ตอนที่แล้วบทที่ 176 สถานะที่แท้จริงของซูรั่วเสวี่ย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 178 หนึ่งปะทะหมื่น

บทที่ 177 ความเงียบงันแย่เสียยิ่งกว่าความเฉยเมย


ตัวตนของซูรั่วเสวี่ยลึกลับมาตลอด ด้วยการมีรองเจ้าสำนักฉีคอยช่วยเหลือนาง ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะสืบหาประวัติของนาง แต่เฉียนว่านก้วนและเจียงอี้รู้ว่านางมีภูมิหลังที่สูงส่งมาก ด้วยความสามารถในการใช้ศาสตร์ลับที่แข็งแกร่งเช่นแสงแห่งเสน่ห์เทวะ นางจะเป็นธิดาของตระกูลสามัญได้เช่นไร? เจียงอี้ เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงไม่ได้คิดว่านางจะเป็นองค์หญิงแห่งอาณาจักรต้าเซี่ย!

นี่ยังไม่ใช่ประเด็นหลัก!

ประเด็นคือนางเป็นคู่หมั้นขององค์รัชทายาท?

เจียงอี้มีความรู้สึกที่ซับซ้อนกับอาจารย์หญิงที่สวยงามคนนี้เสมอ เขามีความทรงจำมากมายกับซุรั่วเสวี่ย เขาเป็นเด็กที่ไม่เคยตกหลุมรักใคร แต่เขาได้พบกับหญิงสาวที่สวยงามซึ่งคอยช่วยเขาหลายครั้งและยังเสี่ยงชีวิตของนางเพื่อเข้าสู่หุบเขาหมื่นมังกรเพื่อตามเขาไป คงเป็นการโกหกหากจะบอกว่าเจียงอี้ไม่ได้มีความรู้สึกใดๆกับนาง

หากไม่ใช่เพราะพฤติกรรมของซูรั่วเสวี่ยที่นางตั้งใจหลบเลี่ยงเขาเจียงอี้ก็อาจจะสารภาพรักกับนางแล้ว เป็นเพราะพฤติกรรมของซูรั่วเสวี่ย กับความจริงที่ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์เป็นอาจารย์และศิษย์และเจียงอี้มีความคลุมเครือกับความสัมพันธ์นี้อยู่เล็กน้อย ซึ่งทั้งคู่ต่างก็รักษาความสัมพันธ์ที่พิเศษและคลุมเครือนี้ไว้

เจียงอี้เดาได้ว่าซูรั่วเสวี่ยมีปัญหาบางอย่างที่พูดไม่ได้ แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่านั่นคือเรื่องที่นางมีคู่หมั้น แถมยังเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรเสินหวู่!

มันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง!

ทันใดนั้นร่างของเจียงอี้ก็สั่นไหวในขณะที่เขามองไปที่เฉียนว่านก้วนอย่างฉับพลัน ไม่ใช่ว่าเฉียนว่านก้วนพูดถึงองค์รัชทายาทว่าเขามีนางสนมหรอกหรือ? ไม่ใช่ว่านางมาจากตระกูลจ่างซุน? ทำไมซูรั่วเสวี่ยจึงเป็นคู่หมั้นของเขา?

สิ่งที่ทำให้เขาหมดหวังคือเมื่อเฉียนว่านก้วนส่ายหัวและทำท่าทางด้วยมือที่บอกว่าเขาจะอธิบายให้เจียงอี้ฟังทีหลัง เจียงอี้แสดงอารมณ์ที่เจ็บปวดนี้ด้วยดวงตาที่เศร้าสร้อย เขากำหมัดที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเขาอย่างแน่น เขาไม่รู้สึกแม้แต่ตอนที่เล็บของเขาเจาะทะลุผ่านฝ่ามือของเขา

"ฮะ…"

ร่างกายที่บอบบางของซูรั่วเสวี่ยสั่น นางไม่คิดว่าเซี่ยอู๋หุ่ยจะเปิดเผยตัวตนของนางและเรื่องการหมั้นในที่สาธารณะ นางรู้สึกได้ถึงการตอบสนองอย่างฉับพลันจากร่างกายของเจียงอี้ที่อยู่ข้างๆนาง แววตาแห่งความเจ็บปวดซ่อนอยู่ในดวงตาที่สวยงามของนางภายใต้ผ้าคลุม แต่ในไม่ช้ามันก็เปลี่ยนไป ดวงตาของนางเผยร่องรอยของความมุ่งมั่นในขณะที่นางพูดเบาๆว่า "ฝ่าบาทจะไม่เชิญองค์หญิงผู้นี้ไปนั่งหรือ?"

"ฮ่าฮ่า!"

เซี่ยอู๋หุ่ยกวาดตามองไปที่เจียงอี้เงียบๆและแสดงรอยยิ้มอย่างรวดเร็วขณะที่ยื่นมือออกมา ยิ่งไปกว่านั้น ซูรั่วเสวี่ยไม่ได้เลี่ยงมันและอนุญาตให้เขาพานางไปสู่แท่นทองตรงกลาง

"กึก กึก!"

ดวงตาของเจียงอี้มองต่ำลง แต่วิสัยทัศน์ของเขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งรอบนอกได้อยู่ดี นิ้วของเขาแน่นมากจนทำให้เกิดเสียง เมื่อเขาเห็นว่าซูรั่วเสวี่ยก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว เขาก็รู้สึกราวกับว่าเขาถูกโลกใบนี้ทอดทิ้ง วังที่สว่างไสวในเวลากลางวันในสายตาของเขาเปลี่ยนสีอึมครึมโดยไม่มีแสงใดๆ โลกของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทโดยไม่มีร่องรอยของแสงสว่าง

"ฮึ่ม!"

ในขณะนั้น ผู้ที่นั่งอยู่แถวแรกแรกทางด้านขวา ชายสวมเสื้อคลุมที่มีแปดกรงเล็บพูดอย่างเย็นชา เขามองไปที่เจียงอี้ด้วยความสงสัยและพูดว่า "คนเถื่อนผู้ไร้อารยธรรมผู้นี้มาจากไหนกัน? เจ้าไม่รู้จักกฎใดๆจริงๆหรือ? แล้วจะไม่คำนับเมื่อเจ้าเห็นองค์ราชทายาท องค์ชายผู้นี้และองค์หญิงหก? พ่อแม่ของเจ้าไม่ได้สอนมารยาทพื้นฐานใดๆเลยหรือ?"

"เอ๊ะ ..."

กลุ่มคนบางพวกมีการเปลี่ยนแปลงการแสดงออก คนที่นี่ไม่ได้มาจากตระกูลขุนนางและไม่มีผู้ใดทราบว่าเจียงอี้เป็นบุตรนอกสมรสของจอมพลกองทหารตะวันตก? ทุกคนเห็นความเจ็บปวดที่เจียงอี้มีมาก่อนหน้านี้ พวกเขาอาจไม่รู้สถานการณ์ที่แท้จริง แต่เดาได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วน องค์ชายสามผู้ซึ่งพูดจาเย้ยหยันเช่นนี้ จริงๆแล้วเขาแซะเจียงอี้ทางอ้อมเรื่องไม่มีผู้ใดสอนมารยาท นี่มันไม่เกินไปเหรอ?

เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงสบตากัน พวกเขาเห็นร่องรอยของความโกรธเคืองและยังมีความกังวลในสายตาของกันและกัน พวกเขาสองคนรู้สึกหวาดกลัวว่าเจียงอี้อาจจะบ้าคลั่งและสร้างความหายนะในตำหนักขององค์รัชทายาท

ในหนนี้ พวกเขาทั้งสองไม่กล้าที่จะท้าทายองค์ชายสาม พวกเขาต้องทนเงียบไว้ในขณะที่ส่งสัญญาณให้เจียงอี้สงบ

เจียงอี้ไม่ได้สนใจสัญญาณจากพวกเขาทั้งคู่และมองไปที่องค์รัชทายาทถือมือของซูรั่วเสวี่ยไว้ มุมปากของเขาเผยให้เห็นร่องรอยของการเย้ยหยันและเปิดปากที่ทนทุกข์ทรมานของเขา "ถูกต้องแล้ว ข้า เจียงอี้ เป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เด็ก ข้าไม่เคยถูกพ่อหรือแม่ของข้าสั่งสอน มันคงต้องเป็นเรื่องตลกสำหรับพวกเจ้าทุกคน! ฮ๊ะๆ... "

โทนเสียงของเจียงอี้ค่อนข้างสงบและรอยยิ้มของเขาก็ไม่ได้หดหู่ มันเป็นน้ำเสียงที่หนักแน่นและรอยยิ้มนี้ทำให้เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงรู้สึกไม่พอใจ จิตใจของพวกเขาทั้งคู่มีความคิดวูบหนึ่งที่มีคำพูดนี้แวบเข้ามาโดยไม่ตั้งใจ 'ความเศร้าโศกที่เงียบงันแย่เสียยิ่งกว่าความเฉยเมย"

เมื่อซูรั่วเสวี่ยได้ยินประโยคนี้ ร่างกายที่บอบบางของนางก็สั่นเล็กน้อยและหยุดเท้าของนาง ในที่สุดนางก็ไม่ได้หันหลังกลับไปและถูกนำพาขึ้นไปยังแท่นทองโดยองค์รัชทายาทเซี่ยอู๋หุ่ย นางคุกเข่าบนพรมแล้วก้มศีรษะลง ดูเหมือนว่านางจะไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่เจียงอี้

องค์ชายสามค่อนข้างประหลาดใจที่เจียงอี้ไม่ได้โกรธอย่างที่เขาคิดไว้ เนื่องจากมันเป็นงานที่ยิ่งใหญ่เขาจึงไม่กล้าที่จะยั่วยุต่อไปและแค่ส่งสายตาที่ไม่แยแสต่อเจียงอี้ หยุนเฟยและคนอื่นๆก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกันและรู้สึกว่าอารมณ์เช่นนี้ไม่เหมือนว่านี่คือเจียงอี้

"ให้ข้าพูดอะไรหน่อยได้ไหม?"

การแสดงออกของเจียงอี้เริ่มสุขุมมากขึ้นและเขาก็ไม่ได้มองซูรั่วเสวี่ยอีกต่อไป เขามองไปรอบๆและถามอย่างใจเย็น "ข้ายังเป็นศิษย์จากสำนักจิตอสูรด้วย ใช่ไหม? ชื่อของข้ายังอยู่ในรายการเชิญเช่นกัน ใช่ไหม? ข้านั่งไม่ได้หรือ?"

เซี่ยอู๋หุ่ยที่เพิ่งเดินขึ้นไปบนแท่นทองตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มทันที "นายน้อยเจียงคงต้องล้อเล่นเป็นแน่ อัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนัก ทำไมอู๋หุ่ยถึงจะกล้าทอดทิ้งเจ้า? เตรียมที่นั่งให้เขา!"

"ช่างมันเถอะ ข้าจะนั่งตรงนั้น!"

เจียงอี้ยักไหล่และเดินไปที่เฉียนว่านก้วน เขาตบหลังศีรษะของเฉียนว่านก้วนในขณะที่เฉียนว่านก้วนขยับบั้นท้ายไขมันของเขาทันทีเพื่อให้มีที่ว่างและให้เขานั่งลงข้างๆ โชคดีที่โต๊ะทองคำนั้นยาวพอและไม่มีผลอะไร

"ลูกพี่ อดทนไว้!"

เฉียนว่านก้วนกระซิบว่า "อย่าไปยั่วโมโหองค์รัชทายาท ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจจะไม่สามารถทำอะไรในอาณาจักรเสินหวู่ได้เลย โอ้ใช่ ... นางสนมเดิมของเขาเสียไปเพราะอาการเจ็บป่วยได้ปีครึ่งแล้ว เรานึกว่าเขาจะอภิเษกกับหญิงอีกคนจากตระกูลจ่างซุน พวกเราไม่ได้คิดว่าเขาจะหมั้นกับอาจารย์ซูเช่นนี้! "

เจียงอี้พยักหน้าเล็กน้อยและคว้าไหล่ข้างหนึ่งของหมูเยิ้มๆและเคี้ยวแล้วทำตัวหยาบคาย ในงานเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่รอบๆล้วนแต่เป็นนายน้อยและคุณหนูจากตระกูลอันทรงเกียรติ ความประทับใจที่เขาให้กับทุกๆคนคือการเป็นคนป่าเถื่อนและไร้อารยธรรมอย่างแท้จริง

"ใครก็ได้! มาบรรเลงเพลงและเริ่มเต้นรำซะ!"

เซี่ยอู๋หุ่ยมองไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดไว้ เขายิ้มเล็กน้อยและกวดมือของเขา กลุ่มนางในก็เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ พวกนางเริ่มบรรเลงดนตรีและเต้นรำเพื่อฟื้นฟูบรรยากาศให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง พวกเขาทุกคนมาจากตระกูลผู้ยิ่งใหญ่และล้วนแต่มีความเปลี่ยนสี มันเป็นธรรมชาติสำหรับพวกเขาที่จะปรับตัวเข้ากับบรรยากาศไปโดยปริยาย

"ลูกพี่ เจ้าไม่สามารถตำหนิอาจารย์ซูในเรื่องนี้ได้ เจ้าก็รู้ว่าเมื่ออาณาจักรต้าเซี่ยบุกอาณาจักรของเรา ทหารยอดเยี่ยมหลายแสนนายถูกสังหารที่หุบเขาชิงวิญญาณโดยบิดาของเจ้า ... จอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตกได้นำกองทัพและบุกทางใต้จนเกือบจะฆ่าทุกคนของอาณาจักรต้าเซี่ย ตอนนี้อาณาจักรต้าเซี่ยอ่อนแอนัก อ่อนแอมากจนพวกเขาเกรงกลัวอาณาจักรของเรา จึงกลายเป็นการผูกพันธมิตรโดยการอภิเษก อาจารย์ซูก็คงทำอะไรไม่ได้กับคำสั่งของบิดาของนาง เข้าใจไหม?"

"ลูกพี่ คนที่เจ้าพูดด้วยก่อนหน้านี้คือองค์ชายสามเซี่ยเถียน คนที่อยู่ข้างๆเขาคือองค์หญิงหกเซี่ยเฟยหยู ในอีกด้านหนึ่งคือไท่สื่อเหวิ่นเทียน และอิงเตา ... "

เฉียนว่านก้วนอธิบายด้วยเสียงที่อ่อนนุ่มอยู่เรื่อยๆในขณะที่เจียงอี้แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรเลยและจดจ่ออยู่กับการเคี้ยวไหล่หมูในมือของเขา เขากำลังลิ้มรสเหมือนสัมภเวสีที่หิวโหยจนทำให้เจ้านายน้อยและคุณหนูที่อยู่ข้างๆต่างพากันถอนหายใจ และยังทำให้จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนทุกข์ร้อนในใจ นั่นยังรวมถึงการทำให้น้ำตาของจ้านหิลนเอ๋อร์ไหลรินลงมา

ตั้งแต่เจียงอี้เข้ามา จ่างซุนอู๋จี้ก็ยังคงนิ่งเงียบ เมื่อเซี่ยเถียนพยายามยั่วยุเจียงอี้เขาคิดว่าเจียงอี้จะแสดงความรุนแรงออกมา เขาไม่ได้หวังว่าเจียงอี้จะทนได้จริงๆ หลังจากรอครู่หนึ่งและเห็นเจียงอี้สงบนิ่งขณะที่เคี้ยวไหล่หมู เขาไม่อดทนได้อีกต่อไป โอกาสที่ดีเช่นนี้หายากมากในการเปิดเผนตัวตนของมันออกมาในวันนี้

เมื่อเพลงหยุดลงและนักเต้นก็ถอยออกไป เขาหันไปและพูดทันที "องค์ชายสาม สิ่งที่ท่านกล่าวมาก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงอย่างยิ่ง บางคนนั้นไม่รู้จักมารยาทของพวกเขาเอาเสียเลย การทานเช่นนี้ไม่น่าเกลียดเกินไปหรือ? เขาคิดว่างานเลี้ยงขององค์รัชทายาทเป็นที่ใดกัน? ตลาดสดหรือ?"

ปากของเซี่ยเถียนเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยและเขาก็ตอบทันทีว่า "มันแตกต่างกันมากจริงๆกับผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษา! องค์รัชทายาท มันคงเป็นการดีกว่านี้หากคราวหน้าจะไม่เชิญคนเช่นนี้มาร่วมโต๊ะ! ช่างเสียบรรยากาศนัก!"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด