60 วิธีการลับ
60 วิธีการลับ
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกเผยออกมา ภายในห้องต่างก็เต็มไปด้วยเสียงฮือฮา
การเป็นอัมพาตไปหนึ่งหรือสองวินาที!? นั่นคือสิ่งที่เขาเรียกว่า “ไม่มากพอที่จะใช้สังหารได้อย่างนั้นเหรอ”?
ในโลกของผู้ฝึกตนนั้น เวลาหนึ่งวินาทีก็มากพอที่ใช้ฆ่าศัตรูได้เป็นร้อยครั้งแล้ว!
“แล้ว เขาได้ทำการปรับเปลี่ยนแบบนี้กับอาร์ติเฟ็กซ์ทุกชิ้นเลยเหรอ?” ผู้ฝึกตนคนหนึ่งถามออกมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“ใช่” เซี่ยทิงเสียนหัวเราะออกมา
เหล่าผู้ฝึกตนได้พากันหันไปมองดูที่หน้าจอโฮโลแกรมขนาดใหญ่ พวกเขาพบว่า ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกของทีมสีแดงหรือทีมสีน้ำเงิน ดูเหมือนว่า พวกเขาทุกคนต่างก็ถืออาร์ติเฟ็กซ์ที่หลี่เย้าเป็นคนประกอบขึ้นมากันทุกคน พวกเขาได้คิดถึงสิ่งที่จะตามมา แล้วก็ต้องตัวสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เด็กคนนี้ช่างชั่วร้ายเกินไป, ไร้ยางอายเกินไป, และน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว!
“นี่มันยอดเยี่ยมมาก! เขาสามารถเรียนรู้การฝึกใช้วิธีการลับของวงการผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ ได้ตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนี้!”
ผู้ฝึกตนคนหนึ่งพึมพำกับตัวเอง และได้หันไปมองเซี่ยทิงเสียนโดยไม่ได้ตั้งใจ
ในแวดวงของผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์นั้นมีการฝึกฝนที่ไม่ได้เปิดเผยออกมาอยู่ด้วย ผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์มือดีนั้นมักจะทิ้งความพิเศษบางอย่างเอาไว้ในอาร์ติเฟ็กซ์ เมื่อพวกเขาสร้างอาร์ติเฟ็กซ์ให้กับลูกค้าของตัวเอง ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วๆไปนั้นจะไม่สามารถมองเห็นโครงสร้างที่หน้าพิศวงนี้ได้ แต่ในสายตาของผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ขึ้นมาแล้ว โครงสร้างพิเศษเหล่านี้ คือสิ่งที่ทำให้เขาสามารถซุกซ่อน “ทางรอด” เอาไว้ในอาร์ติเฟ็กซ์ได้
เมื่อมีความจำเป็นขึ้นมา พวกเขาก็จะสามารถเข้าควบคุมอาร์ติเฟ็กซ์ผ่านทางทางรอดที่พวกเขาได้ซ่อนเอาไว้
ในวงการนั้น การกระทำแบบนี้ถูกเรียกว่า “การเปิดประตูหลัง”
เดิมที วิธีการนี้ถูกใช้โดยผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ เพื่อมีไว้สำหรับปกป้องตัวพวกเขาเอง และเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นมาหยิบฉวยอาร์ติเฟ็กซ์ของพวกเขา และสะดวกในการจัดการกับคนเหล่านั้น
เพราะเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนประเภทการต่อสู้แล้ว ความสามารถในการต่อสู้ของผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ก็มักจะอ่อนแอกว่า
แต่แล้ว การทำเรื่องแบบนี้ได้กลายเป็นเรื่องธรรมดาในเวลาต่อมา มันดูเหมือนกับว่า มันกลายเป็นความลับที่เปิดเผยกันในหมู่ของผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ที่มีประสบการณ์สูง และได้กลายมาเป็น “กฎที่ไม่ได้เขียนเอาไว้”
มีเพียงหนทางเดียวที่จะป้องกันการเปิดประตูหลังของอาร์ติเฟ็กซ์ได้...ซึ่งก็คือการสร้างอาร์ติเฟ็กซ์ของตัวเองขึ้นมา!
แต่ในปัจจุบันนั้นแตกต่างไปจากเมื่อครั้งเก่าก่อน ในอดีตของโลกแห่งผู้ฝึกตนเมื่อ 40,000 ปีก่อน อาร์ติเฟ็กซ์ทุกชนิดนั้นมีความเรียบง่ายเป็นธรรมชาติมากกว่า ทั้งดาบบิน, มีดบิน, กระเป๋ามิติ และอื่นๆ ส่วนอาร์ติเฟ็กซ์ที่เหนือกว่านั้นจะถือว่ามีความซับซ้อน เหล่าผู้ฝึกตนจึงสามารถสร้างอาร์ติเฟ็กซ์ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง
แต่เมื่อเวลาผ่านเลยมาถึงในยุคปัจจุบัน งานเหล่านี้ก็ได้เพิ่มความเชี่ยวชาญมากขึ้นและมีหลากหลายประเภทมากขึ้น รูปแบบของอาร์ติเฟ็กซ์กลายเป็นซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ รายละเอียดต่างๆของการสร้างอาร์ติเฟ็กซ์ ได้กลายเป็นกระป๋องที่เต็มไปด้วยหนอนที่ผู้คนพากันขยาด ซึ่งเต็มไปด้วยปริศนาและรายละเอียดยิบย่อยมากมาย มันเป็นวิชาที่ยากจะสำเร็จ โดยต้องใช้เวลาในการพยายามเรียนรู้กว่าสิบปี และหากคนคนนั้นไม่มีพรสวรรค์ในการสร้างอาร์ติเฟ็กซ์ พวกเขาก็จะต้องใช้ความพยายามมากขึ้นเป็นสองเท่า และเสียเวลาหยาดเหงื่อไปมากมาย และถึงแม้จะทำแบบนั้น ผู้ที่เรียนรู้ก็อาจจะไม่สามารถเข้าใจความลึกลับของอาร์ติเฟ็กซ์เลยก็เป็นได้
มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ฝึกตนประเภทการต่อสู้ ซึ่งไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องของอาร์ติเฟ็กซ์ ต้องมาใช้เวลาหลายสิบปีเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับอาร์ติเฟ็กซ์...ถ้าพวกเขาทำแบบนั้น แล้วพวกเขาจะเอาเวลาที่ไหนไปต่อสู้กันล่ะ?
ดังนั้น หลังจากที่ได้พิจารณาปัญหานี้แล้ว พวกเขาก็ทำได้เพียงถูกจมูก และทำใจยอมรับช่องโหว่ของอาร์ติเฟ็กซ์ไปทั้งที่ใจรู้ดี หรือไม่ พวกเขาก็ต้องหาผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ที่เชื่อใจได้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ให้กับพวกเขา หรือหลังจากที่พวกเขาได้รับอาร์ติเฟ็กซ์มาแล้ว พวกเขาก็สามารถหาผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์คนอื่นมาจัดการทำลายเจ้าประตูหลังนี่ซะ
การต่อสู้ด้วยการโจมตีและการป้องกันระหว่าง ผู้ติดตั้งประตูหลังและผู้ทำลายประตูหลังก็เป็น “การต่อสู้” ที่ธรรมดามากๆในวงการของผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ หลังจากผ่านการต่อสู้มามากมาย ผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ทุกคนจึงได้หาวิธีการสร้างประตูหลังที่ไม่สามารถถูกทำลายได้ หรือแม้กระทั่งสร้างประตูหลังที่ไม่สามารถหาเจอได้ขึ้นมา และชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือการที่พวกเขาสามารถหาประตูหลังของผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์คนอื่นเจอและทำลายมันลงไปได้
แน่นอนว่า ไม่มีผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์คนไหนที่จะยอมรับว่า พวกเขาได้ติดตั้งประตูหลังเอาไว้บนอาร์ติเฟ็กซ์ของตัวเอง
เซี่ยทิงเสียนลูบเคราของตัวเอง เขาส่ายหัวไปมาและพูดว่า “เฮ้อ! ถึงแม้ว่าวิธีการของนักเรียนหลี่เย้าจะได้ผลดี แต่มันก็ผิดหลักจรรยาบรรณของผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ มันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำ! ถ้าเขาได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเชินห่าย เราคงจะต้องให้การสั่งสอนที่ถูกต้องกับเขา เขาจะมาทำประตูหลังเอาไว้ตามใจชอบแบบนี้ได้ยังไงกัน?!”
“พอเถอะ!”
ผู้ฝึกตนบางคนได้ถลึงตาใส่เซี่ยทิงเสียน...มหาวิทยาลัยเชินห่ายถือสรวงสวรรค์ของผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ และในเวลาเดียวกัน มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ถือเป็นต้นกำเนิดของการ “เปิดประตูหลัง” ที่น่ารังเกียจด้วย คำพูดที่ว่า “ให้การสั่งสอนที่ถูกต้องกับเขา” มันจึงดูน่าสงสัยมากกว่า และถ้าหลี่เย้าได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเชินห่ายขึ้นมาจริงๆ เขาก็คงจะไม่ต่างอะไรกับปลากระดี่ได้น้ำ มันคงจะใช้เวลาไม่กี่ปี ก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการสร้างประตูหลัง!
ในตอนที่ทุกคนกำลังอึ้งจนพูดไม่ออกกันอยู่นั้น จุดสีน้ำเงินอีกสี่จุด ซึ่งก็คือเป็นทีมลาดตระเวรของทีมสีน้ำเงิน ก็ได้หายไปจากทางเหนือของเกาะมังกรปีศาจอย่างน่าประหลาด
สิ่งที่เข้ามาแทนที่จุดของพวกเขา ก็คือจุดสีแดงเล็กๆหนึ่งจุด มันได้ยืนหยัดส่องแสงที่ริบหรี่ไม่จางหายไปไหน
ทีมลาดตระเวรทีมที่สองได้พลาดท่าให้กับการซุ่มโจมตีที่ชั่วร้ายของหลี่เย้าแล้ว!
นอกจากผู้ฝึกตนที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ภายในศูนย์มอนิเตอร์แล้ว ก็ยังมีผู้เข้าแข่งขันที่อยู่ภายในห้องโถงด้านนอกอีก 2,400 คนที่กำลังเฝ้ามองดูหลี่เย้าอยู่ในขณะนี้
ถึงแม้ว่ากองกำลังส่วนใหญ่ของทีมสีน้ำเงิน จะกำลังกวาดผ่านและจัดการพื้นที่รอบๆจุดกึ่งกลางของเกาะมังกรปีศาจอยู่ แต่เหตุการณ์การถูกซุ่มโจมตีสองครั้งที่เกิดขึ้นที่ด้านหลัง ก็ดูคล้ายกับการมาถึงของคำสาปที่กำลังคืบคลานเข้ามา เพื่อทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยๆ
“เขาคือใครกัน!? ทำไมเขาถึงได้สุดยอดขนาดนี้!? เขาได้จัดการคนของทีมสีน้ำเงินให้ออกไปจากการแข่งขันได้ถึงเจ็ดคน!”
“ดูเหมือนจะมีกลิ่นแปลกๆอยู่นะ มันดูคล้ายกับว่า สมาชิกทั้งเจ็ดคนนั้นถูกอะไรบางอย่างดึงเอาไว้ แล้วยื่นคอของพวกเขาเพื่อรอการโดนเชือดยังไงยังงั้น จะเป็นไปได้ไหมว่า คนคนนี้จะเชี่ยวชาญในการโจมตีทางจิตใจ? แล้วเขาก็ได้ปล่อยการโจมตีเข้าใส่จิตใจของฝ่ายตรงข้าม?”
“ฉันรู้ว่าเป็นเพราะอะไร คนคนนี้มาจากโรงเรียนเดียวกันกับฉัน เขามีชื่อว่า หลี่เย้า ถึงแม้ว่าภายนอกของเขาจะดูธรรมดาสามัญ แต่ความจริงแล้วเขาเป็นคนที่ร้ายกาจมากเลยล่ะ แม้แต่เฮ่อเหลียนเลี่ยก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้เลย!”
“เขาสุดยอดขนาดนั้นเลยเหรอ? ถ้าอย่างนั้น ฉันคงต้องคอยจับตาดูเขาเอาไว้ซะแล้ว!”
เฮ่อเหลียนเลี่ยนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่ภายในเมืองฝูเกอ และยังรวมไปถึงเมืองที่อยู่รอบๆเมืองฝูเกอด้วย ในการแข่งขันท้าทายขีดจำกัดครั้งนี้ อันดับของเขาก็ไม่เคยหลุดจาก 10 อันดับแรกเลย และมันทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักของคนมากมาย
การที่สามารถกลายมาเป็นคู่ต่อสู้ของเฮ่อเหลียนเลี่ยได้ มันก็หมายความได้อย่างชัดเจนว่า หลี่เย้าก็ไม่ใช่ธรรมดาเลย
“อ้า! เอาอีกแล้ว! เขาจัดการกับทีมลาดตระเวรเป็นกลุ่มที่สามแล้ว คนพวกนั้นบ้าไปแล้ว เร็วเข้าและสู้กลับไปสิ! ทำไมพวกเขาต้องชะงักกันไปหมดด้วย!? พวกนายกำลังรอให้เขามาฆ่าอยู่รึไง?”
“นี่ทุกคน คิดว่าเจ้าเด็กนี่จะจัดการทุกอย่างตามทางไปตลอดไหม? เขาจะสามารถโต้กลับครั้งใหญ่ได้ไหม?”
“นั่นเป็นไปไม่ได้หรอก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทีม คนๆเดียวไม่มีทางทำอะไรได้ แล้วทีมสีน้ำเงินก็ยังมีอัจฉริยะอย่างเกาเย่อยู่ด้วย พวกเขาได้ยึดอำนาจส่วนใหญ่เอาไว้แล้ว ไม่มีทางที่จะจัดการพวกเขาได้ง่ายๆหรอก ทุกคนดูสิ เกาเย่เริ่มสังเกตเห็นแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ ไม่นานเขาก็จะต้องทำอะไรสักอย่างแน่!”
ช่องทางการสื่อสารของทีมสีแดงและทีมสีน้ำเงิน จะมีการแสดงบนหน้าจอโฮโลแกรมแบบตามเวลาที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้น เกาเย่ที่เป็นผู้สั่งการก็สามารถมองเห็นการถอนตัวของผู้เข้าแข่งขันนี้ได้เช่นกัน
เกาเย่พบว่า เขาได้ติดต่อกับทีมลาดตระเวรที่อยู่แนวหลังไปเป็นเวลานานแล้ว เขาจึงคิดว่า อาจจะมีวีรบุรุษของทีมสีแดงหรือสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง อยู่ที่แนวหลังของทีมสีน้ำเงิน
เขาจึงได้สั่งการให้กองกำลังส่วนใหญ่ยุติการจู่โจม แล้วสั่งให้พวกเขาตื่นตัวและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ
ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ยังได้สั่งการให้หน่วยสู้รบที่แข็งแกร่งที่สุดแปดทีม ให้แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม และสร้างทีมลาดตระเวรขึ้นมาใหม่ และให้พวกเขาไปจัดการกับปลาที่หลุดรอดออกจากแห่ของพวกเขาไป
“ทุกคนต้องตื่นตัวให้มากที่สุด อย่าให้ชัยชนะที่ทุกคนได้รับมา ย้อนกลับมาทำลายตัวเอง ถึงแม้ว่าเราจะจัดการทีมสีแดงไปได้ แต่มันก็ยังมีโอกาสที่พวกเขาจะย้อนคืนกลับมา! ในเวลานี้ ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่ามีศัตรูอยู่ที่แนวหลังของเรา เราจะต้องเข้าใจให้ได้ว่า อะไรที่เรากำลังต่อกรด้วยอยู่ มาจัดการศัตรูตัวใหญ่นี่ก่อน แล้วเราค่อยเดินหน้าจัดการศัตรูที่อยู่ตรงหน้าของพวกเราต่อ!”
เกาเย่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงของเขานั้นสงบและไม่รีบร้อน ท่าทางของเขาไม่ต่างจากผ็นำกองทัพคนหนึ่งเลย!
ยุทธวิธีของเขาได้แสดงประสิทธิผลออกมาให้ได้เห็นอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่จัดการกับทีมลาดตระเวร ที่เดินสำรวจทางทิศเหนือของเกาะมังกรปีศาจไปแล้ว หลี่เย้าก็ได้เผชิญหน้ากับทีมลาดตระเวรทีมใหม่!
ทีมลาดตระเวรทีมนี้ได้รวมผู้เข้าแข่งขันเอาไว้ทั้งหมดเจ็ดคน แต่ละคนล้วนมีร่างกายที่สูงใหญ่ และตัวโตราวกับม้า แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยพลังงานที่เต็มเปี่ยม ขมับของพวกเขาปูดบวมออกมา พละกำลังของพวกเขานั้นแข็งแกร่งและน่าหวาดกลัว
และผู้นำของทีมลาดตระเวรทีมนี้ก็คือ...เฮ่อเหลียนเลี่ย!