บทที่ 10 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (10)
บทที่ 10 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (10)
ซวีเฉิงเยว่กำลังเรียนอยู่ในคณะบริหาร ด้วยว่าเธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลซวี แน่นอนว่าเธอย่อมเป็นทายาทผู้สืบทอดบริษัทของตระกูลซซีทั้งหมดโดยชอบธรรม ดังนั้นหลักสูตรนี้จึงจำเป็นสำหรับเธอเป็นอย่างมาก
อาจจะเป็นเพราะว่าเธอได้รับพรสวรรค์ทางด้านธุรกิจมาจากคุณพ่อซวี เกรดของซวีเฉิงเยว่จึงจัดว่าอยู่ในระดับหัวกระทิของชั้นเรียน แม้ว่าเธอจะเอาเวลาส่วนใหญ่ไปไล่ตามตื้อหนานกงจิ่ง แต่เกรดของเธอนั้นกลับไม่ตกลงสักนิด
เนื่องจากเป็นวันแรกของการเปิดเทอมใหม่ การเรียนการสอนในวันนั้นจึงมีแค่ไม่กี่รายวิชา ดังนั้นฉีเซิงจึงเริ่มต้นหาหอพักใหม่ของเธอในทันที แต่อย่างไรก็ตามเธอพบว่าหอพักที่อยู่ไม่ไกลจากมหาลัยล้วนถูกเช่าไปหมดแล้ว และถ้าหากหอพักอยู่ไกลจนเกินไป ไม่แน่ว่าเธออาจจะย้ายกลับไปอยู่บ้านก็ได้ เนื่องจากยังหาตัวเลือกที่ถูกใจไม่ได้ เธอจึงทำได้แค่พับแผนการของเธอลงไว้ชั่วคราว
ในวันว่างเธอทำได้แค่นอนอ่านหนังสือตลอดทั้งวัน พวกคนที่รู้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องการถอนหมั้นของเธอ ต่างวิจารณ์ไปต่างๆนาๆ พวกเขาคิดว่าเธอคงจะสะเทือนใจอย่างรุนแรง จึงแสดงออกด้วยการตั้งเรียนอย่างบ้าคลั่งเพื่อดับความฟุ้งซ่านของเธอ
อย่างไรก็ตามมีเพียงแค่ฉีเซิงที่รู้ว่าเธอไม่ได้อ่านหนังสือเรียนอยู่ แต่เธอนอนอ่านนิยายวายทั้งวัน
ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นในวันนั้นเซี่ยหนิงและอันอัน ก็ถูกกันออกไปจากวงโคจรของเธอเพิ่มมากขึ้น และอาจจะเป็นเพราะการชักนำอย่างไม่ได้ตั้งใจ(?) ของซูอี้อี้ด้วย ภาพลักษณ์ของฉีเซิงในสายตาของพวกเธอจึงตกต่ำลงกลายเป็นเพียงแค่อีหนูหิวเงิน
“อี้อี้ เธอจะไปงานบอลสุดสัปดาห์นี้ไหม?” อันอันถามขึ้นหลังจากที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอก เมื่อสังเกตเห็นว่าฉีเซิงอยู่ในห้องด้วยเธอก็อดไม่ได้ที่จะกรอกตามองบน
“อื้อ...รุ่นพี่หลิงชวนฉันไปน่ะ” ซูอี้อี้ยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับ
แม้ว่าหลิงฮ่าวจะเข้าทำงานที่บริษัทของเขาแล้ว แต่เขาเป็นเพียงพนักงานฝึกงาน ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่ของเขาจึงอยู่ที่มหาลัยมากกว่า ยิ่งมีซูอี้อี้อยู่ที่นี่ด้วยแล้ว องค์รักษ์ผู้ซื่อสัตย์อย่างเขาย่อมไม่สามารถปล่อยให้เธออยู่คนเดียวได้ใช่ไหมล่ะ?
ทุกๆปีเมื่อเปิดเทอมใหม่ จะมีงานราตรีสองงานถูกจัดขึ้นพร้อมกันโดยทางมหาวิทยาลัย งานแรกเป็นงานที่ใครก็เข้าร่วมได้ ในขณะที่อีกงานจะเข้าร่วมได้ก็ต่อเมื่อได้รับบัตรเชิญเท่านั้น
อนุมานอย่างง่ายๆคือ งานแรกจัดขึ้นเพื่อให้นิสิตนักศึกษาที่มีฐานะทางครอบครัวธรรมดาทั่วไป คล้ายๆกับงานปฐมนิเทศขอทางมหาวิทยาลัย ในขณะที่อีกอย่างหนึ่งถูกจัดขึ้นเพื่อนิสิตนักศึกษาที่เป็นทายาทของตระกูลที่มีฐานะร่ำรวย ดังนั้นจึงต้องเป็นผู้ที่ได้รับบัตรเชิญหรือเป็นคู่ควงของคนที่ได้รับบัตรเชิญเท่านั้นถึงจะเข้าร่วมงานได้
“ถ้างั้นเธอก็ไม่ได้ไปงานที่หอประชุมฝั่งทิศใต้ พร้อมฉันกับเซี่ยงหนิงใช่ไหม?” สายตาของอันอันส่อแววอิจฉาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อทั้งเธอและเซี่ยหนิงสามารถเข้าร่วมได้แค่งานเลี้ยงธรรมดาในหอประชุมฝั่งทิศใต้เท่านั้น
ซูอี้อี้ยิ้มเจื่อน “รุ่นพี่หลิงเขาชวนฉัน ฉันปฏิเสธเขาไม่ได้ ก็เลย.........”
อันอันโบกมือของเธอ “รุ่นพี่หลิงเป็นคนดี อี้อี้เธอต้องจับเขาไว้ให้แน่นๆนะ ฉันได้ยินมาว่าฐานะทางครอบครัวของรุ่นพี่ไม่เลวเลยในแวดวงสังคมชนชั้นสูง”
ใบหน้าของซูอี้อี้แดงก่ำขณะที่เธอพึมพำอะไรบางอย่างที่ฟังไม่ออก
‘เฮ้! คุณนางเอก ทำไมหน้าของเธอถึงแดงขนาดนั้นละห๊ะ? เธอยังจำรักแท้ของเธอได้ไหม? เธอยังจำคุณพระเอกได้หรือเปล่าเนี่ย?’
ฉีเซิงพลิกหน้าหนังสือนิยายวายในมือของเธออย่างเงียบๆ
“อี้อี้ มีของส่งมาถึงเธอด้วยล่ะ” เซียหนิงเปิดประตูก่อนจะนำกล่องมาวางลงบนเตียงของซูอี้อี้
“กล่องใหญ่มากเลย เธอสั่งซื้ออะไรมาหรอ?”
ซูอี้อี้ส่ายหน้าอย่างไร้เดียงสา “ฉันไม่ได้สั่งซื้ออะไรเลยน่ะ”
“เปิดดูกันเถอะ” อันอันกระตุ้นซูอี้อี้ ซูอี้อี้ทำได้เพียงแค่เปิดกล่องออกต่อหน้าพวกเธอ
“สวรรค์! เป็นชุดราตรีที่สวยอะไรอย่างนี้!” อันอันอ้าปากค้างกอ่นจะยกมันออกมาจากกล่อง
ชุดราตรีสีขาวล้วน มีลายปักสีแดงสะดุดตาตรงกระโปรง และยังมีเข็มขัดอีกเส้นหนึ่งถูกนำออกมาจากกล่อง
“รุ่นพี่หลิงเป็นคนส่งมาให้เธอใช่ไหม? ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงเป็นชายในฝันที่ใครๆ ก็อยากแต่งงานด้วย อ๊า! ฉันอิจฉาเธอจังเลยอี้อี้……”
ซู้อี้อี้ยกยิ้ม เธอเก็บความภาคภูมิใจในแววตาแทบไม่มิด เธอส่งสายตาเยาะไปที่ฉีเซิง ชุดราตรีชุดนี้ไม่ได้ถูกส่งมาหลิงฮ่าวอย่างแน่นอน เพราะเมื่อคืนเขาเพิ่งให้ชุดราตรีเธอมาชุดหนึ่ง และตอนนี้มันก็แขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าของเธอเรียบร้อยแล้ว
“ซวีเฉิงเยว่ ไม่ใช่ว่าเธอชอบนั่งรถหรูไปไหนมาไหนบ่อยๆไม่ใช่เหรอ? งานบอลสุดสัปดาห์นี้เธอจะไปไหมล่ะ?” เมื่ออันอันแสดงออกถึงความอิจฉาต่อซูอี้อี้แล้ว เธอก็อดจะระบายอารมณ์กับฉีเซิงไม่ได้
เห็นเห็นฉีเซิงไม่สนใจ อันอันก็เริ่มพูดถากถางต่อ “อะไรน่ะ? ไม่มีใครอยากชวนเธอไปงานหรอ? อย่าไปอิจฉาอี้อี้เลยนะ คนอย่างเธอคงไม่มีวาสนาที่จะได้ไปร่วมงานเลี้ยงที่หอทางทิศตะวันตกเหมือนกับอี้อี้เขาหรอก”
“อันอัน อย่าพูดอย่างนั้นสิ เฉิงเยว่ต้องได้ไปแน่ๆ”
เนื่องจากซวีเฉิงเยว่ไม่เคยเข้าร่วมงานบอลเลยตลอดสองปีที่ผ่านมา ดังนั้นซูอี้อี้เลยไม่แน่ใจว่า ซวีเฉิงเยว่ได้รับบัตรเชิญด้วยหรือเปล่า ดังนั้นเธอจึงต้องปรามอันอันไว้ก่อน
“เชอะ ตราบใดก็ตามที่แม่นี่ไม่ได้เล่นสกปรก หล่อนไม่มีทางได้ไปหรอก”
“ขอโทษนะคะ ที่ห้องนี้มีคนชื่อซวีเฉิงเยว่อยู่ไหมคะ?” เด็กสาวคนหนึ่งเคาะประตูก่อนจะเดินเข้ามาในห้อง
“มีเรื่องอะไร?” ฉีเซิงลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินสาวเท้าไปที่เธอ เด็กสาวคนนั้นจ้องมองราวกับจะสำรวจว่านี่เป็นตัวจริงหรือเปล่า
เมื่อเธอจ้องจนพอใจแล้ว เธอจึงยื่นถุงใบหนึ่งมาให้ฉีเซิง “พี่เสี่ยวเหว่ยบอกให้ฉันเอานี่มาให้คุณค่ะ”
ฉีเซิงไม่ได้ยื่นมือออกไปรับทันที เธอขมวดคิ้วพลางถามว่า “เสี่ยวเหว่ยน่ะเหรอ?”
เด็กสาวคนนั้นชะงักไปครู่หนึ่ง เธอตัวแข็งทื่อก่อนจะรีบพูด “ฉันเอาของมาให้คุณแล้ว ฉันคงต้องกลับแล้วล่ะค่ะ” พูดจบเธอก็รีบวางถุงนั้นลงตรงหน้าของฉีเซิง แล้วรีบเดินหนีไปทันที
ฉีเซิงก้มลงไปเก็บถุงนั้นขึ้นมา เป็นเวลาเดียวกันกับที่อันอันกระโจนเข้าใส่ฉีเซิงด้วยความโกรธ ก่อนจะปัดถุงในมือของฉีเซิงกระเด็นออกไป “เธอเป็นพวกเดียวกับเสี่ยวเหว่ย!”
เมื่อถุงตกลงพื้น ปากถุงก็เปิดออก เผยให้เห็นของที่อยู่ภายใน นั่นกลับกลายเป็นว่าของที่อยู่ในถุงนั้นเป็นชุดราตรีที่มีหน้าตาคล้ายกับของซูอี้อี้อย่างกับแกะ อันอันรีบดึงมันขึ้นมาดู นอกจากไซส์แล้วไม่มีจุดไหนเลยที่ต่างกับชุดของซูอี้อี้
“ซวีเฉิงเยว่ อี้อี้ไปทำอะไรให้เธอ ทำไมเธอต้องไปร่วมมือกับเสี่ยวเหว่ยมาแกล้งอี้อี้ด้วย?”
“เฉิงเย่ว....นี่เธอกับเสี่ยวเหว่ย....” สีหน้าของซูอี้อี้เต็มไปด้วยความตกใจ ราวกับว่าเธอค้นพบความลับที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน
“จินตนาการบรรเจิดกันขนาดนี้ ฉันว่าพวกเธอน่าจะลองไปแต่งนิยายกันดูนะ” เสี่ยวเหว่ยน่าจะไปรู้มาจากที่ไหนสักที่ว่าซูอี้อี้กำลังจะได้รับชุดแบบไหน เจ้าหล่อนเลยส่งชุดบ้าๆนี่มาให้เธอ เพื่อกลั่นแกล้งและข่มขู่ซูอี้อี้ ส่วนซูอี้อี้จะกลัวขนาดไหนก็สุดแล้วแต่จินตนาการของเธอเอง
“ซวีเฉิงเยว่ เธอวางแผนจะทำอะไรกันแน่? ถ้าเธอไม่ยอมอธิบายมาให้ชัดเจน เธอต้องออกไปจากห้องนี้!!” อันอันประกาศกร้าวใส่หน้าของฉีเซิง ก่อนจะหันกลับไปปลอบใจซูอี้อี้ “ไม่ต้องกลัวน่ะอี้อี้ ฉันจะปกต้องเธอเอง”
เมื่อพบว่ามันดูเป็นเรื่องตลก ฉีเซิงจึงมองไปยังทั้งคู่ด้วยสายตาราวกับมองคนโง่สองคนกำลังคุยกัน
“เธอหัวเราะอะไร? ฉันจะบอกเธอไว้ตรงนี้เลยนะ ที่นี่คือมหาวิทยาลัย อย่าคิดว่าเธอเป็นอีหนูของพวกเสี่ยๆนั่นแล้ว จะทำให้เธอมีอำนาจจะทำอะไรที่นี่ก็ได้ เธอมันก็แค่ของใช้รอวันทิ้ง!”
เพียะ !!!!
อันอันตกตะลึงเมื่อเธอโดนตบหน้าโดยที่ไม่คาดฝัน เวลาผ่านไปสักพักกว่าเธอจะมีปฏิกิริยาตอบรับ
“เธอกล้าตบฉัน!!!” ครอบครัวของเธอถือได้ว่าเป็นคนที่มีฐานะค่อนข้างดีพอสมควร พ่อแม่ของเธอไม่เคยตีเธอเลยสักแปะ แต่นังโสเภณีชั้นต่ำคนนี้กลับกล้าตบเธอ
“ล้างปากโสโครกของเธอซะบ้างน่ะ ซูอี้อี้ล่ามคนของเธอไว้ให้ดีๆ อย่าปล่อยให้ออกไปกัดคนอื่นเขามั่วซั่ว” ฉีเซิงสะบัดมือของเธอ
“ล่าม....ให้ดี? นังคนชั้นต่ำนี่มันหาว่าเธอเป็นหมา?!”
“ซวีเฉิงเยว่ นังโสเภณี! ฉันจะฆ่าแก!”
อันอันสถบด่าในขณะที่กระโจนเข้าใส่ฉีเซิง แต่เธอกระโดดหลบและขัดขาของอันอันจนทำให้อันอันเสียหลัก อันอันจึงเซไปชนเข้ากลับซูอี้อี้ที่กำลังตั้งท่าว่าจะเข้ามาห้ามการทะเลาะกันระหว่างอันอันและฉีเซิง หน้าผากของซูอี้อี้จึงชนเข้ากลับขาโต๊ะอย่างจัง
ซูอี้อี้สูดหายใจเข้าลึกด้วยความเจ็บปวด การกระแทกอย่างแรงส่งผลให้เธอรู้สึกมึนหัว
อันอันรีบประคองซูอี้อี้ขึ้น “อี้อี้ อี้อี้ เธอโอเคไหม?”
เซี่ยหนิงผู้ซึ่งหลบมองอยู่ข้างๆ รีบปรี่เข้ามาทันที “หน้าผากของเธอเลือดออก เร็วเข้า อันอันรีบผยุงอี้อี้ขึ้นเร็ว”
ด้วยเพราะพวกเธอยังไม่ได้ปิดประตู จึงทำให้มีคนไปเรียกอาจารย์มาที่นี่ อาจารย์ผู้หญิงคนนั้นเดินนำนักศึกษามาอีกสองคน จึงทำให้ห้องที่เคยกว้างดูแออัดขึ้นมาถนัดตา
“พวกเธอทะเลาะกันเรื่องอะไร?” อาจารย์ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “มาทะเลาะกันในหอพักนักศึกษาทำไม?”
“อาจารย์คะ พวกหนูไม่ได้เป็นฝ่ายทะเลาะกับเขานะคะ ซวีเฉิงเยว่ต่างหากละคะ ที่ตั้งใจผลักอี้อี้จนทำให้อี้อี้ได้รับบาดเจ็บ” อันอันรีบพูดสวนขึ้นมาทันที “ดูสิค่ะอาจารย์ หัวของอี้อี้แตกเลยคะ”