ตอนที่ 100 ศักยภาพของเรือนจำที่แท้จริง
ตอนที่ 100 ศักยภาพของเรือนจำที่แท้จริง
หลังจากที่ฮวางซางพาร่างไร้หัวของ “พี่ใหญ่เป้า” กลับมาค่ายพลเรือนแล้ว นักโทษที่ถูกจูเก๋อโหย๋วหลงและซอมบี้ทารกขู่ จนอกสั่นขวัญหายเหล่านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นซื่อสัตย์ขึ้นมาทันใด
สำหรับศักยภาพของลูกพี่เป้า พวกเขานั้นต่างรับรู้ได้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว ก่อนหน้านั้น ลูกพี่เป้าเป็นคนเดียวที่บุกฝ่าทะลวงเข้าไปในฐานปืนกล หลายกระบอกภายในโรงพยาบาลในเมืองนั้น ทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีและมีอาวุธครบมือเหล่านั้น ก็ไม่สามารถจัดการเขาได้
แต่ในเวลานี้ ลูกพี่เป้าที่เป็นเสมือนเทพแห่งการสังหาร และเทพแห่งสงครามในใจของพวกเขา กลับออกมาอยู่ในรูปแบบร่างไร้หัวหลังจากที่หนีไปในเวลาเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น..........
ชายที่ดูไม่น่ากลัวและอ่อนแออย่างเห็นได้ชัดคนนี้ แข็งแกร่งแค่ไหนกัน และน่ากลัวมากแค่ไหนกันแน่?
“แว้!”
แต่สิ่งที่แตกต่างจากนักโทษก็คือ เมื่อเห็นฮวางซางกลับมา ทารกคนนั้นกลับตื่นตกใจ หลังจากที่ตระหนักได้ก็รีบนำเอาหัวของเจ้าลิกเกอร์ ที่ถูกแทะไปแล้วทั้งสองตัวนั้นซ่อนไปไว้ด้านหลังตัวน้อยๆของตัวเอง พร้อมกับเบะปาก เผยรอยยิ้มที่น่ารักไร้เดียงสา ไร้อันตรายใดๆออกมา จากนั้นก็มองไปทางฮวางซาง แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตลอดเส้นทางมาค่ายพลเรือนแห่งนี้ ฮวางซางได้แต่ตักเตือนเจ้าทารกคนนี้ว่า ไม่ให้กินหัวคนซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาโดยตลอด เพราะยังเป็นกังวลว่า หลังจากที่เขากินหัวคนเข้าไปแล้ว จะก่อเกิดปีศาจร้ายขึ้นมาอีกครั้ง และเนื่องจากเป็นเช่นนี้ ในเวลานี้เจ้าทารกก็อดที่จะกินหัวของเจ้าลิกเกอร์สองตัวนี้ไม่ได้ หลังจากที่เห็นฮวางซางกลับมาอีกครั้ง เด็กน้อยคนนี้ก็เกิดความเป็นกังวลขึ้นมาว่า จะถูกผู้ปกครองเอ็ดที่แอบกินลูกกวาด ในใจของเขาจึงเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความหวาดกลัว
“เจ้าเด็กนี้...........”
ในขณะที่มองไปยังท่าทางที่ทั้งไร้เดียงสาและทั้งเคร่งเครียด ฮวางซางที่มีสีหน้าเรียบเฉยก็ส่ายหน้าทันที หลังจากนั้นก็กวัดแกว่งมือขวาขึ้นมา โยนซากศพที่ถือกลับมาด้วยไปด้านข้างของซอมบี้ทารก แล้วพูดขึ้นว่า
“ช่างเถอะ เพียงแค่จงจำไว้ว่าไม่อนุญาติให้กินหัวคน ส่วนสิ่งมีชีวิตอื่นๆยังพอคุยกันได้ .....อ่ะ ให้นาย”
แว้!
เมื่อได้ยินคำพูดของฮวางซาง ทารกนั้นก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ หลังจากนั้นก็กระโดดพุ่งไปข้างหน้า จากนั้นก็ขึ้นมาเกาะบนตัวของฮวางซาง พร้อมกับใช้ปากที่ยังมีเลือดติดอยู่ จุ๊บไปบนใบหน้าของฮวางซางทันที จากนั้นก็กระโดดไปบนซากศพของลูกพี่เป้า แล้วเริ่มกัดฉีกและกลืนกินอย่างบ้าคลั่ง
บางทีอาจเป็นเพราะได้เห็นการเข่นฆ่า ท่ามกลางหายนะวันสิ้นโลกมาจนชิน หรือว่าอาจเป็นเพราะว่าเจ้านี้สมควรได้รับกรรมจริงๆก็เป็นได้ ในขณะที่มองไปยังภาพเปื้อนคาวเลือดเบื้องหน้า ฮวางซางกลับรู้สึกเหมือนเป็นภาพของกระต่าย ที่ได้กินหญ้าหรือสุนัขที่ได้แทะกระดูกเท่านั้น ในใจไม่ได้รู้สึกว่ามันแตกต่างแต่อย่างใด
เพียงแต่นักโทษเหล่านั้น ไม่ได้มีความคิดเช่นเดียวกับเขา เมื่อเห็นทารกคนนั้นกัดฉีกชิ้นเนื้อบนตัวของ “ลูกพี่เป้า”อย่างบ้าคลั่งพร้อมกับกลืนกินลงไปในท้อง นักโทษเหล่านั้นก็กลัวจนใบหน้าซีดเผือด เหงื่อเย็นผุดออกมาจนเปียกชุ่มทันใด
ในเวลานี้ ระดับความโหดร้ายของฮวางซาง ในสายตาของพวกเขาแทบจะไม่ได้ด้อยไปกว่า “พี่ใหญ่หลง” คนนั้นแต่อย่างใด จนกระทั่งดูมากไปกว่าด้วยซ้ำ!
“เอาละ พวกนายจงฟังไว้ ต่อจากนี้ฉันจะพูดแค่เพียงรอบเดียวเท่านั้น”
เมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดและเหงื่อไหลชุ่มจนเต็มใบหน้าของนักโทษเหล่านั้น นัยน์ตาของฮวางก็เปล่งประกายขึ้นมาทันใด จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“ฉันจะไม่ฆ่าพวกนาย เหตุผลเพียงอย่างเดียวก็คือ พวกนายยังมีประโยชน์อยู่ในตอนนี้ ดังนั้นพวกนายก็อย่าทำให้ประโยชน์เพียงอย่างเดียวนี้ หลุดลอยไปเป็นดีที่สุด ไม่อย่างนั้น.....หึ ฉันจะให้เจ้าเด็กนี้ ที่เต็มใจจะช่วยฉัน จัดการกับขยะไร้ค่าที่ไม่เชื่อฟังเหล่านั้นทันที”
“แว้!”
เมื่อได้ยินคำพูดของฮวางซาง เจ้าเด็กที่กำลังกินซากศพของ “ลูกพี่เป้า” อยู่นั้นก็เงยหน้าขึ้นมา จากนั้นก็แสดงพลังด้วยการส่งเสียงร้องไห้ออกมา และในเวลาเดียวกัน ซอมบี้ทารกที่ห้อมล้อมเหล่านั้น ในบริเวณรอบๆนี้ ก็ต่างพากันส่งเสียงร้องออกมา จนทำให้สีหน้าของนักโทษเหล่านั้น ยิ่งซีดเผือดมากเข้าไปอีก
“เอาละ จูเก๋อโหย๋วหลง นายพาพวกเขาไป แล้วเริ่มรวบรวมอาวุธและกระสุนได้แล้ว พยายามรวบรวมให้ได้มากที่สุด!”
นี่เป็นครั้งแรก หลังจากที่ตักเตือนครั้งสุดท้ายไป ฮวางซางก็บอกให้จูเก๋อโหย๋วหลง พาคนเหล่านี้ไปรวบรวมกระสุน พร้อมกับหันไปทางทารกคนนั้นที่กำลังกินซากศพอย่างเอร็ดอร่อยนั้น ว่า
“เจ้าหนูน้อย ให้ลูกน้องนายควบคุมตัวพวกเขาไว้ด้วย แต่จงจำไว้ว่า......ห้ามแอบกินเด็ดขาด!”
ประโยคที่ว่า “ห้ามแอบกิน”นี้ ทำให้นักโทษเหล่านั้นตัวเย็บเฉียบขึ้นมาทันใด หลังจากนั้นก็ไม่กล้าแม้แต่จะเกียจคร้านแต่อย่างใด ต่างทยอยกันตามหลังจูเก็อโหย๋วหลงไป จากนั้นก็เข็นรถเข็นสามล้อที่อยู่ข้างค่ายพลเรือนออกมา แล้วเริ่มลำเลียงอาวุธและกระสุนที่ฮวางซางต้องการทันที
ภายใต้การช่วยเหลือจากนักโทษเกือบ 20 คนนี้ ปัญหาที่ยากที่สุดของฮวางซางก็ถูกจัดการแก้ไขเรียบร้อย อาวุธและกระสุนจำนวนมาก ถูกลำเลียงใส่รถเข็นเหล่านั้นเรียบร้อย หลังจากนั้นก็เตรียมพร้อมที่จะเข็นมันออกไป
หากอาวุธและกระสุนที่อยู่ในรถเข็นกว่า 20 คันนี้ ถูกเข็นกลับไปได้อย่างราบรื่นละก็ อย่าว่าแต่การสู้รบที่โจมตีฐานแข็งแกร่งของข้าศึกเล็กๆเลย ต่อให้ต้องสู้รบกันอีกหลายครั้ง ก็ไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน
หลังจากที่ปัญหาที่แสนยุ่งยากได้รับการแก้ไขแล้ว ในที่สุดฮวางซางก็สามารถหาเวลามาจัดการฉิวหลาวซื่อได้แล้ว
ฉิวหลาวซื่อนั้นฉลาดมาก เขารู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฮวางซางอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาถึงได้ทำการยกเลิกร่างกลายพันธุ์ของตัวเอง พร้อมกับทิ้งอาวุธของตัวเองออกไปด้วย ยอมทำตามอย่างว่าง่าย แม้แต่กระทั้งเปลี่ยนแปลงท่าทีที่โหดร้ายลง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ฮวางซางเกิดความระแวงและเข้าใจผิด
“เอาละ ตอนนี้พูดสิ่งที่นายต้องการมา”
ก่อนหน้าที่ฉิวหลาวซื่อพยายามที่จะปกป้องทารกคนนั้น จนทำให้ชนะใจของฮวางซางได้ ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับฉิวหลาวซื่อที่มีท่าทางซื่อๆคนนี้ สีหน้าเย็นชาบนใบหน้าของฮวางซางก็อ่อนลง หลังจากนั้นก็นั่งลงบนกระสอบทรายในฐานปืนกล แล้วก็หันไปพูดกับฉิวหลาวซื่อ ราวกับพูดคุยกันเรื่องจิปาถะทั่วไป
“วางใจเถอะ ฉันไม่ฆ่านายหรอก แต่ฉันอยากให้นายช่วยฉันเรื่องหนึ่ง บอกเรื่องราวที่เกี่ยวกับในเรือนจำแห่งนั้นกับฉัน”
“นายต้องการต่อสู้กับพวกในเรือนจำนั้นเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของฮวางซาง ฉิวหลาวซื่อก็อึ้งงันไป หลังจากนั้นก็รีบส่ายหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงตึงเครียดว่า
“ฟังคำพูดฉันให้ดีๆ นายอย่าเคลื่อนไหวอะไรทั้งนั้น ในเรือนจำนั้นไม่ใช่พวกที่เราจะเป็นคู่ต่อสู้ได้!”
“อือ แล้วยังไงละ?”
ในขณะที่มองไปยังสีหน้าที่ดูจริงจังและทั้งตึงเครียด ฮวางซางอึ้งงันไป หลังจากนั้นก็ถามขึ้นด้วยความอยากรู้
หากเป็นดั่งคำพูดของชายชุดดำ ที่พูดไว้ก่อนหน้านั้นว่า ความแข็งแกร่งของทางเรือนจำนั้นมีมากมายจริงๆละก็ งั้นในเวลานี้ท่าทางเคร่งเครียดของฉิวหลาวซื่อคนนี้ ก็ทำให้เขาต้องยิ่งให้ความสำคัญกับพวกนักโทษ ที่อยู่ภายในเรือนจำแห่งนั้นเป็นที่สุด
เมื่อผ่านสงครามการต่อสู้ที่มาเมื่อครู่ ตามหลักเหตุผลของฉิวหลาวซื่อ ย่อมรู้จักศักยภาพของตัวเองและพรรคพวกเป็นอย่างดี แต่ในเวลานี้เขากลับยังมีท่าทีแบบนี้ เมื่อเห็นท่าทางของฉิวหลาวซื่อแล้ว แสดงว่าการอาศัยตัวเองและพรรคพวกแ รวมทั้งซอมบี้ทารกเหล่านั้น จะไม่สามารถทำลายเรือนจำแห่งนั้นได้อย่างนั้นเหรอ?
“ฉันรู้ว่าพี่น้องของนายนั้นแข็งแกร่งมาก อีกทั้งก็ยังมีลูกน้องที่เป็น.....สัตว์ประหลาดเหล่านั้นด้วย ซึ่งเป็นอะไรที่เก่งมากจริงๆ แต่เรือนจำมันเป็นอะไรที่น่ากลัวกว่าที่นายคาดคิดเอาไว้!”
ฉิวหลาวซื่อกลืนน้ำลายอึกใหญ่ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า
“พี่ใหญ่หลงคือคนที่ฉลาดมากที่สุด เขารู้กฎเกณฑ์ว่า การมีศักยภาพความแข็งแกร่งท่ามกลางหายนะภัยพิบัตินี้ คือราชายิ่งกว่าใครๆ ดังนั้นหลังจากที่เข้ายึดเรือนจำแล้ว เขาก็ออกคำสั่งให้นักโทษเหล่านั้น ไปรวบรวมอาวุธและกระสุนทั่วทั้งสารทิศ และจับผู้มีพลังเหนือมนุษย์และผู้รอดชีวิตมาเพิ่มเติม ศักยภาพความแข็งแกร่งของเรือนจำแห่งนั้น”
“เนื่องจากเขามีลูกน้องที่เป็นลิกเกอร์กว่า 10 ตัว เจ้าลิกเกอร์เหล่านี้มักจะสร้างความหวาดกลัวให้กับซอมบี้ทั่วไป ดังนั้นลูกน้องเหล่านี้ของเขา จึงสามารถออกไปรวบรวมอาวุธ และกระสุนในเมืองเหลียนได้อย่างปลอดภัย”
“ก่อนที่ฉันจะออกมา บนกำแพงที่ล้อมรอบเรือนจำแห่งนั้น มีการติดตั้งปืนกลเกินกว่า 20 กระบอกเอาไว้ นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีจรวดปืนใหญ่ รวมไปถึงระเบิดอีกนับไม่ถ้วน บวกกับอาวุธชนิดอื่นอีกเป็นจำนวนมาก และไหนจะผู้ที่มีร่างกายแข็งแกร่งที่ทั้งสมัครใจ และทั้งถูกบีบบังคับให้ร่วมกระบวนการอีก พูดได้ว่าตอนนี้เรือนจำแห่งนี้กลายเป็นป้อมปราการทางการทหาร ที่แข็งแกร่งและมีการเฝ้าระวัง อย่างเข้มงวดมากที่สุดแห่งหนึ่ง !”
“แต่นี่เป็นเพียงแค่ศักยภาพด้านอาวุธและคนทั่วไปเท่านั้น!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฉิวหลาวซื่อก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้นก็พูดขึ้นต่อว่า
“นอกจากคนเหล่านี้แล้ว ในเรือนจำก็ยังมีผู้มีพลังเหนือมนุษย์อีกหลายคนด้วย ศักยภาพของผู้มีพลังเหนือมนุษย์เหล่านี้น่ากลัวมาก ถึงแม้ว่าบางส่วนจะไม่ยินยอมทำเรื่องพวกนี้ตามคำสั่งพี่ใหญ่หลง แต่ก็ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ยินยอมพร้อมใจ ทั้งถูกบีบบังคับให้ยืนอยู่ข้างกายพี่ใหญ่หลง อย่างเช่นฉันที่ถูกพี่หลงบีบบังคับด้วยชีวิตของภรรยาและลูก”
“ถ้านายกล้าเข้าไปจริงๆ พวกเขาก็ต้องใช้จุดอ่อนนี้บีบบังคับให้คนเหล่านั้นออกมาต่อสู้ ถึงตอนนั้นสองหมัดก็ยากที่จะชนะสี่ฝ่ามือได้ พี่น้องของนายถึงแม้ว่าจะแข็งแกร่งดั่งเหล็ก แต่จะอดทนยืนหยัดได้นานแค่ไหนกัน?”
“ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นอาวุธหรือกระสุนเหล่านี้ หรือผู้มีพลังเหนือมนุษย์เหล่านั้น ก็ไม่มีใครน่ากลัวเท่าพี่ใหญ่หลง เพียงคนเดียวได้!”
“คนหน้าเนื้อใจเสือคนนั้น คือพลังที่น่ากลัวที่สุดในเรือนจำ!”
เมื่อพูดถึงศักยภาพของพี่หลง ถึงแม้ว่าฉิวหลาวซื่อจะเป็นผู้มีพลังเหนือมนุษย์ และมีศักยภาพมากก็ตาม แต่กลับอดที่จะตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้ ใบหน้าของเขาก็ปรากฏสีหน้าแห่งความหวาดกลัวขึ้นมาทันใด
“เขาเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉิวหลาวซื่อ ฮวางซางก็ขมวดคิ้วทันใด
“ก็มีแค่เจ้าลิกเกอร์หลายสิบตัวนั้น จะเก่งมากได้ยังไง นายพูดโอเวอร์เกินไปรึเปล่า?”
“เจ้าลิกเกอร์ ? หึหึ ใครบอกว่าลูกน้องของพี่หลงมีแค่ลิกเกอร์ละ?”
แต่ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของฮวางซาง ฉิวหลาวซื่อก็ยิ้มออกมาอย่างลำบากใจทันที หลังจากนั้นก็ส่ายหน้า พร้อมกับแสดงสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมาแทน ก่อนพูดขึ้นว่า
“สำหรับพี่ใหญ่หลงแล้ว เจ้าลิกเกอร์เป็นเพียงแค่ทหารขั้นพื้นฐานของลูกน้องเขา หรือเท่ากับทหารที่ไร้ค่าเท่านั้น เขามีไพ่ตายที่แท้จริงอยู่ และก็ยังน่ากลัวกว่าเข้าลิกเกอร์มากด้วย!”
“มันคือราชาแห่งซอมบี้ที่แท้จริง!”