บทที่ 8 คุณหนูผู้มั่งคั่ง(8)
บทที่ 8 คุณหนูผู้มั่งคั่ง(8)
ฉู่ถางกลับไปแล้ว เขาทิ้งไว้เพียงเช็คสองใบไว้เบื้องหลัง ฉีเซิงเก็บเช็คสองใบนั้นขึ้นมา
‘โอ้... นี่ฉันได้กำไรสินะ ได้เช่าฉู่ถางฟรีๆตั้งหนึ่งวันแหนะ’
อันที่จริงฉีเซิงก็ไม่ได้คิดอย่างจริงจังว่า เธอจะสามารถเลี้ยงดูฉู่ถางได้ ด้วยมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดที่ผู้ชายคนนั้นครอบครองอยู่ เงินจำนวนแค่นี้ของเธอยังจะนับว่าเป็นอะไรได้ แต่เหตุผลนั้นก็ไม่ได้ทำให้ฉีเซิงหยุดแสดงท่าทางดูแคลนเขา เมื่อเขากลับคำพูด
เพื่อที่จะทำตามที่ระบบแนะนำ เธอจึงต้องเสแสร้งทำเป็นเหมือนว่าชอบเขาซะเต็มประดา ฉีเซิงจึงส่งข้อความแสดงถึง ‘ความห่วงใย’ ของเธอไปให้เขา ในช่วงเวลาเดิมๆของทุกวัน ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่ฉู่ถางไม่ได้ตอบกลับข้อความของเธอ เว้นแต่ว่าเมื่อเขาเหลืออดกับเธอจริงๆ และคำตอบที่แสนดีของเขาประกอบด้วยคำไม่กี่คำ
-อย่ารนหาที่ตาย
นั่นล่ะ ถูกต้องแล้ว มีแค่ห้าพยางค์นี้เท่านั้นที่เขาตอบเธอ ช่างน่าปลื้มใจเสียจริง
คุณพ่อซวีทำการสัญญาทุกฉบับที่เกี่ยวข้องกับบริษัทในเครือของตระกูลหนานกง อาจจะเป็นเพราะตระกูลหนานกงเองก็อยากจะชดใช้ให้กับทางตระกูลซวี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ตอบโต้หรือสร้างความเสียหายใดๆให้กับตระกูลซวี พวกเขาไม่แม้แต่เอ่ยปากถามถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
เมื่อไม่มีซวีเฉิงเยว่มาสร้างปัญหาท้าความตายครั้งแล้วครั้งเล่า หนานกงจิ่งเองก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับตระกูล ซวี ฉีเซิงเองก็ค่อนข้างจะสบายใจกับเรื่องนี้เช่นกัน แม้ว่าเธอไม่ได้คิดจะปล่อยหนานกงจิ่งไปง่ายๆก็ตาม
คุณแม่ซวีของซวีเฉิงเยว่ก็รีบกลับบ้านทันที เมื่อเธอจัดการปัญหาของบริษัทเสร็จเรียบร้อยแล้ว แม่ซวีถือได้ว่าเป็นผู้หญิงเก่งคนหนึ่ง เมื่ออยู่ที่ทำงานเธอคือสาวแกร่ง แต่เมื่ออยู่ที่บ้านเธอคือภรรยาและแม่ที่แสนดี เธอไม่มีท่าทางที่จะวางอำนาจข่มสามีแม้แต่น้อย
ฉีเซิงมีความสุขมากที่ได้ใช้เวลาร่วมกับพวกเขา ‘นี่สิคือความรู้สึกของการเป็นครอบครัว....’
อย่างไรก็ตามคุณแม่ซวีกลับมีความคิดเหมือนคุณพ่อซวี เธอเห็นดีเห็นงามกับความคิดที่จะให้ฉีเซิงอุปถัมภ์ฉู่ถาง ซึ่งนั่นสร้างความหนักใจให้เธอเป็นอย่างมาก ‘โอ้ย…. ฉันละปวดตับกับผัวเมียคู่นี้!!’
‘ด้วยสถานะทางการเงินของบ้านเราตอนนี้ ไม่มีทางที่เราจะเลี้ยงดูฉู่ถางได้หรอก ไม่มีทาง!!’
จนต่อมาเธอจึงได้พบว่าพ่อแม่ดูเหมือนจะถูกกระตุ้นด้วยเรื่อง ‘อุปถัมภ์’ จนกู่ไม่กลับ เมื่อพวกเขากระตือรือร้นหาเงินราวกับว่าชีวิตจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้ว
โดยเนื้อแท้แล้วคุณพ่อซวีเป็นคนที่ค่อนข้างมีพรสวรรค์ แต่เป็นเพราะเขาเป็นคนที่ประเภทโฟกัสเรื่องของครอบครัวมากกว่าเรื่องงาน เนื่องจากเป้าหมายของเขามีเพียงเพราะต้องการให้ครอบครัวมั่นคงและมีความสุข แต่ตอนนี้เขามีเป้าหมายใหม่แล้ว เพื่อให้ลูกสาวสุดที่รัก สามารถเลี้ยงดูชายหนุ่มรูปงามโปรไฟล์หรูได้ เขาและคุณแม่ซวีจึงยอมทุ่มสุดตัวเพื่องานนี้เลยทีเดียว
ในเนื้อเรื่องเดิม หายไม่ใช่เพราะซวีเฉิงเยว่จมอยู่ในห้วงอารมณ์โศกเศร้าเสียใจจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน จนเป็นสาเหตุทำให้พวกเขาไม่มีกระจิตกระใจจะทำงาน ไม่แน่ว่าตระกูลซวีอาจจะไม่ตกต่ำหรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่นัก
หลังจากนั้นคนในวงการธุรกิจ ก็พบว่าระยะหลังมานี้บริษัทของตระกูลซวีดูจะคึกคักเป็นพิเศษ ยังกับโด๊ปเลือดไก่มาก็ไม่ปาน พวกเขาสามารถกวาดเงินจำนวนมหาศาลเข้ากระเป๋าได้ทุกเดือน พนักงานในบริษัทของตระกูลซวีจึงอดที่จะยิ้มจนปากแทบฉีกถึงรูหูไม่ได้
ด้วยตอนนี้ซวีเซิงเยว่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 3 ดังนั้นเมื่อเปิดเทอมฉีเซิงจึงทำได้เพียงเก็บข้าวของและย้ายกลับไปที่หอของทางมหาวิทยาลัย เป็นโชคดีของเธอที่ซวีเฉิงเยว่เป็นคนเงียบๆไม่ได้ชอบทำตัวเป็นจุดเด่นนัก อาจจะเทียบได้ว่าถ้ามีคน 10 คน จำนวน 9 ใน 10 ก็ไม่น่าจะมีใครที่จำเธอได้ ดังนั้นฉีเซิงจึงไม่ได้เป็นที่จับตามองของคนอื่น
หากจะกล่าวว่าซวีเฉิงเยว่ไม่ได้ทำตัวเป็นจุดเด่นก็อาจจะไม่ค่อยถูกต้องนัก คงต้องพูดว่ามีเพียงคนที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเธอเท่านั้นถึงจะรู้ว่าเธอเป็นใคร
“ดูเหมือนว่าคุณหนูซวีผู้ยิ่งใหญ่ในที่สุดก็ตัดสินใจมามหาลัยได้สักที ฉักก็นึกว่าเธอจะหดหัวอยู่แต่ในบ้านเสียอีก”
เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ฉีเซิงก็ถูกสกัดไว้ด้วยคนคนหนึ่ง เมื่อเธอมองไปยัง ‘สิ่งกีดขวาง’ เบื้องหน้า ชื่อหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวเธอ ‘เสี่ยวเหว่ย’ คนที่มีจุดจบย่ำแย่กว่าเธอในเนื้อเรื่องเดิม
ในฐานะนางร้ายด้วยกัน ฉีเซิงอดไม่ได้ที่จะจุดเทียนไว้อาลัยให้เธออย่างเงียบๆ และตัดสินใจที่จะไม่ตอบโต้คำพูดเสียดสีของเสี่ยวเหว่ย ก็แล้วทำไมผู้หญิงอย่างเธอจะต้องไปหาเรื่องซ้ำเติมลูกผู้หญิงด้วยกันล่ะ?
‘ก็นะ... ทำไงได้ก็ฉันเป็นคนจิตใจดีนี่น่า...’
แต่ใครจะคิดเพียงแค่ฉีเซิงตั้งท่าจะเดินหนี เสี่ยวเหว่ยกลับผลักไหล่ของฉีเซิงจนเธอเซถอยหลัง
“ทำไมเธอถึงไม่พูดอะไรหน่อยละ? เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าเธอภูมิใจมากไม่ใช่หรือไง? ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเธอจะวางท่าชูคอได้อีกไหม!!” เสี่ยวเหว่ยเอ่ยเยาะเย้ย
ฉีเซิงเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาตงิดๆเมื่อถูกผลักจนเกือบล้ม “ถามจริง ในหัวเธอนี่มีแต่ขี้เลื่อยใช่ไหม? ถ้าเธอชอบหนานกงจิ่งมากนักก็ไปเกาะแข้งเกาะขาเขาสิ มายุ่งวุ่นวายกับฉันทำไม? แต่ขอโทษเถอะนะ แม้แต่มือเขาเธอยังไม่เคยได้แตะ แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรมาอวดดีใส่ฉัน ? อีกอย่างฉันจะบอกเธอให้เอาบุญนะ ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายเทหนานกงจิ่ง!!! ”
“กรี๊ด.....นี่เธอกล้าว่าฉันเหรอ!!” ‘ยายนี่กล้าดียังไงถึงมาดูถูกฉัน!... แต่เอ๊ะ เมื่อกี้หล่อนพูดว่าเป็นคนทิ้งหนานกงจิ่ง?’
เสี่ยวเหว่ยยิ้มเย็น “ซวีเฉิงเยว่หนอซวีเฉิงเยว่ นี่เธอเสียใจเพราะถูกทิ้ง จนเป็นบ้าไปแล้วหรอ? ใครๆก็รู้ว่าเธอไล่ตามตื้อคุณชายจิ่งขนาดไหน มาตอนนี้เธอกลับมีหน้ามาโกหกว่าเธอเป็นฝ่ายทิ้งเขาก่อน เธอไม่กลัวคนอื่นเขาหัวเราะเธอจนฟันหักหรอ?”
เมื่อครั้งที่จัดงานแถลงข่าวประกาศถอนหมั้น ทั้งสองตระกูลไม่ได้กล่าวถึงเหตุผลการถอนหมั้นอย่างชัดเจนนัก ดังนั้นคนภายนอกทั่วไปจึงไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายถอนหมั้นใครก่อนเเละทำไมถึงถอนหมั้น แต่อย่างไรก็ตามก็มีพวกชอบสรุปเอาเองตามใจชอบ แล้วเชื่อตามที่พวกเขาคิด เสี่ยวเหว่ยเองก็เป็นหนึ่งในคนจำพวกนั้น เธอเชื่อเหลือเกินว่าหนานกงจิ่งเป็นคนทิ้งซวีเฉิงเยว่และไม่มีทางที่จะเป็นอย่างอื่นไปได้
“ไม่ว่าเธอจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่อย่ามาวุ่นวายกับฉันอีก ตอนนี้ศัตรูหัวใจของเธอคือ ซูอี้อี้ไม่ใช่ฉัน!”
“ซูอี้อี้? ซูอี้อี้ที่เรียนภาควิชาเดียวกับเธอคนนั้นน่ะหรือ?”
ด้วยความที่เป็นนางเอกของเรื่อง จึงเป็นปกติเป็นปกติที่ซูอี้อี้ย่อมไม่ได้เป็นคนโนเนม
ฉีเซิงกรอกตาใส่เสี่ยวเหว่ย ‘ถ้าไม่ใช่เพราะว่าจุดจบในเรื่องของหล่อนมันน่าอนาถกว่าฉัน ฉันก็คร้านที่จะมาเสวนากับหล่อนเหมือนกัน!’
“มหาลัยเริ่มเปิดเรียนวันนี้ ถ้าเธออยากรู้ว่าเรื่องที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริงไหม เธอก็ลองไปดูให้เห็นกับตาสิ ลองไปรออยู่ที่หน้าหอของซูอี้อี้ดูสิ เธอออาจจะได้เห็นหนานกงจิ่งมาส่งซูอี้อี้ก็ได้”
‘เพราะฉันเป็นคนใจดีหรอกน่ะเลยชี้เป้าให้เธอตรงๆ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณฉันก็ได้’
เสี่ยวเหว่ยยังคงคลางแคลงใจและคิดว่าซวีเฉิงเยว่กำลังเล่นลูกไม้กับเธอ แม้ว่าซูอี้อี้จะหน้าตาสะสวย แต่เธอก็มาจากครอบครัวที่ฐานะธรรมดาๆเท่านั้น เธอยังหาจุดเชื่อมโยงระหว่างซูอี้อี้และหนานกงจิ่งยังไม่ได้ ซูอี้อี้มีโอกาสเข้าหาหนานกจิ่งตอนไหนกัน
ฉีเซิงยักไหล่ราวกับจะบอกว่า ‘ฉันเตือนเธอแล้วนะ อย่ามาโทษฉันทีหลังก็แล้วกัน ถ้าเธอพลาดจากหนานกงจิ่ง’
จนกระทั่งฉีเซิงเดินจากไปแล้ว เสี่ยวเหว่ยก็ยังคงตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง
แม้ว่ามหาวิทยาลัยที่ซวีเฉิงเยว่กำลังศึกษาอยู่จะมีหอพักนักศึกษา แต่จำนวนครั้งที่ซวีเฉิงเยว่พักอยู่ที่นั่นน้อยจนแทบนับด้วยจำนวนนิ้วมือได้ เทอมนี้ฉีเซิงวางแผนที่พักในหอพักของทางมหาวิทยาลัย เพื่อผ่อนคลายและดื่มด่ำกับชีวิตของนิสิตนักศึกษา อีกเหตุผลหนึ่งคือเธอต้องการจะเลี่ยงจากบุพการีผู้ซึ่งกระตือรือร้น และยุยงส่งเสริมให้เธออุปถัมภ์ฉู่ถางอย่างบ้าคลั่งคู่นั้นด้วย
หอพักของทางมหาวิทยาลัยค่อยข้างจะสะดวกสบาย แม้ว่าแต่ละห้องจะมีจำนวนผู้พักถึง สี่คนต่อห้อง แต่ก็ยังถือว่ากว้างขวางไม่แออัด เนื่องจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีลูกหลานของตระกูลดังๆจบออกไปจำนวนไม่น้อย ดังนั้นเมื่อพวกเขาประสบความสำเร็จ พวกเขาจึงมักจะบริจาคเงินจำนวนมากให้กับทางมหาวิทยาลัย เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ลืมรากเหง้าของตัวเอง
เมื่อฉีเซิงมาถึงห้องพักเธอก็พบว่าในห้องยังไม่มีมีผู้คน เธอทบทวนความทรงจำว่า เตียงไหนเป็นของซวีเฉิงเยว่ ก่อนจะเริ่มจัดสัมภาระของเธอให้เข้าที่เข้าทาง จนกระทั่งฉีเซิงจัดข้าวของของเธอเรียบร้อยแล้ว ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ผู้ที่เปิดประตูเขามาเป็นเด็กสาวผมสั้นคนหนึ่ง เธอชะงักไปชั่วขณะเมื่อเห็นเธอ ก่อนจะเดินเข้ามาภายในห้อง แล้วมองสำรวจไปยังเตียงและโต๊ะเขียนหนังสือของเธอ “ซวีเฉิงเยว่ เทอมนี้เธอจะพักอยู่ในหอหรอ?”
ตั้งแต่ปีแรกของการศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ จำนวนครั้งที่เพื่อนร่วมห้องคนนี้ของเธอ อาศัยอยู่ในหอพักน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย คงเป็นเรื่องประหลาดมากกว่าถ้าเธอไม่ตกใจ เมื่อเห็นซวีเฉิงเยว่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างกะทันหัน
ฉีเซิงใช้เวลานึกอยู่ชั่วครู่ ว่าคนที่กำลังถามเธออยู่เป็นใคร ก่อนจะพบว่าเจ้าหล่อนชื่อ เซี่ยหนิง
ก่อนหน้านี้ซวีเฉิงเยว่ก็ไม่ได้สนิทกับเพื่อนร่วมห้องของเธอเท่าไหร่นัก และฉีเซิงเองก็ไม่ได้มีแผนที่จะตีสนิทกับพวกหล่อน ดังนั้นเธอจึงเพียงแค่พยักหน้ารับอย่างสุภาพเพื่อเป็นการตอบคำถาม ก่อนจะเลี่ยงไปอ่านหนังสือในมือของเธอแทน เซี่ยหนิงยินนิ่งด้วยความรู้สึกประดักประเดิด แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็กลับไปจัดเรียงข้าวของของเธอบ้าง
“อย่าร้องไห้ไปเลยน่ะอี้อี้ ยายนั่นก็แค่คนบ้าประสาทกลับ ตอนนี้เธอรีบไปทายาที่หน้าของเธอกันก่อนดีกว่า เหอะ! คนรวยพวกนั้นชอบคิดว่าตัวเองดีเลิศ วิเศษวิโสกว่าคนอื่น แต่ดูสิว่าสันดานแย่แค่ไหน”
ฉีเซิงกุมขมับ ‘ชิบหาย!! ฉันลืมไปได้ยังไงว่าซวีเฉิงเยว่ พักอยู่ห้องเดียวกับแม่นี่!’
อันที่จริงแล้วอาจจะกล่าวได้ว่า หากไม่มีซวีเฉิงเยว่ ซูอี้อี้และหนานกงจิ่งย่อมไม่มีทางได้พบกัน ‘ดูเหมือนว่า ฉันคงต้องรีบย้ายออกจากที่นี่ด่วน! ฉันยังไม่บ้าพอที่จะอยู่ห้องเดียวกับแม่นางเอกนี่หรอก!’
คนสองคนก้าวเข้ามาในห้อง เด็กสาวผู้ซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและกำลังสาปแช่งไม่หยุดปากเป็นผู้ประคองซูอี้อี้เข้ามา
“ซวี....” ซูอี้อี้ตัวแข็งทื่อเพียงเพราะเห็นใบหน้าของฉีเซิง รอยฝ่ามือเด่นหราปรากฏอยู่บนใบหน้าของซูอี้อี้ เห็นอย่างได้ชัดเจนว่าเด็กสาวเพิ่งจะโดนใครสักคนตบมา
“อี้อี้ เธอไปโดนอะไรมาน่ะ?” เซี่ยหนิงรีบปรี่เข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง
เด็กสาวที่กำลังประคองซูอี้อี้อยู่จึงโพล่งขึ้นมาทันที “แม่เสี่ยวเหว่ยนั่นไง อยู่ดีๆ ก็พุ่งเข้ามาตบอี้อี้หน้าตาเฉย...” เด็กสาวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงโกรธจัด