ตอนที่ 72 ฟ้าดินไร้ปราณี ปฏิบัติคล้ายดั่งสรรพสิ่งเป็นหุ่นฟาง
ตอนที่ 72 ฟ้าดินไร้ปราณี ปฏิบัติคล้ายดั่งสรรพสิ่งเป็นหุ่นฟาง
บางทีนี่อาจเพราะเป็นความสิ้นหวัง ที่จะต้องตาย หรือบางทีอาจเป็นเพราะขอตายโดยที่ ยังหวังจะให้น้องชายของตัวเองยังอยู่กับตัวเอง ดังนั้นชายหัวล้านที่ถูกหักแขนหักขาคนนี้ถึงได้ยอมบอกเล่าความเป็นมาของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา
ความจริงแล้วเขาและกลุ่มเด็กหนุ่มด้านหลังของเขา ทั้งหมดเป็นนักโทษกลุ่มหนึ่ง
ก่อนหน้านั้นพวกเขาถูกจองจำอยู่ในคุกของเมืองเหลียนมาโดยตลอด แต่หลังจากม่านหมอกได้เข้ามาปกคลุมเมือง นักโทษที่เจ็บป่วยออด ๆ แอดๆภายในคุกส่วนหนึ่ง ก็ได้กลายร่างเป็นซอมบี้ สภาพแวดล้อมที่อยู่รวมกันภายในเรือนจำปิดตายแบบนี้ ได้ก่อเกิดความหายนะครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น ส่งผลให้นักโทษและผู้คุมล้มตายเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งผู้คุมในคุกติดเชื้อไวรัสซอมบี้กันทุกคน ทุกหนทุกแห่งต่างเต็มไปด้วยเลือดศพของซอมบี้
เพื่อหลีกหนีจากคนที่แพร่กระจายเชื้อไวรัส ภายในสภาพแวดล้อมแบบนี้ บวกกับการบาดเจ็บล้มตายอย่างแสนสาหัสของผู้คุม ทำให้กำลังคนด้านผู้คุมไม่เพียงพอ ดังนั้นหลังจากเหล่าทหารเข้ายึดเมืองเหลียนนักโทษเหล่านี้ ก็ถูกโยกย้ายออกมา เตรียมพร้อมส่งนักโทษเหล่านี้ไปทำการกักขังไว้ที่ “เรือนจำชื่อซาน” ในเมืองหูหนาน
แต่ใครจะไปคิดว่า ภายใต้ขั้นตอนการโยกย้ายเหล่านี้ ฟ้าดินจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจนเลวร้ายลงอย่างฉับพลัน ในคืนนั้นหนึ่งในสี่ส่วนของคนทั้งหมดได้กลายร่างเป็นซอมบี้ ภายใต้ความวุ่นวายอลหม่านนี้ ผู้คุมและทหารที่มีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมตัวพวกเขาเหล่านั้น ก็บาดเจ็บล้มตายอย่างน่าเวทนามากยิ่งขึ้น จนไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่นแต่อย่างใด
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ สวรรค์ไม่ได้สนใจว่าคุณจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว ทุกคนมีโอกาสพบเจอกับการวิวัฒนาการอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ดังนั้นท่ามกลางความโหดร้ายเหล่านั้นก็ยังมีผู้เคราะห์ดีอีกหลายคน ที่มีพลังเหนือมนุษย์ฟื้นตื่นขึ้นมา
หลังจากนั้น ผู้มีพลังเหนือมนุษย์หลายคนนั้น ก็นำพานักโทษเหล่านั้นถือโอกาสช่วงชุลมุนของทหารและผู้คุม ที่เกิดการฆ่าฟันกัน ขโมยอาวุธของพวกเขา แล้วฝ่าวงล้อมออกมา แต่หลังจากที่ฝ่าวงล้อมออกมาได้แล้ว พวกเขากลับไม่ได้รีบร้อนหนีออกไปจากเมืองเหลียนแต่อย่างใด ตรงกันข้ามพวกเขาต่างกลับมาที่เรือนจำที่กักขังพวกเขาไว้ก่อนหน้านั้นแทน แล้วทำให้เรือนจำแห่งนี้กลายเป็นถิ่นฐานของพวกเขา
“ทำไมถึงเลือกเรือนจำเป็นถิ่นฐานละ?”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ฮวางซางก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย จากนั้นก็ถามขึ้น
“เป็นนักโทษจนเคยชินเหรอ?”
“เพราะว่าพี่ใหญ่ของข้าเคยบอกไว้ว่า เรือนจำนั้นมีกำแพงสูงและประตูขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีระบบจ่ายไฟและระบบผลิตไฟเป็นของตัวเอง นอกจากนี้ยังอยู่ตำแหน่งที่ห่างไกลผู้คนอีกด้วย ซอมบี้ในบริเวณนี้จึงมีจำนวนไม่เยอะเท่าไหร่นัก แล้วก็ยังมีสถานที่ไว้กักขังผู้อื่นและห้องสต๊อกอาหาร พูดได้ว่านี่เป็นที่ตั้งที่ดีที่สุด ท่ามกลางวันสิ้นโลกในเวลานี้”
เนื่องจากสูญเสียเลือดไปเป็นจำนวนมาก ใบหน้าของชายหัวล้านคนนั้น ก็เริ่มซีดเผือดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เขาส่ายหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนแอว่า
“แน่นอน ว่ายังอีกหนึ่งเหตุผล นั่นก็คือพวกเราคุ้นเคยกับที่นั้นมากกว่าคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นในนั้น พวกเราก็สามารถรับมือได้เป็นอย่างดี”
“ในเมื่อพวกแกยากที่ฆ่าฝ่าออกไปได้ แล้วก็ยังมีที่ซุกหัวนอนด้วย งั้นทำไมถึงต้องกลับมาที่นี่อีก แล้วก็ยังลอบทำร้ายพวกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วย?”
ฮวางซางถามขึ้นอย่างสงสัย
“ดูเหมือนพวกเราจะไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับพวกแกมาก่อน?”
“หึ พวกเราไม่รู้จักพวกนายมาก่อน.....เป้าหมายของพวกเราคือเด็กคนนั้นเท่านั้น!”
ชายหัวล้านส่ายหน้า
“ตอนที่พวกเราถือโอกาสช่วงชุลมุนฝ่าวงล้อมออกไปนั้น ก็ได้ไปบังเอิญเห็นเด็กรคนนั้น กำลังพาผู้หญิงคนหนึ่งและกลุ่มเด็ก ๆ ฝ่าวงล้อมของกองทัพซอมบี้ออกมาพอดี หลังจากนั้นพี่ใหญ่ก็จึงเกิดความสนใจ ที่นำเด็กคนนั้นมาทำเป็นลูกน้อง ดังนั้นข้าจึงพาคนกลุ่มหนึ่งมาหาเด็กคนนี้ แต่นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอพวกนาย.......”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของชายหัวล้าน ก็ปรากฏสีหน้าแห่งความอาฆาตและเสียใจอย่างรุนแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ถ้ารู้ว่าฮวางซางและพรรคพวก ก็มีความแข็งแกร่งเช่นนี้ให้เร็วกว่านี้ บางทีพวกเขาอาจจะเปลี่ยนวิธีการต่อกรกับพวกเขา!
“สร้างเวรก่อกรรม ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ต่อไปจริงๆ....”
ในขณะที่มองไปทางใบหน้า ที่ปรากฏสีหน้าแห่งความอาฆาตและเสียใจ ของชายหัวล้านคนนั้น ฮวางซางก็ส่ายหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น จากนั้นดวงตาก็ฉายแววแห่งการสังหารขึ้นมาอย่างฉับพลัน เตรียมพร้อมกำจัดชายหัวล้านคนนี้
ในเมื่อรู้ที่มาที่ไป ของชายหัวล้านคนนี้แล้ว
เขาก็ไม่จำเป็นต้องถามอะไรต่ออีก ถึงแม้ว่าเขาจะยังอยากถามถึงพลังเหนือมนุษย์ของนักโทษคนอื่น ๆก็ตาม แต่ชายหัวล้านคนนี้ ต้องไม่ยอมบอกมาแน่ ๆ หรือถึงจะบอกมาก็ยากที่คาดเดาได้ว่า เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก หรือแม้กระทั้งอาจจะถูกชักนำไปในทางที่ไม่ถูกต้องก็เป็นได้ ดังนั้นก็ไม่ต้องถามซะยังจะดีกว่า หลีกเลี่ยงปัญหากวนใจ
สำหรับนักโทษเหล่านั้น....เรื่องนี้รอให้กลับไปถึงโรงพยาบาลในเมืองก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน!”
ถึงแม้ว่าชายหัวล้านคนนั้นจะรู้ว่าต้องถูกสังหารโดยฮวางซางแน่ก็ตาม แต่เมื่อเห็นสายตาที่ปรากฏแววตาแห่งการสังหารออกมา เขาที่เผชิญหน้ากับความตายจริงๆกลับเกิดอาการกลัวขึ้นมา จึงอดพูดขึ้นไม่ได้ว่า
“น้องชาย จริงๆแล้วพวกเราก็ไม่เคยมีความแค้น อย่างลึกซึ้งต่อกันมาก่อน ไม่ผิด ที่ก่อนนนี้ข้าทำไม่ถูกต้อง ข้าขอโทษ แต่พวกนายก็ไม่ได้สูญเสียตรงไหนไม่ใช่เหรอ? ตรงกันข้ามกลับเป็นข้าเองซะอีก ที่ถูกนายทำให้กลายเป็นแบบนี้ ถึงแม้ว่านายจะโกรธแค้น แต่ก็น่าจะพอได้แล้วเถอะ?”
“เอาแบบนี้ไหม ในฐานะที่ก็เป็นผู้ใหญ่เหมือน ให้อภัยข้าเถอะ ข้าสัญญาว่าจะไม่มาทำให้พวกนายต้องเดือดร้อนอีก แล้วก็ไม่ว่าพวกนายจะเสียหายไปมากเท่าไหร่ ข้ายินดีจะชดใช้ ไม่ ข้ายินดีจะชดใช้เป็นสิบเท่าเลย ได้ไหม?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ชายหัวล้านคนนั้นก็หยุดไปสักพัก หลังจากนั้นก็พูดต่อว่า
“แน่นอน ถ้านายอยากฆ่าข้าจริงๆ ก็ถือซะว่าข้าโชคร้าย ที่ไปกวนโมโหน้องชายอย่างนายเข้า ใช่มะ แต่ข้าหวังว่านายจะรู้ ว่าถ้านายทำแบบนี้ก็เท่ากับไร้ความหมาย ถ้านายฆ่าข้าแล้ว มันก็ไปชดเชยอะไรไม่ได้ ตรงกันข้ามถึงตอนนั้นพี่ใหญ่และน้องชายที่มีพลังเหนือมนุษย์อีกสองคน ก็คงจะพาพวกมาแก้แค้นนาย สุดท้ายก็พบเจอกับความเสียหายที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่เหรอ?”
“ตอนนี้คือวันสิ้นโลกแล้ว มนุษยชาติใกล้สูญสิ้นหมดแล้ว อย่าฆ่าฟันกันอีกเลย ดีไหม? น้องชาย ให้อภัยข้าเถอะ ให้โอกาสข้าสักครั้ง ขอร้องละ!”
เมื่อพูดจบ ชายหัวล้านคนนั้นก็มองไปทางฮวางซาง อย่างระมัดระวัง พร้อมกับดวงตาที่ปรากฏแววแห่งความคาดหวังอย่างรุนแรง หวังว่าฮวางซางจะปล่อยเขาไป
“ไม่ต้องมาชดใช้อะไรทั้งนั้น เพราะมันไม่มีความหมาย ฉันต้องการแค่เรื่องง่ายๆ นั้นก็คือเลือดล้างด้วยเลือด ชีวิตชดใช้ด้วยชีวิต!”
