ตอนที่ 1 หมอกอันหนาทึบ
ตอนที่ 1 หมอกอันหนาทึบ
สาเหตุที่วันสิ้นโลกได้ถูกขนานนามเรียกว่าวันสิ้นโลก เนื่องมาจากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยที่พวกเขาไม่ได้เตรียมการป้องกันมาก่อน
วันที่ 18 เดือนเมษายน ปี 2018 ตามปฏิทินจันทรคติ 3 เดือน 3
……
“อรุณสวัสดิ์ค่ะผู้ชมทุกท่าน นี่คือข่าวภาคเช้า ตอนนี้คือการรายงานข่าวด่วน”
“สภาพอากาศหมอกหนาที่ปกคลุมไปทั่วโลกยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง สภาพหมอกหนาที่ปกคลุมติดต่อกันมานานกว่าหกวันได้ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อการใช้ชีวิตและการคมนาคมทั่วโลก ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางกล่าวว่าบางทีนี่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการระเบิดของจุดดับบนดวงอาทิตย์ก็เป็นได้”
“คนเกาหลีกล่าวว่าหมอกหนาชนิดนี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหมอกบนสรวงสวรรค์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงการโต้กลับความคิดเห็นนั้นทันที ว่าการวิจารณ์ของคนเกาหลีที่กล่าวออกมานั้นไม่สอดคล้องกับหลักความเป็นจริงเลยสักนิด และหวังว่าขอให้อีกฝ่ายรักษาผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศไว้ โดยการหยุดประกาศคำวิจารณ์อย่างไม่มีความรับผิดชอบนั้นลงและดำเนินชีวิตตามหลักความเป็นจริงเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองประเทศเอาไว้”
“ต่อไปเป็นการรายงานข่าวโดยละเอียด....”
……
“น่าเบื่อ....”
เมื่อกวาดตามองไปยังโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดข่าวภาคเช้า ฮวางซางก็ส่ายหน้าเล็กน้อย หลังจากนั้นก็หยิบขนมปังชิ้นสุดท้ายยัดเข้าปาก แล้วปัดมือเล็กน้อย ก่อนจะปิดโทรทัศน์นั้นลง
“ดูเหมือนหมอกวันนี้จะหนากว่าเมื่อวานอีกแฮะ....”
ขณะที่เก็บของที่อยู่บนโต๊ะ พร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่าง หัวคิ้วของฮวางซางก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย : “บ้าจริง ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ก็ไม่รู้ว่ากลุ่มที่ชอบสร้างปัญหาเหล่านั้นจะก่อเรื่องอะไรขึ้นอีก”
เวลานี้ ทุกอย่างที่อยู่นอกหน้าต่างได้ถูกหมอกหนานั้นปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ทุกอย่างที่มองเห็นก็ดูลางเลือนไปหมด ขอบเขตของสายตาที่มากสุดในเวลานี้ที่จะมองเห็นได้ก็คงจะเป็นสิ่งของที่อยู่ไกลออกไปไม่กี่สิบเมตรเท่านั้น เมื่อมองออกไปก็ยังเป็นภาพที่ดูขมุกขมัวอยู่ดี แต่สำหรับฮวางซางที่ประกอบอาชีพการให้บริการแบบพิเศษ สภาพอากาศแบบนี้ไม่แตกต่างอะไรจากหายนะเลยสักนิด
เพราะฮวางซางเป็นหมอนิติเวช อีกทั้งสภาพอากาศหมอกหนาแบบนี้ ก็มักจะเกิดเรื่องราวที่ไม่คาดคิดมากกว่าปกติเสมอ
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ บนโลกใบนี้ก็มักจะมีกลุ่มที่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน โดยการก่อความวุ่นวายสร้างปั่นป่วนให้กับทุกคน เหมือนกับวันสิ้นโลกเมื่อปี 2000 และปี 2012 ก่อนหน้านั้น สภาพอากาศหมอกหนาที่ปกคลุมไปทั่วโลกนี้ที่หาได้ยากยิ่งในครั้งนี้ได้ทำให้คำจัดความว่า “จุดจบของโลก” ที่ได้ยกเลิกไปแล้วหลายปีก่อน กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง
จริง ๆแล้วจุดสำคัญโดยพื้นฐานของคำว่าจุดจบของโลกเหล่านี้เหมือนกัน เพียงแค่เปลี่ยนกาลเวลาเท่านั้น แต่ดันมีคนโง่งมจำนวนไม่น้อยที่เสพเรื่องพวกนี้อยู่ หลายวันมานี้ มีคนที่ฆ่าตัวตายจากการเชื่อเรื่องจุดจบของโลกปรากฏขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งมันเป็นการเพิ่มภาระงานให้กับฮวางซางอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกดีกับเรื่องหมอกหนาและจุดจบของโลกอะไรเทือกนี้เท่าไหร่นัก
“ครืน ครืน ครืน!”
ในขณะที่ฮวางซางกำลังแขวะอยู่ในใจถึงเรื่องจุดจบของโลกบ้าๆกับหมอกหนาแปลกประหลาดเหล่านี้อยู่นั้น โทรศัพท์ที่เขาวางอยู่บนโต๊ะก็สั่นสะเทือนขึ้นมาทันใด
“ฉันคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีในสภาพอากาศแบบนี้แน่ ๆ”
เมื่อมองไปยังเบอร์โทรศัพท์อันคุ้นเคยที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ฮวางซางก็ถอนหายใจออกมา ก่อนวางมือที่กำลังเก็บของนั้นลง แล้วจะกดรับโทรศัพท์ : “พูดมา ยังมีใครที่ฆ่าตัวตายหรือถูกฆ่าอีก?”
“รายงานฮ่องเต้ครับ นี่ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย และก็ไม่ใช่ถูกฆ่าด้วย แต่มันเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว” น้ำเสียงวัยรุ่นเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในโทรศัพท์
“ไร้สาระ มีเรื่องก็บอกมา” เพื่อนของฮวางซางนั้นมีไม่มากนัก หนึ่งในนั้นก็คือคนที่มักเรียกเขาว่า “ฮ่องเต้” เป็นลูกศิษย์ที่ต้องเคี่ยวเข็ญอยู่ตลอดเวลาอย่างเจ้าหมอนี้แหละ
แต่เมื่อได้ยินว่าเรื่องใหญ่ในเวลาเช่นนี้ ในใจของฮวางซางก็แปรเปลี่ยนเป็นความกระวนกระวายใจไปในทันที
“รับพระบัญชา!”
เมื่อตอบรับออกไป เดิมทีน้ำเสียงที่ดูลื่นไหลในโทรศัพท์ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา : “หมอกที่ปกคลุมในวันนี้หนากว่าเมื่อวานมาก ถึงแม้ว่าหน่วยงานรัฐได้ออกคำสั่งออกไปว่าไม่ให้ทุกคนขับรถก็ตาม แต่ก็ยังมีคนที่รักเงินมากกว่าชีวิตตัวเองบางส่วน เพราะงั้น จึงได้เกิดเรื่องขึ้น เกิดอุบัติเหตุรถชนทั้งหมด 13 คันบนถนน 107 มีคนตายจำนวนไม่น้อย หน่วยงานรัฐจึงให้พี่ไปดู”
“โอ้!! แม่เจ้า!”
เมื่อได้ยินข่าวนี้ ฮวางซางก็อดสบถด่าออกมาไม่ได้ในทันที
หมอนิติเวชในความคิดของคนทั่วไปนั้นแตกต่างกัน ความจริงแล้วหมอนิติเวชไม่เพียงแต่จะจัดการคดีฆาตกรรมเท่านั้น อีกทั้งยังต้องจัดการคดีฆ่าตัวตายไม่ก็อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดบนท้องถนนอีกด้วย สรุปได้ว่า เมื่อมีคนตาย เขาก็ต้องไปยังสถานทที่เกิดเหตุเพื่อดำเนินการสืบหาร่องรอย นั่นแหละหน้าที่ของเขา
สำหรับฮวางซาง เรื่องที่ทำให้ปวดหัวที่สุดคืออุบัติเหตุรถชนแบบนี้นี่แหละ เนื่องจากอุบัติเหตุรถชนนี้ไม่เพียงแต่จะมีคนตายจำนวนมากแล้ว อีกทั้งการตายก็ยังสยดสยองอีกด้วย แล้วยิ่งเกิดอุบัติเหตุในเวลานี้ก็ยิ่งทำให้วุ่นวายมากขึ้นไปอีก การเข้าไปดำเนินการสืบหาร่องรอยทั้งหมดจึงเป็นงานที่ใหญ่หลวงงานหนึ่งเลยทีเดียว
แต่ในเมื่อทำอาชีพนี้แล้ว แน่นอนว่าต้องได้รับเงินเดือนและสวัสดิการที่สูงมากเช่นกัน เขาจึงต้องต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่
“ฉันรู้แล้ว จะไปเดี๋ยวนี้ นายเอาอุปกรณ์ของฉันไปด้วยละกัน”
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้ว ฮวางซางก็วางสายโทรศัพท์ หลังจากนั้นก็เดินไปตรงโต๊ะบูชาที่ตั้งอยู่ใกล้กับประตู แล้วจุดธูปสามดอก ปักลงไปบนกระถางธูป หลังจากนั้นก็พนมมือไหว้ ก่อนพูดว่า :“อาจารย์ครับ ลูกศิษย์ต้องออกไปปฏิบัติการแล้ว อาจารย์ช่วยปกปักษ์รักษาผมให้ปลอดภัยด้วยนะครับ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผม ก็คงจะไม่ได้มาปักธูปแบบนี้แล้วนะครับ” เมื่อพูดจบฮวางซางก็สวมเสื้อตัวนอก แล้วเดินออกไปทันที
……
บนถนนสายหลัก 107 ถูกเรียกขานว่าสาย JS เป็นสายที่ผ่านไปยังจีนเหนือ ซึ่งก็คือถนนสายหลักระหว่างจีนกลางกับจีนใต้ ฮวางซางเองก็กำลังอยู่บนถนนสายหลักของเมือง C นั้นพอดี
อุบัติเหตุรถ 13 คันชนกันพูดได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่โหดร้ายที่สุดเรื่องหนึ่ง บวกกับสภาพอากาศหมอกหนาแบบนี้ด้วยจึงทำอะไรไม่ค่อยจะสะดวกนัก ดังนั้นในขณะที่ฮวางซางกำลังรีบไปยังสถานที่เกิดอุบัติเหตุรถชนนี้ ถนนสายหลัก 107 เส้นนี้ยังคงเกิดวิกฤตรถติดอย่างรุนแรงด้วย แต่ยังโชคดีที่ฮวางซางเคยมีประสบการณ์เหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงไม่ได้ขับรถมา แต่กลับขี่มอเตอร์ไซต์ไฟฟ้าที่เช่ามาแทน เขาแทรกไปตามช่องว่างของตัวรถไปตลอดทาง ซึ่งมันก็ประสบความสำเร็จอย่างมากบนการจราจรที่เบียดเสียดกันขนาดนี้ และในที่สุดก็มาสถานที่เกิดเหตุจนได้
ขณะกำลังเข้าใกล้สถานที่เกิดเหตุรถชน ก็ยังมองสถานการณ์อุบัติเหตุรถชนภายใต้หมอกหนาที่ปกคลุมไปทั่วไม่ชัดเจนอยู่ดี ฮวางซางจึงถือโอกาสนี้เดินตามกลิ่นที่ปะปนไปด้วยกลิ่นไหม้เกรียม กลิ่นคาวเลือด รวมถึงกลิ่นน้ำมันจางๆมาจนถึงสถานที่เกิดเหตุ เมื่อมาถึงหัวคิ้วของเขาได้ขมวดปมแน่นขึ้นมาทันใด
สายอาชีพนี้ของพวกเขา สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคืออุบัติเหตุรถชน และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในอุบัติเหตุรถชนคือเหตุการณ์ลุกไหม้ของรถยนต์นี้แหละ เนื่องจากภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ไม่เพียงแต่จะเพิ่มความยุ่งยากในการสืบหาร่องรอยของพวกเขาแล้ว อีกทั้งยังอันตรายมาก ๆอีกด้วย
แน่นอนว่า ศพของผู้ประสบเคราะห์ก็จะสะอิดสะเอียนน่ากลัวมากเช่นกัน!จากกลิ่นของการเผาไหม้และกลิ่นของน้ำมันในตอนนี้ คงจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาแน่ ๆ
"ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ ในที่สุดพี่ก็มาสักที!"
ในขณะนั้นเอง เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะ 20 ต้นๆ สวมชุดเครื่องแบบสีขาว มองดูแล้วผอมเล็กน้อย แต่กลับมีแววตาที่มุ่งมั่น ผู้ชายที่กำลังนึกถึงได้วิ่งตรงเข้ามา หลังจากนั้นก็นำกล่องยื่นให้กับฮวางซาง ก่อนพูดว่า
"ในสถานการณ์นี้มีเพียงพี่เท่านั้นที่จะจัดการได้"
"ไปดูกันเถอะ"
เมื่อกวาดมองไปยังคนที่อายุน้อยกว่าตัวเอง แต่กลับเป็นลูกศิษย์ที่ไม่มีหนักแน่นสักครึ่งหนึ่งเลย ฮวางซางรับกล่องอุปกรณ์นั้นมา แล้วเดินขึ้นไปด้านหน้า หลังจากนั้นก็ทยอยตามฮวางซางเข้าไป เหตุการณ์อุบัติเหตุรถชนก็ค่อยๆชัดเจนขึ้นมาในสถานการณ์หมอกหนาแบบนี้ แน่นอนกลิ่นเหล่านั้นก็เข้มข้นมากขึ้นเช่นกัน
ในตอนนั้นเอง ภาพที่อยุ่ไม่ไกลนักก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา รถยนต์น้อยใหญ่หลายสิบคันได้ชนอัดเข้าหากัน นอกจากรถสองสามคันที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลังที่เบรกทันจนทำให้ระดับการชนกันนั้นค่อนข้างเบาลงแล้ว นอกนั้นรถยนต์อีกเจ็ดแปดคันที่ิอยู่ตรงกลางได้กลายเป็นเศษเหล็กเกือบจะทั้งคัน แม้กระทั้งรถยนต์สองคันที่กลายเป็นสีดำไหม้เกรียม เห็นได้ชัดว่าคงจะถูกไฟลุกลามโหมกระหน่ำเผาจนวอดวาย
สำหรับคนที่อยู่ในรถสองสามคันนั้น ฮวางซางไม่ต้องวินิจฉัยก็รู้ว่าพวกเขานั้นตายแล้ว
"หลิว ซิน เล่าสถานการณ์มาสักหน่อยสิ" ถึงแม้ว่าจะได้ทำการคาดการณ์ไว้แล้วก็ตาม แต่ขั้นตอนก็ยังต้องดำเนินต่อไป ฮวางซางเปิดกล่องเพื่อหยิบถุงมือพิเศษ พร้อมกับพูดกับเด็กหนุ่มด้วย
"ณ เวลา 7นาฬิกา 15นาทีตามเวลาปักกิ่ง รถยนต์ฟอร์ดทะเบียน AK0726 เนื่องจากผู้ขับปวดฉี่มาก จึงได้ทำการจอดรถไว้เพื่อลงไปปัสสาวะ ผลสุดท้ายคือถูกรถชนท้าย ส่งผลให้ชนติดต่อกัน 13 คันครับ น้ำมันรถสองคันในนี้เกิดรั่วไหลออกมาจึงเกิดเหตุไฟลุกไหม้เอง แต่โชคดีที่ได้มีผู้เห็นเหตุการณ์ในบริเวณนั้นช่วยกันดับไฟได้ทันเวลา จึงไม่สร้างความบาดเจ็บล้มตายไปมากกว่านี้ ผู้บาดเจ็บในวันนี้ได้ถูกหามส่งโรงพยาบาลแล้ว ส่วนผู้เสียชีวิตคาดการณ์ไว้ตอนแรกน่าจะมี 11 คนครับ
เมื่อได้ยินคำพูดของฮวางซาง ผู้ช่วยและหลิวซินที่เป็นลูกศิษย์รีบพูดข้อมูลที่รวบรวมทั้งหมดออกมา
"เสียชีวิตจำนวน 11 คนเหรอ? เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวซิน ฮวางซางก็หรี่ตาลง :"นี่ถือว่าเป็นอุบัติเหตุการจราจรที่ใหญ่ที่สุดเลย”
ในโลกนี้ หากมีผู้เสียชีวิตที่มีจำนวนเกิน 10 คน ซึ่งลักษณะการตายจึงแตกต่างกันเป็นพิเศษเช่นกัน ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุขึ้นบางพื้นที่จึงได้ปกปิดยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุนั้นไว้
แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับฮวางซางเลย เขาหยิบอุปกรณ์บางส่วนออกมา พร้อมกับมองไปทางรถที่ดับไฟแล้ว เมื่อเดินไปถึงรถสองสามคันที่ยังคงส่งกลิ่นเหม็นไหม้และความร้อนอยู่ เขาจึงพูดกับหลิวซินโดยที่ไม่หันหน้ากลับมาว่า
" เริ่มดำเนินการสืบหาร่องรอยตอนแรกได้เลย นายรับผิดชอบจดบันทึก"
"ครับผม" เมื่อได้ยินคำพูดของฮวางซางแล้ว หลิวซินจึงพยักหน้าทันที แล้วหยิบปากกาจดบันทึกขึ้นมากด หลังจากนั้นก็หยิบสมุดขึ้นมาอีกเล่ม เตรียมพร้อมเริ่มจดบันทึก
"เหม็นสุดๆไปเลย..."
ในเวลาเดียวกัน ฮวางซางได้เดินมาตรงหน้าของซากรถยนต์คันนั้น ในขณะที่เขากำลังเข้าไปใกล้ กลิ่นไหม้และกลิ่นน้ำมันรถบางส่วนที่สร้างความสะอิดสะเอียนนั้นก็เข้มข้นขึ้นมา อีกทั้งยังสามารถมองเห็นศพที่เผาไหม้จนเกรียมทะลุหน้าต่างรถเข้าไปในตัวรถได้อีกด้วย ถ้าเป็นคนทั่วไปคงจะทนไม่ไหวจนอาเจียนออกมาจนมืดฟ้ามัวดินไปแล้ว
แต่อาชีพหมอนิติเวชหลายปีมานี้กลับทำให้ฮวางซางนั้นคุ้นเคยกับภาพและกลิ่นเหล่านี้ ดังนั้นถึงแม้ว่าจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความไม่เหมาะสมนี้ได้ แต่เขาก็ยังคงสำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วนต่อไป
เมื่อฮวางซางเข้าใกล้หน้าต่างรถคันนั้น ร่างที่ติดอยู่ในซากรถที่บิดเบี้ยวนั้น แทบจะมองรูปร่างนั้นไม่ออกแล้ว มิหนำซ้ำยังถูกไฟคลอกตายอีก แต่"ผู้ประสบเคราะห์"ที่ดูเหมือนเถ้าถ่านเหล่านี้กลับขยับขึ้นมาฉับพลัน พร้อมกับส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด