ตอนที่แล้วบทที่ 7  คุณหนูผู้มั่งคั่ง (7)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 9  คุณหนูผู้มั่งคั่ง (9)

บทที่ 8 คุณหนูผู้มั่งคั่ง(8)


บทที่ 8  คุณหนูผู้มั่งคั่ง(8)

 

ฉู่ถางกลับไปแล้ว  เขาทิ้งไว้เพียงเช็คสองใบไว้เบื้องหลัง  ฉีเซิงเก็บเช็คสองใบนั้นขึ้นมา

‘โอ้... นี่ฉันได้กำไรสินะ  ได้เช่าฉู่ถางฟรีๆตั้งหนึ่งวันแหนะ’

อันที่จริงฉีเซิงก็ไม่ได้คิดอย่างจริงจังว่า เธอจะสามารถเลี้ยงดูฉู่ถางได้  ด้วยมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดที่ผู้ชายคนนั้นครอบครองอยู่  เงินจำนวนแค่นี้ของเธอยังจะนับว่าเป็นอะไรได้  แต่เหตุผลนั้นก็ไม่ได้ทำให้ฉีเซิงหยุดแสดงท่าทางดูแคลนเขา  เมื่อเขากลับคำพูด

เพื่อที่จะทำตามที่ระบบแนะนำ  เธอจึงต้องเสแสร้งทำเป็นเหมือนว่าชอบเขาซะเต็มประดา ฉีเซิงจึงส่งข้อความแสดงถึง ‘ความห่วงใย’  ของเธอไปให้เขา ในช่วงเวลาเดิมๆของทุกวัน  ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่ฉู่ถางไม่ได้ตอบกลับข้อความของเธอ  เว้นแต่ว่าเมื่อเขาเหลืออดกับเธอจริงๆ  และคำตอบที่แสนดีของเขาประกอบด้วยคำไม่กี่คำ

-อย่ารนหาที่ตาย

 

นั่นล่ะ  ถูกต้องแล้ว  มีแค่ห้าพยางค์นี้เท่านั้นที่เขาตอบเธอ  ช่างน่าปลื้มใจเสียจริง

คุณพ่อซวีทำการสัญญาทุกฉบับที่เกี่ยวข้องกับบริษัทในเครือของตระกูลหนานกง  อาจจะเป็นเพราะตระกูลหนานกงเองก็อยากจะชดใช้ให้กับทางตระกูลซวี  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ตอบโต้หรือสร้างความเสียหายใดๆให้กับตระกูลซวี พวกเขาไม่แม้แต่เอ่ยปากถามถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ

เมื่อไม่มีซวีเฉิงเยว่มาสร้างปัญหาท้าความตายครั้งแล้วครั้งเล่า  หนานกงจิ่งเองก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับตระกูล ซวี  ฉีเซิงเองก็ค่อนข้างจะสบายใจกับเรื่องนี้เช่นกัน  แม้ว่าเธอไม่ได้คิดจะปล่อยหนานกงจิ่งไปง่ายๆก็ตาม

คุณแม่ซวีของซวีเฉิงเยว่ก็รีบกลับบ้านทันที  เมื่อเธอจัดการปัญหาของบริษัทเสร็จเรียบร้อยแล้ว  แม่ซวีถือได้ว่าเป็นผู้หญิงเก่งคนหนึ่ง  เมื่ออยู่ที่ทำงานเธอคือสาวแกร่ง  แต่เมื่ออยู่ที่บ้านเธอคือภรรยาและแม่ที่แสนดี  เธอไม่มีท่าทางที่จะวางอำนาจข่มสามีแม้แต่น้อย

ฉีเซิงมีความสุขมากที่ได้ใช้เวลาร่วมกับพวกเขา  ‘นี่สิคือความรู้สึกของการเป็นครอบครัว....’

อย่างไรก็ตามคุณแม่ซวีกลับมีความคิดเหมือนคุณพ่อซวี  เธอเห็นดีเห็นงามกับความคิดที่จะให้ฉีเซิงอุปถัมภ์ฉู่ถาง  ซึ่งนั่นสร้างความหนักใจให้เธอเป็นอย่างมาก ‘โอ้ย…. ฉันละปวดตับกับผัวเมียคู่นี้!!’

‘ด้วยสถานะทางการเงินของบ้านเราตอนนี้  ไม่มีทางที่เราจะเลี้ยงดูฉู่ถางได้หรอก  ไม่มีทาง!!’

จนต่อมาเธอจึงได้พบว่าพ่อแม่ดูเหมือนจะถูกกระตุ้นด้วยเรื่อง ‘อุปถัมภ์’ จนกู่ไม่กลับ เมื่อพวกเขากระตือรือร้นหาเงินราวกับว่าชีวิตจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้ว

โดยเนื้อแท้แล้วคุณพ่อซวีเป็นคนที่ค่อนข้างมีพรสวรรค์  แต่เป็นเพราะเขาเป็นคนที่ประเภทโฟกัสเรื่องของครอบครัวมากกว่าเรื่องงาน  เนื่องจากเป้าหมายของเขามีเพียงเพราะต้องการให้ครอบครัวมั่นคงและมีความสุข  แต่ตอนนี้เขามีเป้าหมายใหม่แล้ว   เพื่อให้ลูกสาวสุดที่รัก สามารถเลี้ยงดูชายหนุ่มรูปงามโปรไฟล์หรูได้  เขาและคุณแม่ซวีจึงยอมทุ่มสุดตัวเพื่องานนี้เลยทีเดียว

ในเนื้อเรื่องเดิม  หายไม่ใช่เพราะซวีเฉิงเยว่จมอยู่ในห้วงอารมณ์โศกเศร้าเสียใจจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน  จนเป็นสาเหตุทำให้พวกเขาไม่มีกระจิตกระใจจะทำงาน  ไม่แน่ว่าตระกูลซวีอาจจะไม่ตกต่ำหรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่นัก

หลังจากนั้นคนในวงการธุรกิจ  ก็พบว่าระยะหลังมานี้บริษัทของตระกูลซวีดูจะคึกคักเป็นพิเศษ  ยังกับโด๊ปเลือดไก่มาก็ไม่ปาน  พวกเขาสามารถกวาดเงินจำนวนมหาศาลเข้ากระเป๋าได้ทุกเดือน  พนักงานในบริษัทของตระกูลซวีจึงอดที่จะยิ้มจนปากแทบฉีกถึงรูหูไม่ได้

ด้วยตอนนี้ซวีเซิงเยว่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 3  ดังนั้นเมื่อเปิดเทอมฉีเซิงจึงทำได้เพียงเก็บข้าวของและย้ายกลับไปที่หอของทางมหาวิทยาลัย  เป็นโชคดีของเธอที่ซวีเฉิงเยว่เป็นคนเงียบๆไม่ได้ชอบทำตัวเป็นจุดเด่นนัก  อาจจะเทียบได้ว่าถ้ามีคน 10 คน  จำนวน 9 ใน 10  ก็ไม่น่าจะมีใครที่จำเธอได้  ดังนั้นฉีเซิงจึงไม่ได้เป็นที่จับตามองของคนอื่น

หากจะกล่าวว่าซวีเฉิงเยว่ไม่ได้ทำตัวเป็นจุดเด่นก็อาจจะไม่ค่อยถูกต้องนัก   คงต้องพูดว่ามีเพียงคนที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเธอเท่านั้นถึงจะรู้ว่าเธอเป็นใคร

“ดูเหมือนว่าคุณหนูซวีผู้ยิ่งใหญ่ในที่สุดก็ตัดสินใจมามหาลัยได้สักที  ฉักก็นึกว่าเธอจะหดหัวอยู่แต่ในบ้านเสียอีก”

เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ฉีเซิงก็ถูกสกัดไว้ด้วยคนคนหนึ่ง   เมื่อเธอมองไปยัง ‘สิ่งกีดขวาง’  เบื้องหน้า ชื่อหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวเธอ ‘เสี่ยวเหว่ย’  คนที่มีจุดจบย่ำแย่กว่าเธอในเนื้อเรื่องเดิม

ในฐานะนางร้ายด้วยกัน  ฉีเซิงอดไม่ได้ที่จะจุดเทียนไว้อาลัยให้เธออย่างเงียบๆ และตัดสินใจที่จะไม่ตอบโต้คำพูดเสียดสีของเสี่ยวเหว่ย  ก็แล้วทำไมผู้หญิงอย่างเธอจะต้องไปหาเรื่องซ้ำเติมลูกผู้หญิงด้วยกันล่ะ?

‘ก็นะ... ทำไงได้ก็ฉันเป็นคนจิตใจดีนี่น่า...’

แต่ใครจะคิดเพียงแค่ฉีเซิงตั้งท่าจะเดินหนี  เสี่ยวเหว่ยกลับผลักไหล่ของฉีเซิงจนเธอเซถอยหลัง

“ทำไมเธอถึงไม่พูดอะไรหน่อยละ?  เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าเธอภูมิใจมากไม่ใช่หรือไง?  ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเธอจะวางท่าชูคอได้อีกไหม!!”  เสี่ยวเหว่ยเอ่ยเยาะเย้ย

ฉีเซิงเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาตงิดๆเมื่อถูกผลักจนเกือบล้ม “ถามจริง  ในหัวเธอนี่มีแต่ขี้เลื่อยใช่ไหม?  ถ้าเธอชอบหนานกงจิ่งมากนักก็ไปเกาะแข้งเกาะขาเขาสิ  มายุ่งวุ่นวายกับฉันทำไม?  แต่ขอโทษเถอะนะ  แม้แต่มือเขาเธอยังไม่เคยได้แตะ  แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรมาอวดดีใส่ฉัน ?  อีกอย่างฉันจะบอกเธอให้เอาบุญนะ ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายเทหนานกงจิ่ง!!! ”

“กรี๊ด.....นี่เธอกล้าว่าฉันเหรอ!!” ‘ยายนี่กล้าดียังไงถึงมาดูถูกฉัน!...  แต่เอ๊ะ  เมื่อกี้หล่อนพูดว่าเป็นคนทิ้งหนานกงจิ่ง?’

เสี่ยวเหว่ยยิ้มเย็น  “ซวีเฉิงเยว่หนอซวีเฉิงเยว่  นี่เธอเสียใจเพราะถูกทิ้ง  จนเป็นบ้าไปแล้วหรอ? ใครๆก็รู้ว่าเธอไล่ตามตื้อคุณชายจิ่งขนาดไหน  มาตอนนี้เธอกลับมีหน้ามาโกหกว่าเธอเป็นฝ่ายทิ้งเขาก่อน  เธอไม่กลัวคนอื่นเขาหัวเราะเธอจนฟันหักหรอ?”

เมื่อครั้งที่จัดงานแถลงข่าวประกาศถอนหมั้น  ทั้งสองตระกูลไม่ได้กล่าวถึงเหตุผลการถอนหมั้นอย่างชัดเจนนัก  ดังนั้นคนภายนอกทั่วไปจึงไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายถอนหมั้นใครก่อนเเละทำไมถึงถอนหมั้น  แต่อย่างไรก็ตามก็มีพวกชอบสรุปเอาเองตามใจชอบ แล้วเชื่อตามที่พวกเขาคิด  เสี่ยวเหว่ยเองก็เป็นหนึ่งในคนจำพวกนั้น  เธอเชื่อเหลือเกินว่าหนานกงจิ่งเป็นคนทิ้งซวีเฉิงเยว่และไม่มีทางที่จะเป็นอย่างอื่นไปได้

“ไม่ว่าเธอจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม  แต่อย่ามาวุ่นวายกับฉันอีก  ตอนนี้ศัตรูหัวใจของเธอคือ ซูอี้อี้ไม่ใช่ฉัน!”

“ซูอี้อี้?  ซูอี้อี้ที่เรียนภาควิชาเดียวกับเธอคนนั้นน่ะหรือ?”

ด้วยความที่เป็นนางเอกของเรื่อง จึงเป็นปกติเป็นปกติที่ซูอี้อี้ย่อมไม่ได้เป็นคนโนเนม

ฉีเซิงกรอกตาใส่เสี่ยวเหว่ย ‘ถ้าไม่ใช่เพราะว่าจุดจบในเรื่องของหล่อนมันน่าอนาถกว่าฉัน  ฉันก็คร้านที่จะมาเสวนากับหล่อนเหมือนกัน!’

“มหาลัยเริ่มเปิดเรียนวันนี้  ถ้าเธออยากรู้ว่าเรื่องที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริงไหม  เธอก็ลองไปดูให้เห็นกับตาสิ ลองไปรออยู่ที่หน้าหอของซูอี้อี้ดูสิ เธอออาจจะได้เห็นหนานกงจิ่งมาส่งซูอี้อี้ก็ได้”

‘เพราะฉันเป็นคนใจดีหรอกน่ะเลยชี้เป้าให้เธอตรงๆ  ไม่จำเป็นต้องขอบคุณฉันก็ได้’

เสี่ยวเหว่ยยังคงคลางแคลงใจและคิดว่าซวีเฉิงเยว่กำลังเล่นลูกไม้กับเธอ  แม้ว่าซูอี้อี้จะหน้าตาสะสวย  แต่เธอก็มาจากครอบครัวที่ฐานะธรรมดาๆเท่านั้น  เธอยังหาจุดเชื่อมโยงระหว่างซูอี้อี้และหนานกงจิ่งยังไม่ได้  ซูอี้อี้มีโอกาสเข้าหาหนานกจิ่งตอนไหนกัน

ฉีเซิงยักไหล่ราวกับจะบอกว่า ‘ฉันเตือนเธอแล้วนะ  อย่ามาโทษฉันทีหลังก็แล้วกัน  ถ้าเธอพลาดจากหนานกงจิ่ง’

จนกระทั่งฉีเซิงเดินจากไปแล้ว   เสี่ยวเหว่ยก็ยังคงตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง

แม้ว่ามหาวิทยาลัยที่ซวีเฉิงเยว่กำลังศึกษาอยู่จะมีหอพักนักศึกษา  แต่จำนวนครั้งที่ซวีเฉิงเยว่พักอยู่ที่นั่นน้อยจนแทบนับด้วยจำนวนนิ้วมือได้  เทอมนี้ฉีเซิงวางแผนที่พักในหอพักของทางมหาวิทยาลัย  เพื่อผ่อนคลายและดื่มด่ำกับชีวิตของนิสิตนักศึกษา  อีกเหตุผลหนึ่งคือเธอต้องการจะเลี่ยงจากบุพการีผู้ซึ่งกระตือรือร้น และยุยงส่งเสริมให้เธออุปถัมภ์ฉู่ถางอย่างบ้าคลั่งคู่นั้นด้วย

หอพักของทางมหาวิทยาลัยค่อยข้างจะสะดวกสบาย  แม้ว่าแต่ละห้องจะมีจำนวนผู้พักถึง สี่คนต่อห้อง แต่ก็ยังถือว่ากว้างขวางไม่แออัด  เนื่องจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีลูกหลานของตระกูลดังๆจบออกไปจำนวนไม่น้อย  ดังนั้นเมื่อพวกเขาประสบความสำเร็จ  พวกเขาจึงมักจะบริจาคเงินจำนวนมากให้กับทางมหาวิทยาลัย  เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ลืมรากเหง้าของตัวเอง

เมื่อฉีเซิงมาถึงห้องพักเธอก็พบว่าในห้องยังไม่มีมีผู้คน  เธอทบทวนความทรงจำว่า เตียงไหนเป็นของซวีเฉิงเยว่  ก่อนจะเริ่มจัดสัมภาระของเธอให้เข้าที่เข้าทาง  จนกระทั่งฉีเซิงจัดข้าวของของเธอเรียบร้อยแล้ว  ประตูห้องก็ถูกเปิดออก  ผู้ที่เปิดประตูเขามาเป็นเด็กสาวผมสั้นคนหนึ่ง  เธอชะงักไปชั่วขณะเมื่อเห็นเธอ  ก่อนจะเดินเข้ามาภายในห้อง  แล้วมองสำรวจไปยังเตียงและโต๊ะเขียนหนังสือของเธอ “ซวีเฉิงเยว่  เทอมนี้เธอจะพักอยู่ในหอหรอ?”

