ตอนที่ 52 อ่างยากับคนทรยศ
โม่ข่าหลับฝันดีเป็นอย่างมาก ในฝันของเขามีโฉมสะคราญกลุ่มใหญ่รายล้อมนิ้วเรียวยาวจับสัมผัสไปทั่วทุกอณู เขารู้สึกดีเสียจนครางเสียงอ่อนออกมา
“โม่ข่า เลิกครางเสียที พวกเราชายชายชาตรีทนไม่ไหวแล้ว!”
เสียงหยอกล้อของป๋ายเสี่ยวเฟยปลุกโม่ข่าจากฝันหวานของเขา
“เป็นเช่นไรพี่ใหญ่เฟย! มีใครมาหาเรื่องเราอีก!?”
โม่ข่ากระโดดเหยงขึ้นมาตะโกนเสียงลั่น การได้อยู่ห้อง 807 เป็นเวลานานทำให้เขาตื่นตระหนกง่ายกว่าเดิมเล็กน้อย
ลมเย็นเยียบพัดผ่านใบหน้าของโม่ข่าปัดเป่าความง่วงให้อันตรธานหายไป เมื่อเขากวาดตามองรอบๆ เขาพลันนึกขึ้นได้ว่าตนอยู่ที่ไหน และเมื่อเขาก้มศีรษะมองตนเอง เขาสังเกตเห็นว่าตัวเองกำลังแช่น้ำอยู่ในถังยา
“โม่ข่า ร่างกายเจ้าช่างอ่อนแอเหลือเกิน ต่อให้มีเจ้าสิบคนก็สู้ข้าไม่ได้”
คนที่อยู่ข้างๆ เขาคือหวู่จื๋อ น้ำเสียงไม่คิดจะปกปิดความดูถูกเหยียดหยาม และมันก็ง่ายมากสำหรับหวู่จื๋อที่จะอัดโม่ข่าสิบคนด้วยตัวคนเดียว
“หุบปาก! นี่เรียกว่าว่าผอม เจ้าจะไปรู้อะไรไอ้บ้าวรยุทธ์!?”
โม่ข่าเอนหลังพิงถังน้ำใบหน้าแดงก่ำ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“โม่ข่า เจ้าช่างเก่งกาจเหลือเกิน! น้ำยาพวกนี้ราวกับยาเทพเซียน ข้าเพิ่งเริ่มอาบเมื่อครู่ร่างกายข้าก็สบายมากแล้ว...”
ฉิงหนานยืดแขนออกพลางกล่าวขอบคุณโม่ข่า
คนที่เหลือพร้อมใจกันปรบมือให้โม่ข่า เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นตัวกลางส่งผ่านปราณกำเนิดได้ และการได้อาบน้ำยานี้ทำให้พวกเขารู้สึกสบายเนื้อสบายตัวที่สุดภายในช่วงเวลาสองวัน... โม่ข่ามีสีหน้าประหลาดใจ แต่เมื่อเขามองไปยังน้ำยา เขาเข้าใจในทันที
‘นี่คือสิ่งที่ข้าต้มเมื่อครู่?’
ใช่ สำหรับโม่ข่าแล้วสิ่งที่เขาทำไม่อาจกล่าวได้ว่าปรุงยาแต่เป็นต้มน้ำต่างหาก
ความปลื้มปิติเปี่ยมล้นหัวใจของเขา
‘ข้ามีประโยชน์ด้วย!’
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่โม่ข่ารู้สึกมั่นใจในตัวเองมากเช่นนี้ และความมั่นใจนี้เป็นเสวี่ยอิ่งที่มอบให้เขา!
“หวังหาง ทำไมเจ้าไม่พูดบ้าง? เจ้าน่าเบื่อแบบนี้ตลอดเลยหรือ?”
ความสนใจของป๋ายเสี่ยวเฟยหันมาหาหวังหางที่เงียบขรึมไม่พูดไม่จา ในระยะเวลาสองวันนี้หวังหางทำตัวเหมือนกับที่เขาแนะนำตัวเปี๊ยบ คือไม่สนใจใคร ไม่ควรคู่ให้ใครมาสนใจ ขนาดตอนนี้ก็ยังเงียบอยู่... จนกระทั่งฟางเย่ทนต่อไปไม่ได้
“หวังหาง เจ้าลืมฐานะระหว่างเราไปเสีย ข้ามาที่นี่เพราะต้องการเปลี่ยนแปลงตนเอง และข้าหวังว่าเจ้าจะเปลี่ยนได้ด้วยเช่นกัน ข้ารู้ความสามารถของเจ้าดี ไม่มีเหตุผลที่เจ้าต้องประพฤติตนเช่นนี้เพราะข้า”
หากพูดถึงคนที่เปลี่ยนมากที่สุดในช่วงสองวันมานี้ เช่นนั้นก็ต้องเป็นฟางเย่อย่างไม่ต้องสงสัย จากตอนแรกไม่ว่าใครก็สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเย่อหยิ่งดูถูกทุกสิ่งทุกอย่างของลูกคนรวยแค่เพียงอยู่ใกล้ แต่หลังจากการวิ่งรอบจัตุรัสครานั้นแล้ว นิสัยใจคอของเขาเปลี่ยนแปลงราวกับหน้ามือเป็นหลังเท้าประดุจคนละคนก็มิปาน ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดเขาจึงเปลี่ยน แต่ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเช่นไรมันต้องเป็นประสบการณ์อันยากลำบากสำหรับเขาเป็นแน่! และมีเพียงคนเดียวที่เป็นพยานต่อการเจริญเติบโตของฟางเย่ตั้งแต่ต้นจนจบ คนผู้นั้นคือหวังหาง!
“นายน้อย ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าขอเป็นเพียงเงาอยู่ข้างหลังท่าน...”
ในที่สุดหวังหางก็เปิดปากพูด แต่คำที่หลุดออกมาเป็นเครื่องยืนยันว่าเขาเป็นพวกสมองทึบที่แม้แต่แสงก็ไม่อาจทะลวงผ่านไปได้
“เฮ้เฮ้ พวกเจ้าพูดจบหรือยัง? ข้าขนลุกไปหมดแล้วเนี่ย หากพวกเจ้าต้องการเล่นข้างหลังนักเช่นนั้นก็ขนเต็นท์ของพวกจ้าไปไกลๆ ข้าจะไม่แอบฟังแน่นอน”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยขัด ‘ประโยคน่าซาบซึ้ง’ ของพวกฟางเย่ก่อนจะลุกขึ้นพยายามทำตัวให้แห้ง
“เล่นข้างหลังสนุกตรงไหน? พวกเจ้าไม่สนใจโฉมกระคราญที่อยู่ตรงโน้นหรือ?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยหัวเราะพลางยิ้มเจ้าเล่ห์กระตุ้นความสนใจของทุกคน ประกายแสงวาบผ่านนัยน์ตาทุกคู่
“หัวหน้าห้อง เจ้าควรระวังคำพูดคำจาด้วย ข้าเป็นชายปกติมีรสนิยมเฉกเช่นคนทั่วไป!”
ฟางเย่รีบยืนขึ้นต้องการจะสวมใส่อาภรณ์เมื่อเห็นแสงในสายตาของป๋ายเสี่ยวเฟยที่บ่งบอกว่าเขากำลังจะทำสิ่ง ‘ดีๆ’
“พวกเราเพียงแค่...”
หวู่จื๋อตื่นเต้นมากจนลืมปรับระดับเสียง เขาไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ที่นี่และหวู่จื๋อพูดไปถึงครึ่งประโยคก่อนจะหุบปากเมื่อเห็นนัยน์ตาเย็นชาของทุกคน
“เอ่อ... ข้าขอผ่าน? อย่างไรเสียข้าก็...”
ถึงแม้ฉิงหนานจะสนใจเรื่องนี้ไม่น้อย แต่พวกป๋ายเสี่ยวเฟยอย่างมากก็โดนเสวี่ยอิ่งลงโทษ แตกต่างจากเขาที่อาจจะต้องกลับไปโสดอีกครา...
“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะพักได้อย่างสบายใจเมื่อมีกลุ่มชายหนุ่มลามกจ้องมองเรือนร่างภรรยาเจ้า?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยหัวเราะเจ้าเล่ห์ ฉิงหนานรีบลุกขึ้นจากถังน้ำทันใด
“ข้าไปด้วย!”
ความแน่วแน่ในการทำศึกรบของฉิงหนานเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ แม้แต่เฉินฮุยที่ดูเหมือนว่าจะดีกว่าพวกก็ยังลุกขึ้นยืนอย่างเงียบเชียบ
“พี่ใหญ่ฮุย ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นชายหนุ่มธรรมดาเช่นพวกเรา!”
โม่ข่าที่แต่งตัวเสร็จแล้วเขยิบเข้าใกล้เฉินฮุยพลางตบบ่าเขา
“แค่ก แค่ก ที่ข้าไปด้วยเพราะจะได้เฝ้าจับตามองเผื่อพวกเจ้าควบคุมตนเองไม่ได้ เมื่อถึงตอนนั้นอย่างน้อยคงช่วยพวกเจ้าได้บ้าง”
เฉินฮุยเอ่ยสีหน้าเรียบเฉย ทุกคนเข้าใจบางสิ่งในทันที
‘หมอนี่เป็นคนจำพวกเย็นชาภายนอกอบอุ่นภายใน!’
ศิษย์นักเรียนอาจกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดเกรงที่สุดในโลก เพราะไม่ว่าเจ้าจะพยายามปกปิดธาตุแท้เพียงใด เจ้าก็มิอาจปกปิดมันไปได้ตลอดรอดฝั่ง! ทั้งกลุ่มรีบสวมใส่อาภรณ์ก่อนจะย่องเท้าแผ่วเบาไปทางฝั่งศิษย์หญิงด้วยการมีความมืดของราตรีเป็นโล่กำบัง
แต่กลุ่มเด็กลามกที่มีความ ‘สงสัย’ อยู่ในใจไม่เคยคาดคิดว่าพวกเขาจะถูกหักหลัง! เมื่อพวกเขาข้ามไปยังอีกฟาก เสียงเห่าที่คุ้นเคยดังลั่นอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักเสวี่ยอิ่งที่มี่สีหน้าเย็นชาก็พลันปรากฎกายจับกุมพวกเด็กทั้งสิบคาหนังคาเขา
“ดูเหมือนว่าพลังของพวกเจ้าจะเหลืออยู่ไม่น้อย”
เสียงเย็นเยียบหลุดออกจากปากขณะที่สุนัขฮัสกี้วิ่งไปถูไถหัวเล็กๆ ใส่ขาเรียวงามของนาง ใบหน้ามันราวกับกำลังถามหารางวัล
‘เสี่ยวเอ้อ! ไอ้ตัวบัดซบ! ไอ้หมาทรยศ!’
ป๋ายเสี่ยวเฟยขึงตาใส่เสี่ยวเอ้อ แต่ไม่กล้าพูดคำอื่นใด เขาปั้นรอยยิ้มพลางตอบคำถามเสวี่ยอิ่ง
“แน่นอน พวกเราคือเสาหลักของกลุ่มและพวกเราต้องยืนยันความปลอดภัยของสหายหญิงตลอดเวลา พวกเรามาเพื่อดูว่ามีสัตว์อสูรอยู่ใกล้ๆ หรือไม่”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเริ่มใช้วิชาโกหกหน้าตายอันช่ำชองของเขาอีกครา คนอื่นที่เหลือรีบพยักหน้าเห็นด้วยทันที
“โอ? หากพวกเจ้าเป็นวีรบุรุษขนาดนั้นก็จงไปหาเสบียงของคืนนี้ด้วย เสี่ยวเอ้อ เจ้าพาพวกมันไปล่าสัตว์อสูร บอกข้าหากมีใครรังแกเจ้า ข้าจะให้มันผู้นั้นชดใช้!”
แน่นอนคำพูดสุดท้ายของเสวี่ยอิ่งมีไว้สำหรับป๋ายเสี่ยวเฟย เสี่ยวเอ้อเห่าสองคราด้วยความตื่นเต้นก่อนจะกระโจนไปข้างป๋ายเสี่ยวเฟยสีหน้ามีความสุข
ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวเฟยบิดเบี้ยวด้วยโทสะ เขาปั้นรอยยิ้มอย่างยากลำบากก่อนจะกล่าวคำอำลาต่อเสวี่ยอิ่ง เมื่อเขาวิ่งตามหลังเสี่ยวเอ้อไป ศิษย์ที่เหลือไม่กล้าชักช้า ตามหนึ่งคนหนึ่งสุนัขไปทันที
“ไม่ต้องกลับมาหากหาเสบียงคืนนี้ไม่ได้!”
เสียงของเสวี่ยอิ่งดังไล่หลังพวกเขา ในใจของทั้งกลุ่มเต็มไปด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง
‘แน่นอนว่าไม่มีเรื่องดีเมื่อติดตามป๋ายเสี่ยวเฟย...’