี้นางชื่นชมเจียงอี้จากใจจริง ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับการถ่ายทอดนิสัยหยิ่งผยองมาจากเจียงเปี๋ยหลีเต็มๆ
“นายน้อยเจียง หากเจ้าชนะ เจ้าก็จะได้รับรางวัลที่เจ้าต้องการ!”
“ข้าไม่ได้ขาดแคลนอาวุธ แม้แต่เงินทองก็มีให้ใช้เหลือเฟือ ข้าควรจะเรียกร้องอะไรดี?”
เจียงอี้พึมพำในใจ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเซี่ยเฟยหยู แล้วทันใดนั้นเองเขาก็เหมือนจะคิดบางอย่างได้และเอ่ยออกมา
“หากข้าชนะ ข้าขอเชิญองค์หญิงไปพูดคุยกับข้าที่โรงเตี๊ยมมังกรซ่อนเร้นสักคืนได้หรือไม่?”
“สารเลว!”
“เจ้ากล้าดียังไง?!”
“ไอเศษสวะชั้นต่ำ!”
ทันทีที่คำพูดของเจียงอี้หลุดออกไป เสียงด่าทอจากทั่วทุกสารทิศก็ดังขึ้นมา
องค์หญิงเซี่ยเฟยหยูมีสถานะอะไร? เขาต้องการที่จะเชื้อเชิญนางไปพูดคุยหนึ่งคืน? พูดคุยกับผีนะสิ! หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ชื่อเสียงของนางจะถูกทำลาย แล้วนางจะยังสามารถเข้าพิธีอภิเษกสมรสได้อีกหรือ?
“หืม…”
ซูรั่วเสวี่ยที่กำลังก้มหน้าก้มตาและนิ่งเงียบมาตลอดเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกตะลึง นางสัมผัสได้ถึงความหึงหวงที่ไม่สามารถอธิบายได้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเพราะหัวใจที่แตกสลายจึงทำให้เจียงอี้ตัดสินใจอะไรที่ไร้เหตุผลเช่นนี้
แน่นอนว่าหัวใจของซูรั่วเสวี่ยเองก็รู้สึกทรมานไม่แพ้กัน เมื่อได้ยินคำประกาศของเขา จู่ๆนางก็กำหมัดแน่นและรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“ก็ได้!”
ในเมื่อมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้ เซี่ยเฟยหยูก็ตระหนักได้แล้วว่าไม่สามารถที่จะหันหลังกลับได้อีกแล้ว จากนั้นนางก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล
“หากนายน้อยเจียงสามารถเอาชนะพวกเขาทั้งห้าคนได้จริงๆ เช่นนั้นเจ้าก็คงจะกลายเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของอาณาจักรเสินหวู่เป็นแน่แท้! หากถึงตอนนั้น อย่าว่าแต่แค่คืนเดียวเลย ต่อให้ต้องแต่งงานกับเจ้าก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!”