แต่ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของชายหัวล้าน ในหัวสมองของฮวางซางก็ปรากฏภาพ ที่จางเฟิ้งและเด็กๆล้มลงไปจมกองเลือดขึ้นมาทันที หลังจากนั้นก็ส่ายหน้า แล้วยกขาข้างหนึ่งเหยียบไปบนหัวของชายหัวล้านคนนั้น ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นออกมา
“สำหรับการแก้แค้น..... หากพี่ใหญ่ของแกรนหาที่ตายเอง ก็ไม่มีอะไรต้องพูดกัน”
“ไม่...... !”
พลังสังหารอย่างเยือกเย็น ที่เปล่งออกมาจากน้ำเสียงของฮวางซาง ทำให้ชายหัวล้านคนนั้นอดตะโกนกรีดร้องออกมาไม่ได้
แต่ในขณะที่เสียงเขาดังขึ้น ขาขวาของฮวางซางก็ออกแรงเหยียบอย่างรุนแรง หลังจากนั้นเสียงแตกหักของกระดูก็ดังขึ้นมาอย่างชัดเจน หัวของชายหัวล้านคันนั้นได้ถูกฮวางซางเหยียบ จนระเบิดกระจายราวกับเหยียบมะเขือเทศอย่างไรอย่างนั้น มันสมองและเลือดสดจำนวนมาก ได้พุ่งทะลักออกมาจากกะโหลกที่แตกกระจายนั้น สาดกระจายจนแดงฉานไปทั่วพื้นใต้รองเท้าทหารของฮวางซาง
เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงกรีดร้องของชายหัวล้านคนนั้นหยุดลงในทันทีทันใด
“วันสิ้นโลกเฮงซวย!”
หลังจากจัดการชายหัวล้านนั้นได้แล้ว ฮวางซางก็อดที่ถ่มน้ำลายใส่ และด่าทอออกมาไม่ได้
ถึงแม้ว่าเขาจะเคยผ่าตัดซากศพเป็นจำนวนมาก ก่อนวันสิ้นโลก และต้องฆ่าซอมบี้เป็นจำนวนมาก หลังจากวันสิ้นโลกก็ตาม แต่การฆ่าคนที่ยังมีชีวิตแบบนี้กลับเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา ดังนั้นในใจของเขาในตอนนี้ จึงไม่มีความสุขแต่อย่างใด ตรงกันข้าม กลับรู้สึกสะอิดสะเอียนและร้อนใจอย่างบอกไม่ถูกแทน
แต่ไม่นาน เขาก็สามารถควบคุมความคิดที่สับสนวุ่นวายเหล่านี้ไว้ได้
เพราะว่าหลังจากที่เขาฆ่าชายหัวล้านคนนั้นแล้ว แสงสีฟ้าอ่อนๆ กลับปรากฏขึ้นมาจากซากศพของชายหัวล้าน จากนั้นก็ผสานเข้ามาในตัวของเขา ทำให้เขาเหมือนได้รับสายน้ำอันบริสุทธิ์ชะล้างภายใน ทำให้เขารู้สึกโปร่งและสดชื่น และเต็มไปด้วยพละกำลังและพลังชีวิตอย่างมหาศาล
“เป็นไปได้ยังไง.....”
เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงพลังอันบริสุทธิ์ ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา ไม่เพียงแต่ทำให้ฮวางซางไม่รู้สึกดีใจแล้ว ตรงกันข้ามกลับทำให้ใบหน้าของเขา ปรากฏสีหน้าแห่งความงุนงงและเคร่งขรึมมากขึ้นไปอีกด้วย
ทำไมหลังจากที่เขาฆ่าชายหัวล้านคนนั้นแล้ว ถึงได้มีพลังหลอมรวมอยู่ภายในร่างกายละ?
“โฮสต์ นี่เป็นเพราะว่า ฟ้าดินไร้ปราณี ปฏิบัติคล้ายดั่งสรรพสิ่งเป็นหุ่นฟางยังไงละ!”
ในตอนนั้นเอง เสียงของระบบก็ดังขึ้นมาในหัวของฮวางซาง “ในสายตาของสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นซอมบี้ หรือเป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ หรือเป็นมนุษย์ ในความเป็นจริงทั้งหมดก็คือชีวิต เพียงแต่มีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าซอมบี้จะฆ่าคน หรือคนฆ่าซอมบี้ หรือแม้กระทั้งคนฆ่าคนด้วยกันเอง ทั้งหมดก็เพื่อแย่งชิงพลังชีวิตของอีกฝ่ายเท่านั้น”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสียงของระบบก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น
“นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำไมระบบถึงต้องให้โฮสต์นั้นแข็งแกร่งขึ้น ฟื้นตื่นมา ควบคุมสรรพสิ่งบนพื้นพิภพ เพราะถ้าหากว่าโอสต์ไม่สามารถสร้างความแข็งแกร่งขึ้นได้ ก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุผล ต่อให้ต้องเสียสละเลือดเนื้อพวกเดียวกันเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง จะเป็นมนุษย์หรือปีศาจก็ต้องยอม สักวันหนึ่ง หากรอให้การดำรงอยู่ของปีศาจร้ายเหล่านั้นปกครองพื้นพิภพ สิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้ ก็จะยิ่งตกต่ำลงไปอยู่ในความทุกข์ทรมาน และความตายตลอดไป ไม่มีวันที่จะได้หลุดพ้นอีกต่อไป”
“บัดซบ!”
เมือได้ยินคำพูดของระบบ ฮวางซางก็มีใบหน้าที่เปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัด ก่อนด่าทอว่า
“นี่มันสวรรค์บ้าบออะไรวะเนี่ย ทำแบบนี้คนทั่วไปก็ดูเหมือนกลายเป็นอาหารของผู้แข็งแกร่งไปนะสิ ทำได้เพียงถูกกดขี่เท่านั้นเหรอ?”
เขารู้ว่าต่อให้วาระสุดท้ายของโลกยังมาไม่ถึง โลกใบนี้ก็ไม่เคยขาดแคลนสิ่งที่เรียกว่า “ลัทธิ”,“เทพชั่วร้าย” และ “ขุนศึก”ที่เปิดฉากสงครามเพื่อความเห็นแก่ตัวของตนเอง คนเหล่านั้นทำเพียงเพื่อหวังในอำนาจเล็กๆ ด้วยการมองชีวิตเป็นเพียงเศษฟาง คิดจะสละเลือดเนื้อของพวกเดียวอย่างบ้าคลั่งหรือการสังหารเผ่าพันธุ์อื่นอย่างไรก็ได้
แต่เมื่อวาระสุดท้ายของโลกมาถึง ปีศาจร้ายที่แท้จริงอาจจะจุติลงมาบนโลก มนุษย์ที่มีความแข็งแกร่ง ก็จะมีโอกาสกลายเป็นเทพเจ้า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ความทะเยอะทะยานอันแรงกล้า ที่จะสร้างความแข็งแกร่งไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถทำได้ทั้งนั้น!
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ ในใจของฮวางซางก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ฮีโร่อะไร แต่ก็ไม่คิดที่แปรเปลี่ยนโลกนี้ ให้กลายเป็นโลกที่เฮงซวยแบบนั้นไปได้หรอก!
เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว เขาจึงต้องพยายามมากขึ้นไปอีก!
เมื่อคิดได้ ฮวางซางก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ส่ายหน้า แล้วหมุนตัวเดินจากไป แล้วพุ่งตรงไปยังทิศทางที่ตั้วลั่วและพรรคพวกอยู่ทันที!