ตั้งแต่ปีแรกของการศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้  จำนวนครั้งที่เพื่อนร่วมห้องคนนี้ของเธอ  อาศัยอยู่ในหอพักน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย  คงเป็นเรื่องประหลาดมากกว่าถ้าเธอไม่ตกใจ  เมื่อเห็นซวีเฉิงเยว่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างกะทันหัน

ฉีเซิงใช้เวลานึกอยู่ชั่วครู่ ว่าคนที่กำลังถามเธออยู่เป็นใคร  ก่อนจะพบว่าเจ้าหล่อนชื่อ เซี่ยหนิง

ก่อนหน้านี้ซวีเฉิงเยว่ก็ไม่ได้สนิทกับเพื่อนร่วมห้องของเธอเท่าไหร่นัก และฉีเซิงเองก็ไม่ได้มีแผนที่จะตีสนิทกับพวกหล่อน  ดังนั้นเธอจึงเพียงแค่พยักหน้ารับอย่างสุภาพเพื่อเป็นการตอบคำถาม  ก่อนจะเลี่ยงไปอ่านหนังสือในมือของเธอแทน  เซี่ยหนิงยินนิ่งด้วยความรู้สึกประดักประเดิด  แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็กลับไปจัดเรียงข้าวของของเธอบ้าง

“อย่าร้องไห้ไปเลยน่ะอี้อี้   ยายนั่นก็แค่คนบ้าประสาทกลับ  ตอนนี้เธอรีบไปทายาที่หน้าของเธอกันก่อนดีกว่า  เหอะ!  คนรวยพวกนั้นชอบคิดว่าตัวเองดีเลิศ วิเศษวิโสกว่าคนอื่น  แต่ดูสิว่าสันดานแย่แค่ไหน”

ฉีเซิงกุมขมับ  ‘ชิบหาย!!  ฉันลืมไปได้ยังไงว่าซวีเฉิงเยว่  พักอยู่ห้องเดียวกับแม่นี่!’

อันที่จริงแล้วอาจจะกล่าวได้ว่า หากไม่มีซวีเฉิงเยว่  ซูอี้อี้และหนานกงจิ่งย่อมไม่มีทางได้พบกัน ‘ดูเหมือนว่า ฉันคงต้องรีบย้ายออกจากที่นี่ด่วน!  ฉันยังไม่บ้าพอที่จะอยู่ห้องเดียวกับแม่นางเอกนี่หรอก!’

คนสองคนก้าวเข้ามาในห้อง เด็กสาวผู้ซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและกำลังสาปแช่งไม่หยุดปากเป็นผู้ประคองซูอี้อี้เข้ามา

“ซวี....”  ซูอี้อี้ตัวแข็งทื่อเพียงเพราะเห็นใบหน้าของฉีเซิง  รอยฝ่ามือเด่นหราปรากฏอยู่บนใบหน้าของซูอี้อี้  เห็นอย่างได้ชัดเจนว่าเด็กสาวเพิ่งจะโดนใครสักคนตบมา

“อี้อี้  เธอไปโดนอะไรมาน่ะ?”  เซี่ยหนิงรีบปรี่เข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง

เด็กสาวที่กำลังประคองซูอี้อี้อยู่จึงโพล่งขึ้นมาทันที  “แม่เสี่ยวเหว่ยนั่นไง  อยู่ดีๆ ก็พุ่งเข้ามาตบอี้อี้หน้าตาเฉย...” เด็กสาวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงโกรธจัด

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด