ตอนที่ 64 จูเก๋อ โหย๋วหลง
ตอนที่ 64 จูเก๋อ โหย๋วหลง
บางทีเนื่องจากเป็นเพราะฮวางซางและพรรคพวกนั้น กลายเป็นทหารไปจริงๆ ดังนั้นผู้หญิงคนนี้จึงได้ลดการป้องกันลง ไม่เพียงแต่จะนำฮวางซาง เข้ามาในโรงยิมเท่านั้น อีกทั้งยังยื่นเครื่องดื่มให้กับฮวางซาและพรรคพวกอีกด้วย
หลังจากนั้น ผู้หญิงคนนี้ก็ถามขึ้นด้วยความตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความคาดหวังว่า
“ขอโทษนะคะ พี่ทหารทั้งสามคน ฉันมีเรื่องอยากถามหน่อยว่าสถานการณ์ด้านนอก เป็นอย่างไรบ้างแล้ว พวกนายมาช่วยฉันใช่ไหม?”
“สถานการณ์ภายนอก...ยังไม่ดีขึ้นเลย”
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้หญิงคนนั้น ฮวางซางก็เกิดความลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายหน้า แล้วพูดขึ้นว่า
“เมื่อคืนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน คนหนึ่งในสี่ส่วนได้กลายเป็นซอมบี้เกือบจะทั้งหมด บวกกับเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในเวลากลางคืนด้วย ดังนั้นอาการบาดเจ็บของกองกำลังทหารทุกคนยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ตอนนี้การติดต่อสื่อสารก็ได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรง ขาดการติดต่อไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถติดต่อกับเพื่อนทหารคนอื่นได้”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฮวางซางก็เกิดความลังเลขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากนั้นก็พูดต่อว่า
“แต่ถึงแม้ว่าสถานการณ์นั้นจะไม่ดีขึ้นก็ตาม แต่เมื่อผ่านไปคืนหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็ถือว่าค่อนข้างคงที่มากแล้ว ที่พวกเรามาครั้งนี้ก็เพื่อหาผู้รอดชีวิตและเพื่อนทหารคนอื่น ๆ หวังว่าจะติดต่อเพื่อนทหารคนอื่น ๆได้ แล้วออกไปช่วยผู้รอดชีวิตให้ได้มากกว่านี้”
เมื่อเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวังของหญิงสาว ฮวางซางจึงยังไม่บอกความจริงที่ว่า พวกเขาไม่ใช่ทหาร กับผู้หญิงคนนั้น เพราะเขารู้ว่าการเอาชีวิตรอดได้ในสภาพแวดล้อมแบบนี้นั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความหวัง ถ้าความหวังสุดท้ายนั้นสูญสิ้นไป คนเหล่านี้ก็คงจะสู้ต่อไปได้อีกไม่นาน
“งั้นก็ดี งั้นก็ดี....”
เมื่อได้ยินคำพูดของฮวางซาง ผู้หญิงคนนั้นก็เหมือนกับได้รับการปลอบโยน ราวกับได้เห็นแสงแห่งความหวังอีกครั้ง เธอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นก็พยักหน้า
“ฉันคิดว่าทหารในเมืองเหลียนนั้นตายไปหมดแล้ว ดูเหมือนว่าสถานการณ์ในตอนนี้ จะดีกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีก ถ้าเสี่ยวหลงกลับมาแล้วรู้ข่าวนี้ละก็ เขาจะต้องดีใจมากแน่ ๆ”
“พวกเธอยังมีคนที่อยู่ด้านนอกอีกเหรอ?”
คำพูดของหญิงสาว ทำให้ทั้งสามคนอึ้งงันไป
ซอมบี้ที่อาละวาดไปทั่วเหล่านี้ ไหนจะสัตว์กลายพันธุ์ ที่มีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีคนที่กล้าออกไปข้างนอกตามอำเภอใจอีกอย่างนั้นเหรอ?
ในขณะที่มองไปยังท่าทางของหญิงสาว ดูเหมือนเธอจะไม่ได้เป็นกังวล ถึงความปลอดภัยของคนๆนั้นแต่อย่างใด หรือคนๆนั้นก็เป็นผู้มีพลังเหนือมนุษย์ คนหนึ่งด้วยเหมือนกัน?
“อื้อ เสี่ยวหลงออกไปหลายชั่วโมงแล้ว บอกว่าจะออกไปช่วยหาอาหารบางส่วนมาให้พวกเรา แล้วก็ถือโอกาสหาคนมาช่วยพวกเราด้วย”
เมื่อพูดถึงเสี่ยวหลง ใบหน้าของผู้หญิงคนนี้ ก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันใด หลังจากนั้น ก็เล่าถึงความเป็นมาของพวกเขาให้กับ ฮวางซางและพรรคพวกฟัง
นอกจากผู้หญิงคนนี้แล้ว ที่แท้เด็กๆหลาย 10 คนที่อยู่ในโรงยิมเหล่านี้ ก็คือเด็กกำพร้า พ่อแม่และครอบครัวของพวกเขาตายไปในช่วงจราจลของซอมบี้ในม่านหมอก เมื่อหลายวันก่อน จึงไม่มีใครดูแล ดังนั้นต่อมา จึงได้พาพวกเขามารวมตัวกัน จากนั้นก็จัดหาสถานที่ส่วนกลาง แล้วก็หาทหารส่วนหนึ่งมาปกป้องดูแลพวกเขา
ไม่เพียงแค่นี้ ยังมีการระดมคนพาครูและพี่เลี้ยงบางส่วน มาช่วยดูแลเด็กเหล่านี้เป็นพิเศษอีกด้วย ซึ่งผู้หญิงคนนี้ ก็มีชื่อว่าจางเฟิ้ง ก็คือหนึ่งในพวกนั้น
ในช่วงเริ่มต้น เนื่องจากมีการปกป้องของทหารและการดูแลของรัฐบาลอยู่แล้ว การดำเนินชีวิตของคนเหล่านั้น จึงถือว่าไม่เลวเลย แต่นึกไม่ถึงว่าเมื่อคืนจะเกิดฝนตกหนัก พวกผีดิบกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาเล่นงานทำลายความเงียบสงบของพวกเขาจนไม่เหลือชิ้นดี ไม่เพียงแต่เด็กและครูที่กลายเป็นซอมบี้เท่านั้น แม้กระทั่งทหารที่ปกป้องพวกเขา ก็กลายเป็นผีดิบ เปลี่ยนเป็นซอมบี้ที่จะมากินพวกเขา
แต่ยังมีความโชคดีอยู่ก็คือ ถึงแม้ว่าทหารส่วนหนึ่ง จะกลายร่างเป็นซอมบี้ ไปแล้วก็ตาม แต่กลับยังมีทหารส่วนหนึ่ง ที่ยังมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ทันการณ์ หยิบอาวุธตีฝ่าวงล้อมปกป้องพวกเขา
เพียงแต่ในสถานการณ์นี้ มันวุ่นวายจลาจลเกินไป อีกทั้งจำนวนซอมบี้ก็เยอะมากด้วย ดังนั้นทหารเหล่านั้นจึงปกป้องพวกเขาอย่างสุดความสามารถ แต่สุดท้ายพวกเขากลับไม่สามารถโจมตีกองทัพซอมบี้เหล่านั้นได้ จึงตายหมดสิ้น และค่อยๆตายอย่างน่าเวทนาในกองทัพซอมบี้เหล่านั้น!
เฉกเช่นเดียวกันกับทหารเหล่านี้ พวกเขาจะไม่มีวันถอยกลับ แม้จะเหลือเพียงแค่วินาทีสุดท้ายก็ตาม ยังคงเอาชีวิตของตัวเองมาปกป้องจางเฟิ้งและคนอื่น ๆ ดังนั้นจางเฟิ้งและคนอื่น ๆจึงได้มีความกระตือรือร้นและเคารพต่อฮวางซางและพรรคพวก
อีกทั้งการเสียสละของทหารเหล่านั้น ก็ไม่ได้ไร้ความหมายแต่อย่างใด ความพยายามของพวกเขาได้ต่อเวลาให้จางเฟิ้ง และคนอื่นๆไม่น้อย ทำให้พวกเขาได้คว้าโอกาสสุดท้ายของชีวิตเอาไว้!
เนื่องจากในช่วงเวลานี้ จางเฟิ้งที่รับผิดชอบดูแลเด็กๆในนี้ ก็มีคนหนึ่งมีพลังเหนือมนุษย์ฟื้นตื่นขึ้นมา!
คนๆนี้ ก็คือคนที่จางเฟิ้งเรียกว่าเสี่ยวหลง --- จูเก๋อ โหย๋วหลง!
พลังเหนือมนุษย์ของจูเก๋อ โหย๋วหลงนั้นพิเศษมาก ไม่เพียงแต่จะมีความสามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ เหมือนกับโกว๋หวางหลุน ที่ฮวางซางและพรรคพวกเจอก่อนหน้านั้น อีกทั้งดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งมาก ต่อสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เหล่านี้อีกด้วย ทำให้สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เหล่านั้น เลือกที่จะไม่โจมตีพวกเขา ดังนั้นในตอนที่จูเก๋อ โหย๋วหลงสามารถควบคุมสุนัขกลายพันธุ์ได้หนึ่งตัว แล้วนำพาโจมตีฝ่าวงล้อม ท่ามกลางสงครามของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ชนิดอื่น และซอมบี้ออกไป จนมาถึงในบริเวณโรงยิมแห่งนี้
และหลังจากนั้น พวกเขาก็ถือโอกาสนี้ปีนเข้ามาในประตูอัตโนมัติ จากนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในโรงยิม จนถึงตอนนี้
พวกเขารู้ว่าการพึ่งน้ำและอาหารในโรงยิมแห่งนี้นั้น อาจจะยื้อชีวิตต่อไปได้อีกไม่นาน ในเวลานั้นจูเก๋อ โหย๋วหลงเองก็ไม่มีความสามารถมากพอ ที่จะพาพวกเขาทั้งหมด ออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นหลังจากที่พักผ่อนไปสักพักหนึ่งแล้ว จูเก๋อ โหย๋วหลงก็ออกจากโรงยิม ไปหาอาหารและหน่วยกู้ภัยด้วยตัวเอง
ถึงอย่างไรความสามารถของเขา แล้วก็ความสัมพันธ์พิเศษ ต่อสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เหล่านั้น เพียงแค่ต้องระวังสักหน่อยก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
“ดูเหมือนพลังเหนือมนุษย์ของเจ้าหนุ่มนี้ จะสูงกว่าเจ้าโกว๋หวางหลุนอีกแฮะ...”
เมื่อได้ยินคำพูดของจางเฟิ้ง ฮวางซางและพรรคพวกก็มองตากันและกัน ต่างก็มองเห็นแววตาประหลาดและตกใจ
เป็นความจริง ถ้าหากเพียงแค่สามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ได้สัก 1-2 ตัว ความสามารถชนิดนี้ก็ถือว่าไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่ไอ้ความสัมพันธ์ต่อสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์นั้นกลับมีความหมายยิ่งกว่า
ถ้าคนๆนี้สามารถสร้างผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตหลายพันธุ์ได้ แล้วทำให้สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เหล่านั้นไม่โจมตีพวกเขาได้จริงๆ งั้นก็พูดได้ว่าความสามารถชนิดนี้ เป็นความสามารถที่มีค่ามากที่สุด ในท่ามกลางความวุ่นวายของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ในเมืองเหลียนแห่งนี้ จนไม่อาจประเมินราคาได้ !
และเมื่อเป็นเช่นนี้ ฮวางซางและพรรคพวก จึงตัดสินใจที่จะรอให้จูเก๋อ โหย๋วหลงคนนั้นกลับมาก่อน ถึงอย่างไรจูเก๋อ โหย๋วหลงก็ต้องยอมรับพวกเขา เพราะพวกเขาไม่เพียงแต่หวังจะพาผู้รอดชีวิต ที่อยู่เบื้องหน้าเหล่านี้ กลับโรงพยาบาลแล้ว อีกทั้งพวกเขายังหวังให้การเดินทางครั้งต่อไปนั้น ปลอดภัยมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
แต่เมื่อเทียบกับคนอื่น ฮวางซางยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำอยู่อีกหนึ่งเรื่อง
หลังจากที่ดื่มน้ำที่อยู่ในกระติกของทหารไปนิดหนึ่งแล้ว ฮวางซางจึงเริ่มหาสถานที่เพื่อทำการบรรลุพลังเหนือมนุษย์
“พลังเหนือมนุษย์ของฉันใกล้จะเลื่อนขั้นแล้ว ตอนนี้ฉันอยากหาสถานที่ที่ทั้งเงียบและปลอดภัยเพื่อทำการบรรลุ!”
การทำลายสภาวะคอขวดนั้น ไม่อาจประมาทได้แม้แต่เพียงนิดเดียว ไม่อย่างนั้นสิ่งที่ทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่า แล้วก็สร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสอีกด้วย ดังนั้นฮวางซางจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็หันไปพูดกับหลิวซินด้วยท่าทางจริงจังว่า
“การบรรลุของฉันครั้งนี้จำเป็นต้องใช้เวลา 1 ชั่วโมง ภายใน 1 ชั่วโมงนี้ พวกนายต้องช่วยรับปากว่า จะไม่ให้มีอะไรมารบกวนฉันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นละก็ ผลลัพธ์ที่ตามมามันจะเลวร้ายลงกว่าที่เราคาดคิดได้ !”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฮวางซางก็หันไปมองนัยน์ตาลึกๆของหลิวซินและตั้วลั่วอีกครั้ง
“ต่อไป ชีวิตของฉันฝากไว้กับพวกนายแล้วละ ขอร้องละ!”
หลังจากที่รับรู้ได้ถึงศักยภาพอันน่ากลัวของเจ้าปลาดราก้อนฟิชนั้นแล้ว ฮวางซางก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงภัยอันตรายของเมืองเหลียนมากขึ้นไปอีกขั้น ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงได้ร้อนอกร้อนใจอยากที่จะบรรลุเร็วๆ
“วางใจเถอะ พี่ ต่อให้ฉันต้องตาย ฉันก็จะไม่ให้ใครมาทำร้ายพี่ได้เด็ดขาด!”
ในขณะที่มองไปยังท่าทางที่เคร่งขรึมของฮวางซาง หลิวซินก็รีบพยักหน้าทันที
“ใช่ วางใจเถอะ ต่อให้เขาต้องตาย ฉันก็จะไม่ให้ใครมาทำร้ายนายได้เด็ดขาด...”
และในเวลาเดียวกัน ตั้วลั่วก็กระตุกยิ้มมุมปากออกมา
ถึงแม้ว่าเขาจะชอบทำหน้าทะเล้น ยิ้มชั่วร้ายอย่างเช่นเคยก็ตาม แต่หลังจากที่ผ่านการสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่มาหลายครั้ง ฮวางซางก็ได้รู้ว่า เจ้าหนุ่มที่ดูภายนอกเหมือนพึ่งพาไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นคนที่พึ่งพาได้มากที่สุด
ดังนั้นเมื่อเขาพยักหน้า ฮวางซางก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวชายด้านข้างทันที
เขารับรู้ได้ภายในใจว่า หลังจากที่วันสิ้นโลกย่างกรายมาถึง สถานการณ์อันน่าสะพรึงกลัว ก็แปรเปลี่ยนไปอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำได้เพียงต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ของตัวเองให้เร็วที่สุดเท่านั้น ถึงจะสามารถรับประกันตัวเองได้ว่า จะไม่ถูกสิ่งมีชีวิตอื่นๆฆ่าตายไป ในท่ามกลางสถานการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้
ไม่อย่างนั้น เขาก็จะพัฒนาขึ้นไปได้อย่างช้าๆ สุดท้ายก็ถูกผู้มีพลังแข็งแกร่งคนอื่น ๆจับโยนออกไป ณ ที่แสนไกล ตกลงไปในห้วงเหวลึกที่ไม่มีจุดสิ้นสุด!
“เจ้านี่ ลึกลับซะจริงๆ...”
ในขณะที่มองไปทางแผ่นหลังที่เลือนหายไปของฮวางซาง มุมปากของตั้วลั่วก็กระตุกขึ้น
ซึ่งแตกต่างจากหลิวซินที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างสิ้นเชิง ตั้วลั่วนั้นได้รับการฝึกพิเศษมาตั้งแต่เด็ก เขาดิ้นรนต่อสู้มาในเส้นทางแห่งความตาย เพื่อให้มีประสาทสัมผัสที่ว่องไวและเฉียบแหลมต่อเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงได้ดูออกว่าฮวางซางนั้นต้องมีความลับบางอย่าง ที่ไม่ต้องการให้ใครรับรู้ซ่อนไว้อยู่อย่างแน่นอน
และเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหลกับฮวางซางมาโดยตลอด เพื่อต้องการหาโอกาสเสริมสร้างความแข็งแกร่งที่มีมาอย่างต่อเนื่องในตัวของฮวางซาง!
และตอนนี้ เขาก็สัมผัสได้ ดูเหมือนว่าตัวเองจะได้เห็นความจริงของเรื่องนี้แล้ว
……
หลังจากที่ฮวางซางเข้าไปในห้องแต่งตัวผู้ชายเพื่อทำการบรรลุแล้ว ส่วนตั้วลั่วและหลิวซินก็ได้รักษาการณ์อยู่ในโรงยิม ไม่ให้ใครเข้ามารบกวนฮวางซางได้ และถือโอกาสนี้พักผ่อนไปในตัวด้วย ภายในห้องหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากโรงยิมนัก ชายหัวล้านคนนั้นก็ได้ออกมาจากห้องในสภาพใส่กางเกงตัวเดียวออกมา
จึงได้เห็นภายในห้องที่อยู่ด้านหลังของเขา ผู้หญิงที่แทบจะเปลือยกายทั้งตัวได้นอนอยู่บนเตียงอย่างไม่ไหวติง ไร้ลมหายใจ แม้แต่คอของเธอก็บิดเบี้ยวไปอีกทางหนึ่ง
“พี่ใหญ่ สาวคนนั้น....”
เมื่อเห็นภาพนั้น น้องเล็กคนหนึ่งก็ตื่นตกใจ พร้อมกับถามขึ้น
“หึ นังหญิงชั่วคนนั้นมันกล้าเตะน้องชายของข้า ข้าโมโหเลยเผลอจัดการฆ่าเธอ”
ชายหัวล้านพูดอย่างเย็นชา จากนั้นก็หันไปพูดกับน้องเล็กนั้นว่า
“แต่ไม่เป็นอะไร มันเพิ่งตาย นายอยากจะไปทำต่อก็ได้นะ? ”
“ไม่...ไม่ดีกว่า...”
ในขณะที่มองไปยังท่าทางที่ฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา ของชายหัวล้านคนนั้น ถึงแม้ว่าน้องเล็กคนนี้จะก่อกรรมทำเข็ญมากมาย แต่เขาก็อดที่จะเกิดอาการสั่นเทาขึ้นมาไม่ได้ ก่อนจะส่ายหน้าทันที
“พี่ใหญ่ เจ้าเด็กคนนั้นกลับมาแล้ว!”
ในตอนนั้นเอง น้องเล็กที่กำลังดูกล้องส่องทางไกล ในสนามกีฬาคนหนึ่ง ก็พูดขึ้นมาด้วยความดีใจอย่างฉับพลัน
“แม่งเอ๊ย รอมาตั้งนาน ในที่สุดก็กลับมาสักที!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ดีใจของน้องเล็กคนนั้น ดวงตาของชายหัวล้านคนนั้นก็ฉายแววเด็ดเดี่ยวขึ้นมาทันใด หลังจากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า
“ในเมื่อเจ้าเด็กนั่นกลับมาแล้ว พวกเราก็ต้องเริ่มวางแผนเรื่องต่อไปแล้วละ”
“ไม่ว่าจะยังไง พวกเราจะต้องรับหน้าที่ ไปเอาเด็กคนนั้นมาให้พี่ใหญ่ให้ได้!”